บทที่ 5 จุดหมายปลายทาง กับ คำตอบที่รอคอย
บทที่ 5 นี้ จะเป็นเรื่องราว ที่คงเหลือ และเป็นบทสรุปสุดท้าย ของประวัติบ้านรัมภา หลังจากที่ลงตอนที่ 4 ไปเมื่อประมาณเดือน กรกฏาคม 2552 ห่างกันประมาณ 1 ปีกว่าๆ
ผมได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ นาๆ มีทั้งเรื่อง เสียใจ ดีใจ เสียน้ำตา ทั้งท้อถอย การถูก ดูถูก เหยียบหยาม แต่สิ่งหนึ่งที่ ทำให้ผมไม่สามารถหยุดนิ่ง และท้อถอยได้ คือผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวของผม (แม่น้องข้าว และน้องข้าว) ทั้งสองคน
คำพูดของคนที่เคยดูถูกเรา ทั้งหมดนั้นเป็นแรงผลักดันให้ผม ที่ทำให้ผมต้องทำ ในสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้ แต่ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าสิ่งใด ที่ยากลำบากผมต้องทำได้ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ เพื่อไปให้ถึงจุดฝันปลายทาง ทุกอย่างต้องทำได้
ถึงต้องใช้เวลาบ้างในการทำแต่ต้องสำเร็จ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานว่า ทุกอย่างที่ทำต้องไม่ผิดศีลธรรม และทำให้คนอื่นต้องเสียใจ
ผมได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มา ทำให้ผมเป็นคนใหม่ อีกคนที่ไม่ใช่คนเก่า บางสิ่งในตัวผมถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร จึงทำให้ผมกลายเป็นอีกคน และทำให้ผมได้เห็นในสิ่งที่เป็นจริง หลายๆ เรื่อง เห็นช่องทางอะไรๆ หลายๆ อย่าง เห็นสัจธรรมในชีวิต ทำให้ผมได้เจอส่วนดีของคนที่ผมคิดว่า เค้าไม่ใช่คนแบบนี้ แต่เค้าเป็นคนดี คนที่ผมคิดว่าเค้าเป็นคนดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเค้าไม่ใช่
เจอคนที่จริงใจกับเรา พร้อมช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งกัน ในยามที่ต้อง ตกทุกข์ได้ยาก และเจอคนที่พร้อมจะซ้ำเติมเรา ถ้าเราพลาด หรือตกต่ำ รู้จักคำว่าพอเพียง ตามที่พระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ ผมใช่เวลา 5 ปี เริ่มจาก วันที่ 12 สิงหาคม 2548 ณ. ตอนนั้นผมอายุ 31 ปี จากคนที่ ต้องเก็บเงินเพื่อซื้อข้าวสารมากินกันในครอบครัว เก็บเงินไว้ซื้อนมให้ลูก ทานไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว
ต้องออกหางานทำรายได้วันละ 148 บาท นำมาใช่จ่ายกันในครอบครัว จนมาถึงวันนี้ ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน ผมเริ่มพอมีกิน พอมีใช่ภายในครอบครัว แต่ไม่ได้มากมาย “พอมีกิน พอมีใช่” ไม่ได้ร่ำรวมเงินทองอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน คือ “ความสุขทางใจ”
แรกเริ่มเดิมที ผมคิดว่าจะหยุดสร้างทุกอย่างตอนผมอายุ 40 ปี แต่ผมคิดได้ว่าผมยังต้องรอ คำตอบจากใครบ้างคน ที่ผมต้องขอคำตอบให้ได้ก่อน ก่อนที่ผมจะหยุดสร้าง แต่ไม่ใช่หยุดทำ
ผมเคยมีปากเสียงทะเลาะกับพ่อของผม ผมจึงถาม พ่อผมว่า “เคยภูมิใจในตัวผมบ้างไหม” คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิตนี้
มีแต่เรื่องที่ทำให้เค้าต้องเสียใจหนักใจตลอดเวลา” คำตอบนี้เอง ที่ทำผมเสียใจ และรู้สึกจิตใจของผมเป็นทุกข์อย่างมาก เวลาที่ผมคิดถึงแม่ ว่าทำไมตั้งแต่เกิดมา ผมจึงไม่สามารถ ทำหรือให้กับคนที่รักผม มีความภาคภูมิใจในตัวลูกคนนี้ได้ แม้แต่ครั้งเดียว
