ตอนที่4 เอ็งมันคนไม่เอาไหน - อัตวินิบาตกรรม
ทุกครั้งผมกับภรรยา จะไปหาแม่ทุกวันอาทิตย์แต่ก็ไม่ทุกอาทิตย์ครับที่เลือกไปวันอาทิตย์ เพราะว่าบางที่แขกไม่ค่อยมี และเป็นวันหยุดทำงานของผมด้วยแล้ววันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค 2550 ผมก็ไม่ได้ไปหาอี้อีกแต่ไปมาแล้วในวันอังคารเรื่องที่ดิน จึงไม่ได้ไปในวันอาทิตย์ ภรรยาก็บอกว่าวันนี้(หมายถึงวันจันทร์ที่ 16 ก.ค 2550) ไปหาอี้กันไหมเพราะวันอาทิตย์ไม่ได้ไป ผมก็บอกว่าไม่ได้ไปหรอก
พอเช้าวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2550 เป็นวันที่ปกติดีผมไปทำงานเหมือนทุกวัน ภรรยาก็ขายอาหารตามปกติ พักเที่ยง ผมกลับมาทานข้าวที่บ้าน แล้วก็มีโทรศัพท์โทรมาถึงผมชื่อที่โทรมาก็เป็นชื่อพี่ชายของผม แต่เป็นเสียงของพี่สะใภ้ พงษ์ทำอะไรอยู่ มาหาอี้ตอนนี้ด่วนเลยนะ (พ่อกับแม่ผมจะให้ลูกในบ้านเรียกแทนตัวเองว่า แป๊ะ กับอี้ ตามความเชื่อว่าถ้าเรียกชื่อไกลตัวแล้วลูกจะเลี้ยงง่าย แต่จริงๆแล้วลูกทุกคนเลี้ยงยากไม่เป็นเหมือนที่เขาว่ากันเลยยกเว้นน้องสาวคนเล็กที่เลี้ยงง่าย)
แล้วก็วางสายไป ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นเหมือนทุกที แม่ผมคงไม่สบายอีกให้ผมพาไปหาหมอเหมือนทุกครั้ง ผมก็เตรียมโทรไปลางานที่ทำว่าจะพาแม่ผมไปหาหมอ สักพักไม่เกิน 3 นาที ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาผมอีกครั้งว่า ซึ่งก็เป็นเบอร์โทรศัพท์พี่ชายผมแต่เป็นเสียงพี่สะใภ้ ว่า อี้เสียแล้ว ผม งงไปสักพักแล้วถามว่า แม่ผม เป็นอะไร คำตอบที่ผมได้รับ ผมแทบจะยืนไม่ไหว นั่งลงกับพื้นดิน แม่ผมได้ทำการ “อัตวินิบาตกรรม” ตนเอง ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ได้แต่พูดไปดังๆ ว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ อี้ ทำไมถึงทำอย่างนี้อี้ ทำไมทำไมถึงไม่รักตัวเอง ทำไมถึงไม่ห่วงตัวเองเลย น้ำตาผมก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ผมเคยคิดว่าแม่ผมจะมีชีวิต ถึงอีกไม่นานแต่ก็ไม่ใช่จะเร็วแบบนี้ ถ้าอยู่แบบปกติก็น่าจะเกิน 10 ปี ซึ่งตอนนั้นผมก็คงจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ร้านในเขาใหญ่เสร็จแล้ว คงได้ไปอยู่กับแม่ก็คงไม่เกิน 5 ปี ทำไมไม่รอผม ตลอดการเดินทาง เพื่อไปพบแม่ผมเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมจะได้เห็นหน้าแม่ ภรรยาผมก็ถามว่า ผมคิดแบบเดียวกับเค้าหรือเปล่า ว่าทำไม อี้ถึงทำอย่างนี้ เป็นเพราะเรา 2 คนหรือเปล่า ผมเงียบไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากผม ในหัวผมมันสับสนไปทุกอย่าง คิดแต่เรื่องเดียวว่าต้องไปหา อี้ให้เร็วที่สุด ตลอดการเดินทาง
