บ้านผิงดาว บ้านที่ต้องไปถึงดวงดาว(บ้านผิงดาวเขาใหญ่)ตอนที่2 วิกฤตของชีวิต

ตอนที่2 วิกฤตของชีวิต

.....กลับมาเข้าเรื่องผมต่อผมได้ออกจากงานมาค้าขายที่บ้านพ่อผมซึ่งเป็นที่ขายของ ของญาติฝ่ายพ่อผม ซึ่งผมกับลูกชายคนเล็กเจ้าของที่ก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไร สาเหตุจากที่ผมเคยทะเลาะกับเขา และเขาก็มาด่าแม่ผมว่าปัญญาอ่อน พร้อมเตรียมปืนมาขู่ซะด้วย ทำให้ผมโกรธ เขามากแต่อยู่ในใจตลอดมา

และส่วนหนึ่งนั้น ผมกับเจ้าของที่ก็ไม่ค่อยจะถูกกันอีกแล้ว ผมมันตัวปัญหาของบ้านจริงๆ ครับ ตลอดเวลาที่ผมไปค้าขายในที่ดินของญาติฝ่ายพ่อผม ญาติพ่อผมจะเดินมาต่อว่าพ่อผมตลอดเวลาทั้งในเรื่องของผมเองและเรื่องของพ่อผมด้วย แต่เป็นเรื่องผมซะมากกว่า

จนวันหนึ่งผมขับรถให้พ่อผมไปเยี่ยมแม่ซึ่งได้พักฟื้นอยู่ในปั้มน้ำมันของพี่ชายใน อ.มวกเหล็ก ขณะนั้นอยู่ดีๆพ่อผมได้พูดออกมาว่าโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมแม้แต่นิดเดียวว่า “คนเราต้องอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อดตายดีกว่าให้เขามาดูถูกเรา ให้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอยู่อย่างนี้” แล้วพ่อผมก็เงียบไปโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ พอผมได้ฟัง เหตุการณ์ต่างๆ ได้วิ่งมาในหัวผมทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่ญาติฝ่ายพ่อเขากระทำกับผมและเรื่องที่ผมกระทำต่อเขา มันทำให้ผมคิดได้

ในวันรุ่งขึ้น ผมเตรียมของไปขาย และได้ตัดใจเดินเขาไปถามเจ้าของที่ โดยที่ไม่ได้ปรึกษาใครแม้แต่คนเดี่ยวทั้งพ่อผม และภรรยาผม ว่าผมจะขอขายของต่อได้ไหม เขาก็ตอบกลับมาว่า “มาขอขายของกูก็ให้ขายแต่ขายของเกินที่กูอนุญาต โดยไม่ขออนุญาตกู เห็นกูเป็นอะไร กูจะให้ลูกน้องกูขายแทง (คุณคิดหรือเปล่าของที่ว่านั้นคืออะไร ซึ่งมันเป็นแค่การขายกล้วยทอด หรือ กล้วยแขกและไข่ปิ้งเอง

ซึ่งมันเป็นของขายที่รายดีและได้กำไรดีครับ ต้นทุนประมาณ 35 บาท แต่พอทำเสร็จ ต้นทุน35 บาทจะกลายเป็น ประมาณ 150 บาท ซึ่งผมมองว่ามันตลกดีครับ ห้ามผมขายกล้วยทอด เพราะว่าลูกสาวเขาเคยถามผมว่า กล้วยทอดกำไรดีไหม ผมก็ตอบไปว่ากำไรดี ตามความจริง แต่พอแม่เขารู้ว่ากำไรดีก็เป็นเรื่องซิครับ )

จากนั้นผมก็บอกว่าถ้าไม่ให้ขายก็ไม่ขาย แต่มีเรื่องนึ่งจะขอพูดว่าทำไมผมจึงโกรกลูกชายคนเล็กเขา แต่ขอให้ลูกชายคนเล็กของญาติฝ่ายพ่อผมมาฟังด้วย และตอบคำถามผมว่า ใช่ หรือไม่ใช่แค่นั้น ญาติฝ่ายพ่อก็ไปตามลูกชายเขามา ผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดไป ซึ่งลูกชายของเค้าก็ยอมรับความจริง แต่ยอมรับไม่หมด พี่น้องเค้าก็ต่อว่าลูกชายคนเล็กของเค้าแค่เล็กๆน้อยๆและมองว่าผมเป็นฝ่ายผิดอยู่ดีที่มามีเรื่องกับลูกชายของเค้าเอง

และญาติฝ่ายพ่อกลับตอบผมมาว่า “ที่พวกมีกินมีใช้ทุกวันนี้ก็เพราะเขา และลูกของเขา ถึงลูกกูจะผิดมันก็เป็นลูกกู ถึงจะถูกแต่ไม่ใช่ลูกกู ฉะนั้นกับกูจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายไป ก็มีศักดิ์ศรี กูก็มีศักดิ์ ฉะนั้นต่างคนก็มีศักดิ์จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้ต้องออกไปจากที่ของกู”

