สิ่งมีชีวิตตัวแรกของโลก ชาติที่แล้วมันเป็นอะไรครับ ?

กระทู้คำถาม
สิ่งมีชีวิตตัวแรกนี่ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นแบคทีเรียอาร์เคียรึเปล่าครับ
ชาติที่แล้วพวกมันทำกรรมอะไรครับ มันถึงได้มาเกิดใหม่เป็นแบคทีเรีย

คือผมเข้าใจว่าการจะทำกรรมได้มันก็ต้องเคยเป็นสิ่งมีชีวิตมาก่อน
แล้วแบคทีเรียอาร์เคียมันคือสิ่งมีชีวิตจำพวกแรกของโลก แล้วก่อนหน้านั้นมันคืออะไรครับที่มาทำกรรม
แล้วจึงได้มาเกิดเป็นแบคทีเรียอาร์เคียเพื่อมาชดใช้กรรม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ทุกอย่างเกิดมาล้วนแต่มีเหตุมีปัจจัย
จากสุญตา (ความว่างเปล่า) พลันบังเกิดสรรพสิ่งเกิดขึ้น (Big Bang) เรายังไม่ทราบว่าเพราะอะไร ?
แรงต่างๆแยกออกจากกัน อนุภาพต่างๆ หลอมรวมกันเกิดเป็น H ---> He ---> และเป็นแร่ธาตุต่าง ๆ ในเตาปฏิกรณ์เนบิวล่า
ฝุ่น แร่ธาตุต่าง ๆ หลอมรวมกันเกิดเป็น ดวงดาว เป็นกาแล็คซี่ กลายเป็นเอกภพ ฯลฯ  -----> โลกนี้ที่วุ่นวายจริงหนอ
แร่ธาตุต่าง ๆ ก็รู้ว่า (จิตจักรวาล) จะต้องรวมกันเพื่อความเป็นเสถียรภาพที่มากขึ้น H2 + O ----> น้ำ ซึ่งรูปคุณสมบัติต่างไปจากต้นแบบมาก
Fe+O เป็นสนิมเหล็ก .... ฯลฯลฯ  เพราะอะไรมันถึงเป็นเช่นนั้น คงต้องถามนักเคมี มันคงมีกรรมเมื่อมาเจอกันต้องจับตัวกัน ตามแรงปฏิกริยาเคมี
สารประกอบต่างๆ มันก็มารวมกันเป็นสารประกอบที่ซับซ้อนเกิดเป็น โปรตีน เป็นแป้ง เป็นไขมัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ (กรรม) มารวมตัวกันก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างง่าย

แต่ด้วยความทยานอยากที่จะทำให้ตัวมันเสถียร ให้มันอยู่รอด ให้มันขยายตัวสืบทายาทได้ (กิเลศ ตัญหา) มันจึงเกิดการพัฒนารูปแบบต่างนาๆ
ตั้งแต่การมีขนสำหรับเคลื่อนไหว มีปาก มีตามองอาหาร มีเท้ามีขาไว้วิ่งไล่ล่า ........ ตัวที่ปรับปรุงร่างกายและชีวิต(จิตวิญญาณ)  ได้เหมาะแก่สภาพแวดล้อมก็จะอยู่รอด และสืบพันธุกรรมต่อไป (กรรมซับซ้อน)

เราเองก็เป็นผลมาจาก กรรม (พันธุกรรม) ของบรรพบุรุษ จิตวิญญาณและผลของการวิวัฒนาการจากสัตว์โบราณ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เดรัจฉาน ล้วนเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกและอินทรีย์ (อายะตนะ) ของเรา ซึ่งหากเราไม่พยายามพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น มันก็มีแนวโน้มที่จะไหลกลับไปยังสัญชาติญาณดิบที่ฝังอยู่ในพันธุกรรมครับ   ....... โลกที่เราประสบอยู่ขณะนี้ เราสร้างมันขึ้นมาจากจิตใจเราเอง (โลกมายา)

                  - แย่งอาหารกันกิน
                  - แย่งถิ่นที่อยู่
                  - แย่งรูสังวาส
                  - แย่งอำนาจกันครอง