ในใจผมคิดว่า ขอสักครั้งในชีวิต ให้เกิดปาฏิหาริย์ กับชีวิตผมบ้าง
แม้ในชีวิตผม มันไม่เคยมีปาฏิหาริย์เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ผมขอให้เกิดบ้าง
แต่ปาฏิหาริย์มันไม่มีจริง ชีวิตแม่ผมไม่กลับมาอีกแล้ว
ชีวิตแม่ผมได้ไปจากชีวิตผมตลอดกาล
พอผมได้เดินทางไปถึง บ้าน อี้ สิ่งที่ผมมองเห็นร่างแม่ผม นอนนิ่ง เหมือนคนนอนหลับ มีรอยยิ้มที่มุมปาก ภรรยาผมเป็นคนแต่งหน้าให้แม่ อาบน้ำให้แม่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมน้ำตา แต่กับผม ตลอดเวลาผมไม่มีน้ำตาในงานพิธีแม่ผมจนถึงเสร็จงาน ผมคิดว่าแม่ก็คงไม่อยากให้ผมเสียใจกลับเหตุการณ์นี้ แม่คงไม่
อยากเห็นน้ำตาของผม ระหว่างที่จัดพิธีศพแม่ ญาติๆ แทบทุกคนก็บอกแต่กับผม แม่เป็นห่วงผมมากที่สุด แต่ผมก็พอจะรู้ได้เป็นนัยๆ ว่าทำไมแม่ผมต้องทำอย่างนั้น และทำไมญาติๆ ถึงมาบอกกับผมอย่างนี้
ญาติผมบางคนก็ ถามผม ว่า
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่” ญาติทุกคนจะมองผมเป็นคนไม่เอา ถ่าน ไม่เอาไหน แต่ไม่เคยจะรู้ปัญหาของแม้แต่นิดเดียว จดจำผมได้แต่เรื่องเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครอยากจะมองหน้าผม ผมดูเหมือนจะเป็นคนภายนอกที่ญาติไม่อยากพูดถึง แต่ญาติแทบทุกคนไม่เคยรู้จักผม ณ ตอนปัจจุบัน ว่าตอนนี้ผมเป็นอย่างไร และทำอะไรอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่สนใจกับคำพูดของคนอื่นที่ มันจะมาทำร้ายจิตใจผม ผมกับครอบครัวของผมอยู่กันเองได้ ไม่เคยมีญาติคนไหนที่มาช่วยเหลือผมในยามที่ผม ตกอับสุดๆ ในชีวิต มีแต่ผม กับ ภรรยาเท่านั้นที่ช่วยกันเอง (ยกเว้นแต่พี่ น้องผม และ เพื่อนผมเองเท่านั้นที่มาช่วยเหลือผม ให้กำลังใจ ในยามที่ผม อ่อนแรง และทุกข์ใจ พี่ในที่นี้ไม่รวมคนโตของบ้าน ซึ่งชอบพูดเอาหน้า และซ้ำเติมผมในตอนตกอับตลอดเวลา)
หลังจากเสร็จจากงานพิธีศพ ทุกอย่าง ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ แม่ ผมกลายเป็นคนไม่มีแม่แล้ว เท่าที่ทำได้ตอนนี้คือ ไปเยี่ยมพ่อให้บ่อย เท่าที่มี โอกาส ผมจะไม่ยอมที่ จะทำผิดพลาดเป็นครั้งที่ 2 จะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกแล้ว