แม้แต่แม่ของผม ผมเคยถาม คำถามเดียว ที่เคยถามพ่อ แต่แม่ของผม ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร ผมไม่ทราบความหมายในรอยยิ้มนั้นว่า แม่ผมหมายถึงอะไร จนทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า หมายถึงอะไร
ผมนึกถึง เมื่อตอนที่ผมโดนไล่ออกจากที่ทำมาหากินเก่า สภาพผมตอนนั้น ชีวิตนี้จะทำอย่างไรดี และคนที่เรารัก ครอบครัวเราจะไปทิศทางใด เหมือนลอยอยู่กลางทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง ผมมีความรู้สึกว่า ไหล่ทั้ง 2 ข้างของผม มันชั่งหนักมากเหลือเกิน ดวงตาของผมทำไมถึงมืดมน มองไปทางไหนก็เป็นสีเทา เห็นแต่ละอองน้ำ ผมคิดว่าคงเป็นน้ำตาผมเอง ความคิดต่างๆ ไม่มีอยู่ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า และรู้สึกเหนื่อยมากและหมดเรี่ยวแรง
คนรอบข้างไม่มีใครเหลียวแล แม้แต่คำว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม" ก็ไม่มีใครพูดถึง
แต่ ณ วันนี้ ผมพอจะรู้แล้ว ว่าทำไมวันนั้น ไหล่ทั้ง 2 ข้างของผมถึงหนักเช่นนั้น เพราะว่าจะได้ไม่ลืมว่าเราต้องแบกรับครอบครัวของเราเอง และจะได้มีน้ำหนักให้ผมได้เดิน อย่างมั่นคง ค่อยๆ เดินที่ละก้าว อย่างช้าๆ และมั่นคงทุกย่างก้าว
ดวงตาของผมในวันนั้นทำไม ถึงมืดมน และมองอะไรก็เป็นสีเทา เห็นแต่ละอองน้ำ อาจเป็นเพราะว่าต้องการให้ผมได้หลับ น้ำที่ว่าคงจะชะล้างฝุ่นในตาผมให้สะอาด จะได้เห็นอะไรในชีวิตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และค่อยเริ่มเปิดตาใหม่ ที่รอรับแสงอรุณสีทองในเช้าวันใหม่
ความคิดที่ว่างเปล่า เพราะว่าต้องการให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน ลืมเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้ว ไม่คิดฝั่งอยู่แต่ในอดีต เพื่อให้เตรียมความคิดที่ดีๆ และริเริ่มใหม่
ความรู้สึกที่เหนื่อยมากเหมือนคนไม่แรง เพราะว่าต้องการให้ผมได้พักอย่างเต็มที่ และมีกำลังใจ กำลังกาย เตรียมพร้อมเริ่มต่อสู้กับชีวิตใหม่ ที่เราจะเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ ให้ดีกว่าเก่า
ณ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว ที่จะเริ่มสร้างฝันให้เป็นจริง เพื่อคนที่ผมรัก และครอบครัวที่ผมรัก ให้มีความสุข ความสบาย เป็นที่ภาคภูมิใจให้กับคนทุกคน
พ.ศ.2548 เริ่มก่อสร้างร้านอาหารครัวผิงดาว และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2549 เริ่มก่อสร้างบ้านพักผิงดาว และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2550 เริ่มก่อสร้างบ้านพักรัมภา และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2551 เริ่มพัฒนาปรับปรุงบ้านเก่า เพื่อสร้างเป็นบ้านพักจันทร์แดง
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2552 เริ่มก่อสร้างบ้านพัก จิวและจันทร์แดงในรูปแบบใหม่
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2553 เริ่มก่อสร้างบ้านและร้านอาหารผิงดาวรูปแบบใหม่
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2554 เป็นปีขอหยุดพัก
พ.ศ.2555 ปรับปรุงร้านกาแฟเป็นบ้านพักอีกหนึ่งหลัง
