หลายปีมานี่ผมไม่เคยดูหนังเรื่องไหนประทับใจเหมือนเรื่องนี้มาก่อน เลยอยากจะพูดถึงมันยาวสักนิด และก็น่าจะเป็นที่แน่นอนว่าผู้กำกับคนนี้คงจะเป็นหนึ่งในผู้กำกับโปรดของผมเสียแล้ว ผมไม่รู้ว่าตำรวจที่รู้ตัวเองว่าได้ทำอะไรไม่ดีเอาไว้ดูเรื่องนี้แล้วจะแสบๆคันๆขนาดไหน เพราะนี้มันคือการลอกคราบให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตเลยทีเดียว สัจธรรมบางอย่างระหว่างเลือดตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฝ่ายที่ผดุงความยุติธรรม กับเลือดโจรที่ไม่เคารพกฏหมาย ฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นฝ่ายที่มีคุณธรรมมากกว่ากัน
หนังเรื่องนี้พอดูไปซักพักผมเห็นด้วยกับหลายคน ที่รู้สึกเหมือนหนังจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา หรือ 3ยุคอย่างชัดเจน ผมรู้สึกว่า Derek Cianfrance ผู้กำกับคนนี้มักเล่นกับ อดีต และ ปัจจุบัน ดังที่เราเห็นใน Blue Valentine ความรักครั้งในอดีต เร่าร้อนหอมหวานเข้าทำนองน้ำต้มผักอะไรเทือกนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รู้ว่าชีวิตคู่คนเราไม่ได้หอมหวานยั่งยืนอย่างที่มันควรจะเป็น จากคนที่เคยหล่อและขยันทำมาหากิน กลับกลายเป็น คนขี้เหล้าหัวล้านลงพุง ไม่พอยังขี้หึงและบ้ากามมากอีกต่างหาก
หนังเริ่มเล่าจากยุคของไรอัน คือช่วงปลายยุค 90s แต่ในโลกของหนังในขณะนั้นกลับเป็นปัจจุบัน และเริ่มจะกลายเป็นอดีตไปพร้อมกับเรื่องที่ดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงยุคของลูกตัวเองในตอนท้าย ซึ่งก็คือช่วงเวลาเดียวกับโลกจริงๆคือ ยุค 2010s ดังนั้นคนดูจึงได้ดูหนังที่เป็นมิติของปัจจุบันตลอดเวลา เรื่องนี้ ไรอัน กอสลิ่ง รับบทเป็น เป็น ลุค ผู้ชายที่เก็บงำอารมณ์รุนแรงภายใต้ใบหน้าที่เย็นเยียบ (คาแรคเตอร์แบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไรอัน) และเป็นพ่อของเด็กน้อยวัย2ขวบ ที่มีชีวิตเลื่อนลอยไม่มีหลักฐานมั่นคงอะไร และดูจะไม่สามารถเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ ภาพลักษณ์ของลุคก็ดูจะเป็นพวกที่สังคมไม่อยากจะข้องแวะ
ดังนั้นในโลกของความเป็นจริง โรมินาผู้เป็นภรรยารับบทโดย เอวา เมนเดส ก็จำเป็นจะต้องตัดความสัมพันธ์ และหาผู้ชายที่มีพาวเวอร์พอที่จะนำพาครอบครัวให้อยู่รอดต่อไป นี่คือสัจธรรมชีวิตข้อหนึ่งที่หนังต้องการจะบอก ซึ่งลุคก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ดี แต่หนังกลับทำให้ผมเซอร์ไพรส์อย่างประหลาด เมื่อคนที่มาเป็นสามีใหม่ของโรมินากลับเป็นคนผิวดำ ซึ่งจะว่าไปแล้วหน้าตาและฐานะก็ไม่ได้ดีมากมายอะไร จะเป็นพวกคนชั้นกลางก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ทำให้โรมินาเลือกเขาก็เพราะมีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำครอบครัวมากกว่าลุค เหตุผลก็มีเท่านั้นจริงๆ
จุดนี้เองที่ผมรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของหนัง จะบอกว่าเป็นความอัจฉริยะของหนังก็ว่าได้ ที่สามารถเจาะเข้าไปในเบื้องลึกจิตใจของคนอเมริกันได้อย่างเจ็บแสบโดยเฉพาะเรื่องของสีผิว ถามว่า ถ้าคนที่มาเป็นสามีใหม่ของโรมินา เป็นคนผิวขาวหน้าตาดีและเป็นคนที่อยู่ในฐานะหรือชนชั้นที่ดีกว่านี้ จะเกิดผลแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ คนดูจะยินดีปรีดาไปกับครอบครัวใหม่อย่างไม่กระอักกระอ่วนใจเลยน่ะซี แต่การที่ไปคว้าเอาไอ้มืดฐานะปอนๆมาเป็นสามีใหม่และยังเอามาเป็นพ่อทูนหัวของลูก