หลังจากนั้นประมาณเกือบ 1 เดือน น้องสาวผมได้มาหาผม บอกกับผมว่า พ่อให้มาบอกกันผมว่าแม่ฝากทองไว้ให้ 10 บาทเป็นค่ารักษาตัวที่เป็นเงินเก็บสะสมก้อนสุดท้าย ไว้ให้ผม แม่เคยบอกกับพ่อว่า อยากมีเงินให้ผมสักก้อน และฝากกับพ่อไว้ เพื่อจะได้ก่อสร้างบ้านอย่างที่ผมได้ฝันไว้ ผมแทบจะร้องไห้ออกมา เรื่องทุกเรื่องที่แม่ผมเคยบอกกับผมว่า “อี้มีเงินพอที่จะมาช่วยผมก่อสร้างบ้านพักได้ อี้มีเงินเก็บอยู่”
ผมคิดได้อย่างรวดเร็วทุกคำพูดทุกเหตุการณ์ มันย้อนกลับมาอย่างเร็วมาก ที่แม่ผมทำอย่างนี้ เพราะว่าไม่ต้องการเป็นภาระให้ใครและค่ารักษาพยาบาลก็ต้องใช้เงินไปเรื่อยๆ โดยที่ต้องนำทองไปขาย แม่เคยบอกว่า อยากมีสมบัติไว้ให้ลูกเพื่อไว้ทำทุน ไม่ต้องการรักษาตัวโดยเฉพาะผม
ซึ่งแม่เคยบอกว่า ผมเป็นคนที่จนที่สุดในบ้าน ลำบากที่สุดในบรรดาลูกทุกคน ออกมาจากบ้านก็ไม่มีอะไรติดตัวนอกจาก เงินจำนวน 50,000 บาท ก้อนสุดท้าย ที่พ่อให้มาทำทุน และรถมอเตอร์ไซด์ อายุประมาณ 20 ปี หนึ่งคัน
ซึ่งต่างกับลูกทุกคน มันคงจะเป็นเรื่องจริงที่ญาติทุกคนมอง ผมแบบนั้น ผมมันคนไม่เอาไหน คนไม่เอาถ่าน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย สร้างความสุขทางใจ หรือทางกายให้กับ พ่อแม่ได้เลยสักครั้ง มีแต่เรื่องให้ พ่อกับแม่ต้องลำบากใจเสมอ
ณ ปัจจุบันผมยังคิดเสมอว่าผมเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในการกระทำของแม่ผม ผมมันคนไม่เอาไหนจริงๆ หลังจากที่ ผมได้รับทองที่แม่ฝากไว้ให้กับพ่อ สิ่งเดียวที่ผมจะทำให้สำเร็จโดยเร็ว และให้สมกับที่แม่ผมตั้งใจเสียสละให้กับผม ผมเริ่มก่อสร้างบ้านพักอีกหลังทันทีที่ได้รับทองมา
(ผมได้นำทองของแม่ไปจำนำ ได้เงินมาประมาณ 100,000 บาท แต่ปัจจุบันได้ไถ่คือกลับมาหมดแล้ว ใช่เวลาไถ่ทองคืนประมาณ 6 เดือน จากวันที่นำไป จำนำ) บวกกับเงินสะสมของผม ผมใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 เดือนกว่า จากการเสียชีวิตแม่ เสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนตุลาคม 50
ผมได้ตั้งชื่อบ้านพักหลังนี้ว่า “บ้านรัมภา” ซึ่งคือชื่อแม่ผมเอง ทุกคนจะได้จดจำได้ว่านี้คือแม่ผม นี้คือการเสียสละ ย้ำเตือนถึงว่าผมมันคนไม่เอาไหน และที่สำคัญแม่ยังคงอยู่ใกล้ๆ กับผมไม่ได้ไปไหน
บ่อยครั้ง ที่ผมมองดูบ้านรัมภา น้ำตาผมจะไหล และมักจะคิดว่าทำไมผมถึงเป็นคนไม่เอาไหนถึงขนาดนี้ อายุก็ขนาดนี้แล้วยังช่วยเหลือแม่ไม่ได้เลย ไม่เคยทำให้แม่สบายใจได้แม้แต่ครั้งเดียว “อี้ ผม...ขอโทษ ผมจะทำทุกอย่าง อย่างที่อี้คาดหวังไว้ให้สำเร็จ ถึงมันจะนาน แต่ผมจะทำให้ได้ครับ”
ระยะเวลาจากตอนที่ 3 ถึงตอนที่ 4 เป็นเวลา เกือบ 2 ปี ผมไม่แน่ใจจะลงดีหรือเปล่า แต่ก็ทำใจในการเขียนบทนี้ เป็นเวลาครบรอบวันเสียชีวิตแม่ผมพอดี และตอนที่ 5 เป็นบทสรุปของ บ้านผิงดาว บ้านที่ต้องไปถึงดวงดาว