พ.ศ.2556 ปรับปรุงบ้านพักผิงดาวจาก 1 ห้อง เป็น 4 ห้อง2ชั้นจะแล้วเสร็จประมาณ มิถุนายน 2556
ณ วันนี้ผม คนที่ผมอยากให้มาชื่นชมและภาคภูมิใจในตัวผมมากที่สุดคือ “อี้” แม่ของผมเอง ผมอยากบอกกับแม่ ของผมว่า การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของ อี้ ผมจะไม่ทำให้อี้ต้องผิดหวังอีก และวันนี้ผมทำได้แล้ว อี้หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงผมและครอบครัว
ผมได้หลุดจากบ่อโคลนตม ขึ้นมาแล้ว ความคาดหวังที่ อี้อยากให้ผม ลืมตาอ้าปาก พอได้มีกิน มีใช้แบบพี่ น้องคนอื่นบ้าง วันนี้ผมทำได้แล้ว ถึงมันจะไม่ได้มากมาย แบบคนอื่น
แต่ผมว่ามันก็มากพอสำหรับครอบครัวของผม วันนี้ผมมีความสุข ผมก็คิดว่า แม่ของผมก็คงมีความสุขเช่นกัน แต่คนที่จะสรุปว่า ผมทำได้ และเป็นที่ภาคภูมิใจ คือ “พ่อ” ผมเอง
และนี้คือคำตอบที่ผมรอคอย ผมจะรอคำตอบนี้จากปากพ่อของผม ถึงมันจะนานแค่ไหนผมก็ จะรอ และจะทำงานสร้างตัว และครอบครัวให้ดีที่สุด
ผมต้อง “ก้าวหน้าและพัฒนา” ไม่ให้พ่อต้องผิดหวังในตัวผมอีก เพื่อเพียงคำพูดเดียวว่า
“แปะรู้สึกภูมิใจในตัวลูกคนนี้บ้าง เพียงเสี้ยวเดียวในความรู้สึกของแปะ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
สุดท้ายนี้ผม ขอขอบคุณ "เพื่อนๆ ทุกคน และผู้มีพระคุณต่อ ผมและครอบครัวทุกท่าน" ที่ทำให้ผมและครอบครัวมีวันนี้ ถ้าไม่มีทุกท่านวันนั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้
ไม่คำใดๆ ที่จะกล่าว นอกจากคำว่า
"ขอบคุณด้วยความจริงใจครับ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ"
รูปบ้านผิงดาวเมื่อพ.ศ.2548
รูปบ้านผิงดาวปัจจุบันแต่อีก1เดือน(มิถุนายน56) จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
ปล.บ้างท่านอาจสงสัยว่าทำไมชีวิตผมเปลี่ยน
ผมเคยพูดกับภรรยาบ่อยๆ ว่า อยากเจอคนที่ประสพความสำเร็จในชีวิต ที่รวยมากๆ ระดับ 100 ล้าน ผมอยากถามเค้าว่า
"เค้าทำอย่างไรให้ชีวิต ร่ำรวย และประสพความสำเร็จ ภรรยาผมบอกว่า บ้าคนระดับนั้นเค้าจะมาคุยกับเราทำไหม ฝันไปเถอะ"
แต่ฝันนั้นเป็นจริง และ ทุกท่านก็ได้ให้ในสิ่งที่ผมต้องการรู้
ชีวิตผมเปลี่ยนเพราะผมได้เจอบุคคล 3 ท่าน ทำให้ผมมีเปลี่ยนแปลงไปทันที
และที่สำคัญบุคคลทั้ง 3 ท่านนี้ได้มาที่บ้านผม ต่างเวลาแต่มาเป็นลำดับ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
ที่เราได้เจอกัน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
บุคคล 3 ท่านนี้ได้ให้ ของ 3 สิ่งกับผม และนำมารวมกัน ก็ส่งผลประสพความสำเร็จในอาชีพทันที
และเมื่อนำมาทำซ้ำวน ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็สำเร็จ
ผมขอขอบคุณอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน ครับ
1. คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษ้ท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ
ที่ให้ผมถาม
1 คำถามและ ผมได้ 1 คำตอบที่มีผลกับผมมาก
2.พี่หน่อง(คุณอรุโณชา ภาณุพันธ์ ) และพี่ไก่ บริษัท บรอดคลาสซ์ ไทยเทเลวิชั่น จำกัด
ที่ได้ให้ 1 คำแนะนำกับการแตกสายอาชีพ
3.พี่วิเชียร เฆมตระการ และ พี่ศรีวรรณเฆมตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS)