มันก็เหมือนเป็นการแทงใจดำให้คนดูให้รู้สึกเจ็บปวดไปกับพระเอกด้วย ใครมันจะไม่เจ็บใจล่ะ ก็เล่นเอาคนดำมาตัดหน้าในการเป็นตัวแทนของความหวังตามความเชื่อทางศาสนาซะนี่ (จริงๆถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับอเมริกันคนขาวคนไหน คงไม่มีใครกล้าบอกว่ารู้สึกเจ็บ แต่ลึกๆแล้วมันต้องมีบ้างล่ะน่า) นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ดูเหมือนว่าน่าจะเพียงพอ ที่ทำให้คนดูเอาใจมาเข้าข้างพระเอกให้สร้างเนื้อสร้างตัวจากการปล้นธนาคาร โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักกฎหมายเพราะมันมีจุดประสงค์ที่ว่าเพื่อทำให้พระเอก(ในฐานะคนขาวที่โดนปฏิเสธ)สามารถมีหน้ามีตามายืนอยู่ในฐานะพ่อของลูกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ความผิดพลาดทางเทคนิคหลายอย่าง ทำให้ลุคต้องถึงจุดจบ การถูกไล่จับโดยตำรวจหนุ่ม เอเวอรี่ รับบทโดย แบลดลีย์ คูเปอร์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เลือดตำรวจและเลือดโจรได้โคจรมาเกี่ยวข้องกัน เมื่อลุคขับมอไซค์ล้มที่หน้าบ้านหลังหนึ่งแล้ววิ่งหนีขึ้นชั้นบน ดูเหมือนลุคจะรู้ตัวเองว่าคงจะหนีไม่รอดเสียแล้ว จึงคว้าโทรศัพท์มาโทรสั่งเสียเมียอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เอเวอรี่ตำรวจอ่อนหัดก็พังประตูเข้ามา ลุคยังไม่ทันที่จะวางหูโทรศัพท์ด้วยซ้ำ พี่แกก็เหนี่ยวก่อน ลุคตกลงมาตาย เอเวอรี่วิทยุบอกกำลังเสริมว่า ลุคเป็นฝ่ายยิงเขาก่อน จากนั้นพวกกำลังเสริมก็วิ่งมาดู (ยังจะมีหน้า)ตะโกนขึ้นว่า put your hands down ตอนนั้นผมแทบอยากจะตะโกนกลับไปว่า “ไอ้ยัดแม่ม!!มันตายจนเลือดนองท่วมพื้นแล้ว!!” ผมไม่นึกว่าหนังจะหยามตำรวจได้ถึงเพียงนั้น ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ฉากนี้เป็นอีกฉากที่หนังทำให้คนดูเห็นสามัญสำนึกของสิ่งที่ของเรียกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างเจ็บแสบพอดู
และเมื่อลุคได้ตายไป ก็เป็นการดำเนินเรื่องเข้าสู้บทบาทของของเอเวอรี่อย่างเต็มตัว ตำรวจหนุ่มอ่อนหัดที่เป็นฮีโร่ปราบผู้ร้ายในชั่วพริบตาและดูเหมือนว่า จะอยู่ในฐานะพ่อที่มีความรักต่อลูกเหมือนๆกันกับผู้ร้ายที่เขาได้ปลิดชีวิตลงไป แต่เอเวอรี่ในฐานะพ่อเรียกได้ว่าเพียบพร้อมทั้งการเงินและความั่นคงทางสังคมกว่าลุคหลายขุม เมื่อแก็งค์สหายตำรวจได้ดึงเอเวอรี่มามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการคอรัปชั่นเงินที่เป็นของกลางจำนวน หนึ่งหมื่นสี่พันดอลล่าที่ลุคได้ปล้นมาเพื่อหวังจะเป็นค่าเลี้ยงดูลูก โดยใช้อำนาจในทางไม่ชอบธรรมบุกรุกบ้านเพื่อไปเอาเงินถึงห้องนอนของลูกชายลุคเลยทีเดียว แล้ววันรุ่งขึ้นเอเวอรี่ก็ติดเหรียญกล้าหาญ สะใจมั้ยล่ะ
แต่แน่นอนว่าหนังไม่คงไม่ใจดำขนาดนั้น เอเวอรี่ยังรู้สึกละอาย และนำเงินจำนวนนั้นไปให้โรมินาเพื่อนเป็นการไถ่บาป ถึงตอนนี้ผมอยากจะก้มลงจูบที่พื้น ขอบคุณสรรพสิ่งบนโลกถึงความอัจฉริยะของหนัง ที่ทำให้เห็นว่าคนที่เป็นฝ่ายปล้นธนาคารกลับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เสียเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพ่อเป็นถึงวีรุบุรุษตำรวจ หลายคนบอกพอหนังเข้าสู่ช่วงนี้หนังเฉื่อยลง ความมันและความต่อเนื่องลดหายไปเยอะ ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเป็นเช่นนั้นและหนังเรื่องนี้เขาก็ลือๆกันมาแล้วว่า ไม่ได้จัดอยู่ในเมนสตรีมที่จะมาคาดหวัง ว่าจะเป็นแนวแอ็คชั่นยิงกันเลือดสาดมุมกล้องหวือหวาเหมือนหนังฮ่องกงยุค80s