บ้านผิงดาว บ้านที่ต้องไปถึงดวงดาว(บ้านผิงดาวเขาใหญ่)ตอนที่4 เอ็งมันคนไม่เอาไหน - อัตวินิบาตกรรม
ทุกครั้งผมกับภรรยา จะไปหาแม่ทุกวันอาทิตย์แต่ก็ไม่ทุกอาทิตย์ครับที่เลือกไปวันอาทิตย์ เพราะว่าบางที่แขกไม่ค่อยมี และเป็นวันหยุดทำงานของผมด้วยแล้ววันอาทิตย์ที่ 15 ก.ค 2550 ผมก็ไม่ได้ไปหาอี้อีกแต่ไปมาแล้วในวันอังคารเรื่องที่ดิน จึงไม่ได้ไปในวันอาทิตย์ ภรรยาก็บอกว่าวันนี้(หมายถึงวันจันทร์ที่ 16 ก.ค 2550) ไปหาอี้กันไหมเพราะวันอาทิตย์ไม่ได้ไป ผมก็บอกว่าไม่ได้ไปหรอก
พอเช้าวันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2550 เป็นวันที่ปกติดีผมไปทำงานเหมือนทุกวัน ภรรยาก็ขายอาหารตามปกติ พักเที่ยง ผมกลับมาทานข้าวที่บ้าน แล้วก็มีโทรศัพท์โทรมาถึงผมชื่อที่โทรมาก็เป็นชื่อพี่ชายของผม แต่เป็นเสียงของพี่สะใภ้ พงษ์ทำอะไรอยู่ มาหาอี้ตอนนี้ด่วนเลยนะ (พ่อกับแม่ผมจะให้ลูกในบ้านเรียกแทนตัวเองว่า แป๊ะ กับอี้ ตามความเชื่อว่าถ้าเรียกชื่อไกลตัวแล้วลูกจะเลี้ยงง่าย แต่จริงๆแล้วลูกทุกคนเลี้ยงยากไม่เป็นเหมือนที่เขาว่ากันเลยยกเว้นน้องสาวคนเล็กที่เลี้ยงง่าย)
แล้วก็วางสายไป ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นเหมือนทุกที แม่ผมคงไม่สบายอีกให้ผมพาไปหาหมอเหมือนทุกครั้ง ผมก็เตรียมโทรไปลางานที่ทำว่าจะพาแม่ผมไปหาหมอ สักพักไม่เกิน 3 นาที ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาผมอีกครั้งว่า ซึ่งก็เป็นเบอร์โทรศัพท์พี่ชายผมแต่เป็นเสียงพี่สะใภ้ ว่า อี้เสียแล้ว ผม งงไปสักพักแล้วถามว่า แม่ผม เป็นอะไร คำตอบที่ผมได้รับ ผมแทบจะยืนไม่ไหว นั่งลงกับพื้นดิน แม่ผมได้ทำการ “อัตวินิบาตกรรม” ตนเอง ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ได้แต่พูดไปดังๆ ว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ อี้ ทำไมถึงทำอย่างนี้อี้ ทำไมทำไมถึงไม่รักตัวเอง ทำไมถึงไม่ห่วงตัวเองเลย น้ำตาผมก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ผมเคยคิดว่าแม่ผมจะมีชีวิต ถึงอีกไม่นานแต่ก็ไม่ใช่จะเร็วแบบนี้ ถ้าอยู่แบบปกติก็น่าจะเกิน 10 ปี ซึ่งตอนนั้นผมก็คงจะทำอะไรต่อมิอะไรที่ร้านในเขาใหญ่เสร็จแล้ว คงได้ไปอยู่กับแม่ก็คงไม่เกิน 5 ปี ทำไมไม่รอผม ตลอดการเดินทาง เพื่อไปพบแม่ผมเป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมจะได้เห็นหน้าแม่ ภรรยาผมก็ถามว่า ผมคิดแบบเดียวกับเค้าหรือเปล่า ว่าทำไม อี้ถึงทำอย่างนี้ เป็นเพราะเรา 2 คนหรือเปล่า ผมเงียบไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากผม ในหัวผมมันสับสนไปทุกอย่าง คิดแต่เรื่องเดียวว่าต้องไปหา อี้ให้เร็วที่สุด ตลอดการเดินทาง