ที่ได้ให้ 1 โอกาศที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นต่อยอดสายงาน
บ้านผิงดาว บ้านที่ต้องไปถึงดวงดาว(บ้านผิงดาวเขาใหญ่)ตอนที่5 บทสรุป จุดหมายปลายทาง และคำที่รอคอย
บทที่ 5 นี้ จะเป็นเรื่องราว ที่คงเหลือ และเป็นบทสรุปสุดท้าย ของประวัติบ้านรัมภา หลังจากที่ลงตอนที่ 4 ไปเมื่อประมาณเดือน กรกฏาคม 2552 ห่างกันประมาณ 1 ปีกว่าๆ
ผมได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ นาๆ มีทั้งเรื่อง เสียใจ ดีใจ เสียน้ำตา ทั้งท้อถอย การถูก ดูถูก เหยียบหยาม แต่สิ่งหนึ่งที่ ทำให้ผมไม่สามารถหยุดนิ่ง และท้อถอยได้ คือผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวของผม (แม่น้องข้าว และน้องข้าว) ทั้งสองคน
คำพูดของคนที่เคยดูถูกเรา ทั้งหมดนั้นเป็นแรงผลักดันให้ผม ที่ทำให้ผมต้องทำ ในสิ่งที่ไม่น่าจะทำได้ แต่ต้องทำให้ได้ ไม่ว่าสิ่งใด ที่ยากลำบากผมต้องทำได้ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ เพื่อไปให้ถึงจุดฝันปลายทาง ทุกอย่างต้องทำได้
ถึงต้องใช้เวลาบ้างในการทำแต่ต้องสำเร็จ แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานว่า ทุกอย่างที่ทำต้องไม่ผิดศีลธรรม และทำให้คนอื่นต้องเสียใจ
ผมได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มา ทำให้ผมเป็นคนใหม่ อีกคนที่ไม่ใช่คนเก่า บางสิ่งในตัวผมถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร จึงทำให้ผมกลายเป็นอีกคน และทำให้ผมได้เห็นในสิ่งที่เป็นจริง หลายๆ เรื่อง เห็นช่องทางอะไรๆ หลายๆ อย่าง เห็นสัจธรรมในชีวิต ทำให้ผมได้เจอส่วนดีของคนที่ผมคิดว่า เค้าไม่ใช่คนแบบนี้ แต่เค้าเป็นคนดี คนที่ผมคิดว่าเค้าเป็นคนดี แต่ในความเป็นจริงแล้วเค้าไม่ใช่
เจอคนที่จริงใจกับเรา พร้อมช่วยเหลือ ไม่ทอดทิ้งกัน ในยามที่ต้อง ตกทุกข์ได้ยาก และเจอคนที่พร้อมจะซ้ำเติมเรา ถ้าเราพลาด หรือตกต่ำ รู้จักคำว่าพอเพียง ตามที่พระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ ผมใช่เวลา 5 ปี เริ่มจาก วันที่ 12 สิงหาคม 2548 ณ. ตอนนั้นผมอายุ 31 ปี จากคนที่ ต้องเก็บเงินเพื่อซื้อข้าวสารมากินกันในครอบครัว เก็บเงินไว้ซื้อนมให้ลูก ทานไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียว
ต้องออกหางานทำรายได้วันละ 148 บาท นำมาใช่จ่ายกันในครอบครัว จนมาถึงวันนี้ ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน ผมเริ่มพอมีกิน พอมีใช่ภายในครอบครัว แต่ไม่ได้มากมาย “พอมีกิน พอมีใช่” ไม่ได้ร่ำรวมเงินทองอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มมีมากขึ้นทุกวัน คือ “ความสุขทางใจ”
แรกเริ่มเดิมที ผมคิดว่าจะหยุดสร้างทุกอย่างตอนผมอายุ 40 ปี แต่ผมคิดได้ว่าผมยังต้องรอ คำตอบจากใครบ้างคน ที่ผมต้องขอคำตอบให้ได้ก่อน ก่อนที่ผมจะหยุดสร้าง แต่ไม่ใช่หยุดทำ
ผมเคยมีปากเสียงทะเลาะกับพ่อของผม ผมจึงถาม พ่อผมว่า “เคยภูมิใจในตัวผมบ้างไหม” คำตอบที่ได้รับคือ “ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิตนี้
มีแต่เรื่องที่ทำให้เค้าต้องเสียใจหนักใจตลอดเวลา” คำตอบนี้เอง ที่ทำผมเสียใจ และรู้สึกจิตใจของผมเป็นทุกข์อย่างมาก เวลาที่ผมคิดถึงแม่ ว่าทำไมตั้งแต่เกิดมา ผมจึงไม่สามารถ ทำหรือให้กับคนที่รักผม มีความภาคภูมิใจในตัวลูกคนนี้ได้ แม้แต่ครั้งเดียว