ก่อนออกมาจากบ้านญาติฝ่ายพ่อผม ผมยกมือไหว้เขาและพี่น้องของเขาทุกคนแล้วก็ขอบคุณเขา เดินไปบอกพ่อผมว่าผมได้ทำในสิ่งที่ผมคิดไว้แล้วสบายใจแล้ว ทั้งๆ ภรรยาของผมกำลังจะคลอดลูกของผม

และตอนนั้นผมได้นำเงินแต่งงานไปลงทุนทำร้านอาหารเล็กๆที่บ้านภรรยาซึ่งอยู่ที่เขาใหญ่ เพื่อเป็นการเตรียมการในอนาคตว่าสักวันอาจจะมาเปิดร้านที่นี้ เงินที่มีทั้งหมดจึงทุ่มลงไปจนหมดและร้านก็ยังไม่เสร็จลูกผีลูกคนอยู่เลยเงินจากการขายของที่ทำอยู่ก็นำมาหมุนทุกอย่างภายในบ้านทั้งก่อสร้างร้านอาหารไหนจะค่าใช้จ่ายภายในบ้านแต่ก็ต้องเลิกขายโดนไล่ที่นี้ครับ ไม่มีเงินเหลืออยู่ติดตัวเลย และไหนต้องโดนให้ออกจากที่ขายของด้วย เรียกว่าไม่มีเงินติดกระเป๋ากันเลยครับ ต้องเก็บเงินบ้างส่วนไว้ซื้อข้าวสารทานกัน

พ่อก็ให้เงินมาลงทุน 5หมื่นบาท ผมได้มาเท่านี้จริงๆ ครับก็ทางบ้านไม่มีเงินแล้วครับ เงินที่ได้มาก็นำมาก่อสร้างร้านอาหารหมดแล้ว ภรรยาก็จะคลอกลูกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมคิดมากจนป่วยเลยทีเดียว จากคนที่เคยมีเงินใช้ กลายเป็นคนที่ไม่มีเงินเลย วันๆได้แต่มายืนมองร้านอาหารที่กำลังก่อสร้างอยู่ เงินหมดแล้ว จะทำไงต่อดี แต่ต้องทำเดินหน้าลูกเดียว ถอยไม่ได้แล้ว แม้แต่ตอนที่ภรรยาผมไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลผมมีเงินติดตัวแค่ 2,000 บาท (2พันบาท) ทางบ้านผมถามว่ามีเงินไหม ผมก็ต้องโกหกเขาว่ามีไม่ต้องเป็นห่วง ทั้งๆที่เงินทั้งหมดภายในบ้านทั้งหมดผมมีแค่ 2,000 บาท(2 พันบาท) แต่โชคดีที่ผมมีบัตร30 บาท

ก่อนที่ภรรยาผมจะคลอดลูกทั้งเพื่อนและญาติก็บอกผมว่าให้ไปคลอดลูกโรงพยาบาลดีๆ ที่ค่าคลอกลูกเป็นหมื่น ใจผมก็อยากไปครับแต่ไม่มีเงินจึงต้องบอกเขาว่าคลอดที่ไหนก็เหมือนกัน ประหยัดดีด้วย ตอนนั้นในใจผมขออย่างเดียวว่าขอให้ลูกและภรรยาผมปลอดภัยเท่านั้นพอครับ และจึงขอให้เพื่อนๆ มาช่วยกันมาช่วยลงแรงทาสีกัน ตกแต่งร้านกัน เท่าที่จะทำได้ ให้เปิดขายอาหารให้ได้ไม่งั้นผมกับภรรยาและลูกคงอดตายกันแน่ ผมโชคดีที่มีเพื่อนดี มันก็มาช่วยลงแรงกัน ทำร้านอาหารกันโดยไม่บ่นกันเลยครับ แม้ว่าแต่ละคนจะไม่มีความรู้เรื่องช่างกันเลยแต่ก็ช่วยกันทำจนเสร็จ สามารถเปิดร้านอาหารกันได้ จนทุกวันนี้

บ้างท่านอาจถามว่าแล้วเงินสินสอดทองหมั่นหายไปไหน ก็ต้องขอตอบว่าผมนำไปลงทุนทำร้านคอมพิวเตอร์ และร้านขายของในตลาดก็ที่ผมไปขายในที่ญาติฝ่ายพ่อครับ และบางส่วนก็นำไปซื้อรถมือ 2 เพื่อจะได้ขับไปขายของที่ตัวเมืองปากช่องระยะทางจากบ้านที่เขาใหญ่ไปเมืองปากช่องประมาณ 30 กิโล ประมาณ 60,000 บาท ยังไม่รวมที่ต้องมาซ่อมอีกครับ ซึ่งเป็นรถคันแรกในชีวิตผมครับอายุรถก็น้อยกว่าผมแค่ปีเดียวเองครับ อยากได้ป้ายแดงเหมือนกันแต่ไม่มีปัญญาออกครับไม่มีเงิน

และตลอดเวลาผมไม่เคยจะบอกแม่ผมสักครั้งเดียวว่าผมโดนไล่ให้ออกจากที่ขายของกลัวแม่จะไม่สบายใจและป่วยครับ จนมีคนไปเล่าให้แม่ผมฟัง แม่ผมจึงเรียกผมมาถาม ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด........ติดตามตอนที่ 3
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่