เราเกิดมาก็มือเปล่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่เราก็ยังใฝ่หา(อยาก) สะสม หวงแหน แล้วเราก็ต้องสูญเสียมันไป นั่นแหละความทุกข์
ทุกข์จากการไม่ได้มาสนอง ทุกข์จากการรักษามันไว้ กับทุกข์ที่ต้องพลัดพรากจากมันไป  ศาสนาที่ว่าไม่มีเหตุผล ไม่มีข้อพิสูจน์ คร่ำครึ นั่นแหละครับทีจะพาเราออกจากความทุกข์ สู่ความสุขที่แท้จริง ...... โปรดไตร่ตรองดู เชื่อไม่เชื่อไม่ว่ากัน

ขออภัยที่นอกประเด็นครับ
ความคิดเห็นที่ 22
(แบบสาระเต็มเปี่ยมนะครับ)

คำถามอย่างนี้พยายามอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในขอบข่ายประจักษ์เหตุผลที่วิทย์จะชี้ได้ว่าถูกผิดตามหลักวิทยาศาสตร์  จึงยังเป็นปรัชญาเหตุผลความเป็นไปที่ยังไม่อาจสรุปความจริงกันได้ และขณะเดียวกันก็ไม่ควรรีบอ้างอิงตามความเชื่อต่างๆนานาที่เป็นที่สนองความอยากรู้ความศรัทธายึดเหนี่ยว เพราะเป็นการใช้ความคิดที่ตื้นเขินเกินไปในโลกปัจจุบัน  และเมื่อเป็นปรัชญาก็จะลองเสนอข้ออธิบายไปตามหลักเหตุผลเชิงปรัชญาครับ ถูกผิดมากน้อยขนาดไหนก็ช่วยๆแก้ไขกันไป

ปรัชญาความมีอยู่ของโลกและสรรพสิ่งในปัจจุบัน นั้นต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตมารับรู้ล่วงรู้ความมีอยู่เสมอจึงจะครบองค์ประกอบความมีอยู่ หากขาดสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิตและสิ่งที่มีชีวิต อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะกลายเป็นความไม่มีอยู่ใดๆเลยทีเดียว  และเมื่อการล่วงรู้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งนั้นต้องอาศัยภูมิปัญญาของมนุษย์ ขณะที่มนุษย์นั้นต้องอาศัยวิวัฒนาการและพัฒนาการเติบโตมาจากสภาพชีวิตพื้นฐานแรกเริ่มในธรรมชาติ

ดังนั้นสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกบนโลกจึงถือเป็นหน้าที่ก่อเกิดความมีอยู่เริ่มแรกเลยทีเดียว แม้อัตภาพขณะนั้นจะยังไม่อาจล่วงรู้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งได้ชัดเจนก็ตาม  และตอบตามหลักปรัชญาเหตุผลของสิ่งมีชีวิตแรกเกิดบนโลกได้ว่า เป็นองค์ประกอบเริ่มต้นของความมีอยู่ของโลกและจักรวาลนี้นั่นเอง  นอกจากนี้ก็ยังกล่าวได้ว่าถ้าชีวิตสุดท้ายของโลกใบนี้สิ้นสุดลงก็คือเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของความมีอยู่ของโลกและจักรวาลนี้เช่นกัน แต่ถ้าไม่มีการเกิดใหม่ใดๆเพื่อมาล่วงรู้ความมีอยู่ทั้งปวงใดๆอีก ก็คือหมดสิ้นความมีอยู่ในทุกแง่ใดๆทั้งปวงเลยทีเดียว

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลแก่นักคิดนักปรัชญาทั้งหลายว่า การเกิดใหม่ในชาติหน้าเพื่อรับรู้ล่วงรู้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งใดๆ ตลอดจนการเกิดใหม่มาจากชาติที่แล้วเพื่อมารับรู้ล่วงรู้ความมีอยู่ของสรรพสิ่งในชาตินี้  "ล้วนมีนัยยะสำคัญต่อความมีอยู่ใดๆทั้งปวง"  จึงไม่ควรรีบด่วนละทิ้งหลักปรัชญาของการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง  ส่วนความเชื่อเชิงรายละเอียดเช่นที่ว่าชาตินั้นคนนั้นคนนี้เกิดเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือรายละเอียดในแง่อื่นๆใด ฯลฯ ยังยากเกินกว่าจะวิเคราะห์เรียนรู้ได้ หรืออาจเป็นอจินไตยจริงๆซึ่งมนุษย์เราคงไม่อาจล่วงรู้ได้ง่ายๆตามหลักการคิดวิเคราะห์หรือแบบจินตามยปัญญา ก็เป็นได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่