แม้แต่แม่ของผม ผมเคยถาม คำถามเดียว ที่เคยถามพ่อ แต่แม่ของผม ได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร ผมไม่ทราบความหมายในรอยยิ้มนั้นว่า แม่ผมหมายถึงอะไร จนทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า หมายถึงอะไร
ผมนึกถึง เมื่อตอนที่ผมโดนไล่ออกจากที่ทำมาหากินเก่า สภาพผมตอนนั้น ชีวิตนี้จะทำอย่างไรดี และคนที่เรารัก ครอบครัวเราจะไปทิศทางใด เหมือนลอยอยู่กลางทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง ผมมีความรู้สึกว่า ไหล่ทั้ง 2 ข้างของผม มันชั่งหนักมากเหลือเกิน ดวงตาของผมทำไมถึงมืดมน มองไปทางไหนก็เป็นสีเทา เห็นแต่ละอองน้ำ ผมคิดว่าคงเป็นน้ำตาผมเอง ความคิดต่างๆ ไม่มีอยู่ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า และรู้สึกเหนื่อยมากและหมดเรี่ยวแรง
คนรอบข้างไม่มีใครเหลียวแล แม้แต่คำว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม" ก็ไม่มีใครพูดถึง
แต่ ณ วันนี้ ผมพอจะรู้แล้ว ว่าทำไมวันนั้น ไหล่ทั้ง 2 ข้างของผมถึงหนักเช่นนั้น เพราะว่าจะได้ไม่ลืมว่าเราต้องแบกรับครอบครัวของเราเอง และจะได้มีน้ำหนักให้ผมได้เดิน อย่างมั่นคง ค่อยๆ เดินที่ละก้าว อย่างช้าๆ และมั่นคงทุกย่างก้าว
ดวงตาของผมในวันนั้นทำไม ถึงมืดมน และมองอะไรก็เป็นสีเทา เห็นแต่ละอองน้ำ อาจเป็นเพราะว่าต้องการให้ผมได้หลับ น้ำที่ว่าคงจะชะล้างฝุ่นในตาผมให้สะอาด จะได้เห็นอะไรในชีวิตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และค่อยเริ่มเปิดตาใหม่ ที่รอรับแสงอรุณสีทองในเช้าวันใหม่
ความคิดที่ว่างเปล่า เพราะว่าต้องการให้เลิกคิดฟุ้งซ่าน ลืมเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้ว ไม่คิดฝั่งอยู่แต่ในอดีต เพื่อให้เตรียมความคิดที่ดีๆ และริเริ่มใหม่
ความรู้สึกที่เหนื่อยมากเหมือนคนไม่แรง เพราะว่าต้องการให้ผมได้พักอย่างเต็มที่ และมีกำลังใจ กำลังกาย เตรียมพร้อมเริ่มต่อสู้กับชีวิตใหม่ ที่เราจะเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ ให้ดีกว่าเก่า
ณ ตอนนี้ผมพร้อมแล้ว ที่จะเริ่มสร้างฝันให้เป็นจริง เพื่อคนที่ผมรัก และครอบครัวที่ผมรัก ให้มีความสุข ความสบาย เป็นที่ภาคภูมิใจให้กับคนทุกคน
พ.ศ.2548 เริ่มก่อสร้างร้านอาหารครัวผิงดาว และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2549 เริ่มก่อสร้างบ้านพักผิงดาว และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2550 เริ่มก่อสร้างบ้านพักรัมภา และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2551 เริ่มพัฒนาปรับปรุงบ้านเก่า เพื่อสร้างเป็นบ้านพักจันทร์แดง
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2552 เริ่มก่อสร้างบ้านพัก จิวและจันทร์แดงในรูปแบบใหม่
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2553 เริ่มก่อสร้างบ้านและร้านอาหารผิงดาวรูปแบบใหม่
และเปิดบริการได้สำเร็จ
พ.ศ.2554 เป็นปีขอหยุดพัก
พ.ศ.2555 ปรับปรุงร้านกาแฟเป็นบ้านพักอีกหนึ่งหลัง
พ.ศ.2556 ปรับปรุงบ้านพักผิงดาวจาก 1 ห้อง เป็น 4 ห้อง2ชั้นจะแล้วเสร็จประมาณ มิถุนายน 2556