ในใจผมคิดว่า ขอสักครั้งในชีวิต ให้เกิดปาฏิหาริย์ กับชีวิตผมบ้าง
แม้ในชีวิตผม มันไม่เคยมีปาฏิหาริย์เลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้ผมขอให้เกิดบ้าง
แต่ปาฏิหาริย์มันไม่มีจริง ชีวิตแม่ผมไม่กลับมาอีกแล้ว
ชีวิตแม่ผมได้ไปจากชีวิตผมตลอดกาล
พอผมได้เดินทางไปถึง บ้าน อี้ สิ่งที่ผมมองเห็นร่างแม่ผม นอนนิ่ง เหมือนคนนอนหลับ มีรอยยิ้มที่มุมปาก ภรรยาผมเป็นคนแต่งหน้าให้แม่ อาบน้ำให้แม่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมน้ำตา แต่กับผม ตลอดเวลาผมไม่มีน้ำตาในงานพิธีแม่ผมจนถึงเสร็จงาน ผมคิดว่าแม่ก็คงไม่อยากให้ผมเสียใจกลับเหตุการณ์นี้ แม่คงไม่
อยากเห็นน้ำตาของผม ระหว่างที่จัดพิธีศพแม่ ญาติๆ แทบทุกคนก็บอกแต่กับผม แม่เป็นห่วงผมมากที่สุด แต่ผมก็พอจะรู้ได้เป็นนัยๆ ว่าทำไมแม่ผมต้องทำอย่างนั้น และทำไมญาติๆ ถึงมาบอกกับผมอย่างนี้
ญาติผมบางคนก็ ถามผม ว่า
“ตอนนี้ทำอะไรอยู่” ญาติทุกคนจะมองผมเป็นคนไม่เอา ถ่าน ไม่เอาไหน แต่ไม่เคยจะรู้ปัญหาของแม้แต่นิดเดียว จดจำผมได้แต่เรื่องเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ไม่มีใครอยากจะมองหน้าผม ผมดูเหมือนจะเป็นคนภายนอกที่ญาติไม่อยากพูดถึง แต่ญาติแทบทุกคนไม่เคยรู้จักผม ณ ตอนปัจจุบัน ว่าตอนนี้ผมเป็นอย่างไร และทำอะไรอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่สนใจกับคำพูดของคนอื่นที่ มันจะมาทำร้ายจิตใจผม ผมกับครอบครัวของผมอยู่กันเองได้ ไม่เคยมีญาติคนไหนที่มาช่วยเหลือผมในยามที่ผม ตกอับสุดๆ ในชีวิต มีแต่ผม กับ ภรรยาเท่านั้นที่ช่วยกันเอง (ยกเว้นแต่พี่ น้องผม และ เพื่อนผมเองเท่านั้นที่มาช่วยเหลือผม ให้กำลังใจ ในยามที่ผม อ่อนแรง และทุกข์ใจ พี่ในที่นี้ไม่รวมคนโตของบ้าน ซึ่งชอบพูดเอาหน้า และซ้ำเติมผมในตอนตกอับตลอดเวลา)
หลังจากเสร็จจากงานพิธีศพ ทุกอย่าง ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ แม่ ผมกลายเป็นคนไม่มีแม่แล้ว เท่าที่ทำได้ตอนนี้คือ ไปเยี่ยมพ่อให้บ่อย เท่าที่มี โอกาส ผมจะไม่ยอมที่ จะทำผิดพลาดเป็นครั้งที่ 2 จะไม่ผลัดวันประกันพรุ่งอีกแล้ว
หลังจากนั้นประมาณเกือบ 1 เดือน น้องสาวผมได้มาหาผม บอกกับผมว่า พ่อให้มาบอกกันผมว่าแม่ฝากทองไว้ให้ 10 บาทเป็นค่ารักษาตัวที่เป็นเงินเก็บสะสมก้อนสุดท้าย ไว้ให้ผม แม่เคยบอกกับพ่อว่า อยากมีเงินให้ผมสักก้อน และฝากกับพ่อไว้ เพื่อจะได้ก่อสร้างบ้านอย่างที่ผมได้ฝันไว้ ผมแทบจะร้องไห้ออกมา เรื่องทุกเรื่องที่แม่ผมเคยบอกกับผมว่า “อี้มีเงินพอที่จะมาช่วยผมก่อสร้างบ้านพักได้ อี้มีเงินเก็บอยู่”