ณ วันนี้ผม คนที่ผมอยากให้มาชื่นชมและภาคภูมิใจในตัวผมมากที่สุดคือ “อี้” แม่ของผมเอง ผมอยากบอกกับแม่ ของผมว่า การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของ อี้ ผมจะไม่ทำให้อี้ต้องผิดหวังอีก และวันนี้ผมทำได้แล้ว อี้หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงผมและครอบครัว
ผมได้หลุดจากบ่อโคลนตม ขึ้นมาแล้ว ความคาดหวังที่ อี้อยากให้ผม ลืมตาอ้าปาก พอได้มีกิน มีใช้แบบพี่ น้องคนอื่นบ้าง วันนี้ผมทำได้แล้ว ถึงมันจะไม่ได้มากมาย แบบคนอื่น
แต่ผมว่ามันก็มากพอสำหรับครอบครัวของผม วันนี้ผมมีความสุข ผมก็คิดว่า แม่ของผมก็คงมีความสุขเช่นกัน แต่คนที่จะสรุปว่า ผมทำได้ และเป็นที่ภาคภูมิใจ คือ “พ่อ” ผมเอง
และนี้คือคำตอบที่ผมรอคอย ผมจะรอคำตอบนี้จากปากพ่อของผม ถึงมันจะนานแค่ไหนผมก็ จะรอ และจะทำงานสร้างตัว และครอบครัวให้ดีที่สุด
ผมต้อง “ก้าวหน้าและพัฒนา” ไม่ให้พ่อต้องผิดหวังในตัวผมอีก เพื่อเพียงคำพูดเดียวว่า
“แปะรู้สึกภูมิใจในตัวลูกคนนี้บ้าง เพียงเสี้ยวเดียวในความรู้สึกของแปะ ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
สุดท้ายนี้ผม ขอขอบคุณ "เพื่อนๆ ทุกคน และผู้มีพระคุณต่อ ผมและครอบครัวทุกท่าน" ที่ทำให้ผมและครอบครัวมีวันนี้ ถ้าไม่มีทุกท่านวันนั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้
ไม่คำใดๆ ที่จะกล่าว นอกจากคำว่า
"ขอบคุณด้วยความจริงใจครับ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ"
รูปบ้านผิงดาวเมื่อพ.ศ.2548
รูปบ้านผิงดาวปัจจุบันแต่อีก1เดือน(มิถุนายน56) จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม
ปล.บ้างท่านอาจสงสัยว่าทำไมชีวิตผมเปลี่ยน
ผมเคยพูดกับภรรยาบ่อยๆ ว่า อยากเจอคนที่ประสพความสำเร็จในชีวิต ที่รวยมากๆ ระดับ 100 ล้าน ผมอยากถามเค้าว่า
"เค้าทำอย่างไรให้ชีวิต ร่ำรวย และประสพความสำเร็จ ภรรยาผมบอกว่า บ้าคนระดับนั้นเค้าจะมาคุยกับเราทำไหม ฝันไปเถอะ"
แต่ฝันนั้นเป็นจริง และ ทุกท่านก็ได้ให้ในสิ่งที่ผมต้องการรู้
ชีวิตผมเปลี่ยนเพราะผมได้เจอบุคคล 3 ท่าน ทำให้ผมมีเปลี่ยนแปลงไปทันที
และที่สำคัญบุคคลทั้ง 3 ท่านนี้ได้มาที่บ้านผม ต่างเวลาแต่มาเป็นลำดับ มันเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ
ที่เราได้เจอกัน และทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
บุคคล 3 ท่านนี้ได้ให้ ของ 3 สิ่งกับผม และนำมารวมกัน ก็ส่งผลประสพความสำเร็จในอาชีพทันที
และเมื่อนำมาทำซ้ำวน ไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็สำเร็จ
ผมขอขอบคุณอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน ครับ
1. คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษ้ท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ
ที่ให้ผมถาม 1 คำถามและ ผมได้ 1 คำตอบที่มีผลกับผมมาก
2.พี่หน่อง(คุณอรุโณชา ภาณุพันธ์ ) และพี่ไก่ บริษัท บรอดคลาสซ์ ไทยเทเลวิชั่น จำกัด ที่ได้ให้ 1 คำแนะนำกับการแตกสายอาชีพ
3.พี่วิเชียร เฆมตระการ และ พี่ศรีวรรณเฆมตระการ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS)
ที่ได้ให้ 1 โอกาศที่ทำให้ผมได้เริ่มต้นต่อยอดสายงาน