ผมคิดได้อย่างรวดเร็วทุกคำพูดทุกเหตุการณ์ มันย้อนกลับมาอย่างเร็วมาก ที่แม่ผมทำอย่างนี้ เพราะว่าไม่ต้องการเป็นภาระให้ใครและค่ารักษาพยาบาลก็ต้องใช้เงินไปเรื่อยๆ โดยที่ต้องนำทองไปขาย แม่เคยบอกว่า อยากมีสมบัติไว้ให้ลูกเพื่อไว้ทำทุน ไม่ต้องการรักษาตัวโดยเฉพาะผม
ซึ่งแม่เคยบอกว่า ผมเป็นคนที่จนที่สุดในบ้าน ลำบากที่สุดในบรรดาลูกทุกคน ออกมาจากบ้านก็ไม่มีอะไรติดตัวนอกจาก เงินจำนวน 50,000 บาท ก้อนสุดท้าย ที่พ่อให้มาทำทุน และรถมอเตอร์ไซด์ อายุประมาณ 20 ปี หนึ่งคัน
ซึ่งต่างกับลูกทุกคน มันคงจะเป็นเรื่องจริงที่ญาติทุกคนมอง ผมแบบนั้น ผมมันคนไม่เอาไหน คนไม่เอาถ่าน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคย สร้างความสุขทางใจ หรือทางกายให้กับ พ่อแม่ได้เลยสักครั้ง มีแต่เรื่องให้ พ่อกับแม่ต้องลำบากใจเสมอ
ณ ปัจจุบันผมยังคิดเสมอว่าผมเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในการกระทำของแม่ผม ผมมันคนไม่เอาไหนจริงๆ หลังจากที่ ผมได้รับทองที่แม่ฝากไว้ให้กับพ่อ สิ่งเดียวที่ผมจะทำให้สำเร็จโดยเร็ว และให้สมกับที่แม่ผมตั้งใจเสียสละให้กับผม ผมเริ่มก่อสร้างบ้านพักอีกหลังทันทีที่ได้รับทองมา
(ผมได้นำทองของแม่ไปจำนำ ได้เงินมาประมาณ 100,000 บาท แต่ปัจจุบันได้ไถ่คือกลับมาหมดแล้ว ใช่เวลาไถ่ทองคืนประมาณ 6 เดือน จากวันที่นำไป จำนำ) บวกกับเงินสะสมของผม ผมใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 เดือนกว่า จากการเสียชีวิตแม่ เสร็จสิ้นประมาณกลางเดือนตุลาคม 50
ผมได้ตั้งชื่อบ้านพักหลังนี้ว่า “บ้านรัมภา” ซึ่งคือชื่อแม่ผมเอง ทุกคนจะได้จดจำได้ว่านี้คือแม่ผม นี้คือการเสียสละ ย้ำเตือนถึงว่าผมมันคนไม่เอาไหน และที่สำคัญแม่ยังคงอยู่ใกล้ๆ กับผมไม่ได้ไปไหน
บ่อยครั้ง ที่ผมมองดูบ้านรัมภา น้ำตาผมจะไหล และมักจะคิดว่าทำไมผมถึงเป็นคนไม่เอาไหนถึงขนาดนี้ อายุก็ขนาดนี้แล้วยังช่วยเหลือแม่ไม่ได้เลย ไม่เคยทำให้แม่สบายใจได้แม้แต่ครั้งเดียว “อี้ ผม...ขอโทษ ผมจะทำทุกอย่าง อย่างที่อี้คาดหวังไว้ให้สำเร็จ ถึงมันจะนาน แต่ผมจะทำให้ได้ครับ”
ระยะเวลาจากตอนที่ 3 ถึงตอนที่ 4 เป็นเวลา เกือบ 2 ปี ผมไม่แน่ใจจะลงดีหรือเปล่า แต่ก็ทำใจในการเขียนบทนี้ เป็นเวลาครบรอบวันเสียชีวิตแม่ผมพอดี และตอนที่ 5 เป็นบทสรุปของ บ้านผิงดาว บ้านที่ต้องไปถึงดวงดาว