15ปีผ่านไป ทั้งลุคและเอเวอรี่ต่างมีลูกชายในวัยเดียวกัน และ ลูกชายทั้งสองก็ได้มาเป็นเพื่อนกัน(เข้าทำนองหนังไทยละ)ตอนผมเห็นคนที่มารับบทเป็นลูกชายของลุคผมคิดในใจ “ใครมันเป็นคนเลือกตัวละครวะ!! มีเซนต์เฮี้ยๆ!! ”เจสันลูกชายของลุค รับบทโดย เดนน์ เดฮานน์ ผมไม่เคยเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้จากหนังเรื่องไหนที่เคยดูมาก่อน นอกจากหนังจะจงใจทำให้ลักษณะภายนอกรวมถึงอากัปกิริยาต่างๆดูคล้ายๆลุคผู้เป็นพ่อแล้ว ผมก็อดนึกถึง เอ็ดวาร์ด เฟอลอง ในบท จอห์น คอนเนอร์ไม่ได้ เพราะใบหน้าหมอนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กบ้านแตกที่แฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรงตามแบบฉบับจิ๊กโก๋อย่างบอกไม่ถูก ซึ่งก็เป็นโชคของผมที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในระบบซาวน์แทรค เพราะจังหวะจะโคนของเสียงและบทพูดของหนุ่มเดฮานน์ผู้นี้ มันตีบทแตกเสียเหลือเกิน ทำให้คนดูรู้สึกว่าเหตุการณ์ในหนังมัน Real มากๆ ไม่ใช่พวกจิ๊กโก๋จอมปลอมเหมือนหนังวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป
จุดพลิกผันเกิดขึ้นอีกครั้งในยุคของลูก เมื่อ เอเจ รับบทโดย เอโมรี โคเฮน เด็กที่มีสายเลือดของทั้งปู่และพ่อ(ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดวีรบุรุษ) เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเจสันไปสูบกัญชา (ตอนนี้ผมมองว่าหนังไม่ได้ตบหน้าตำรวจแต่เหมือนจะเป็นการต่อยเสียมากกว่า) และอีกครั้งเมื่อเอเจต้องการให้เจสันมางานปาร์ตี้ที่บ้านแต่ต้องไปขโมยยาบางตัวจากร้านขายยามาด้วย ทั้งทีใจจริงเจสันไม่อยากจะทำ ลูกตำรวจบงการแกมบังคับลูกโจรไปทำในสิ่งที่เป็นการเย้ยกฎหมายโดยการขโมยของ? นี่คือสัญญะบางอย่างที่หนังต้องการจะสื่อให้คนดูตระหนักว่า ชาติตระกูลหรือสายเลือดไม่ว่าจะเป็นของตำรวจที่อาจเปรียบเทียบได้กับเป็นตัวแทนของความดีงาม ไม่ได้สืบทอดความดีงามมาตามสายเลือดอย่างที่มันควรจะเป็น นี่ก็เป็นสัจธรรมอีกข้อในโลกของความจริง
และทั้งคู่ก็บาดหมางกันเมื่อเจสันรู้ว่าจริงๆแล้วคนที่เป็นคนฆ่าพ่อเขาก็คือ เอเวอรี่พ่อของเอเจ โดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ตอนที่เจสันได้จับปืน ดูเหมือนว่าร่องรอยของประวัติศาสตร์มีทีท่าว่าจะทับซ้อนกัน ที่เมื่อนานมาแล้วพ่อของเขาก็เคยใช้ปืนปล้นธนาคารเช่นกันมิใช่หรือ ลายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เจสันชอบขี่จักรยานซึ่งจะว่าไปก็มีตั้งร้อยแปดประเภท แต่หนังก็เลือกจะให้เป็นจักรยานผาดโผน เส้นทางที่เจสันปั่นจักรยานกลับบ้าน ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเส้นทางที่พ่อของเขาขี่รถผ่านทุกเมื่อเชื่อวัน หนังให้ทำเห็นว่าเจสัน(ในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีจิตวิญญานของความเป็นลูก)โหยหาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้เป็นพ่อเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นแว่นตาของพ่อ รูปถ่ายของพ่อ หนังได้ทำการชำแหละเข้าไปในเบื้องลึกของสายใยของครอบครัวอย่างคมคาย (ผมถึงกลับเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้) แต่ยังไงซะลูกโจรก็คงต้องเป็นโจรสินะ? ตอนนี้คนดูอาจคงเอาใจเข้าข้างฝ่ายโจรจนลืมตัวไปเสียแล้ว ผมเองก็ยอมรับว่าหวังจะให้เจสันยิงเอเจและเอเวอรี่ โดยคิดไปว่ามันคงยุติธรรมแล้วไม่ใช่หรือที่กรรมจะต้องสนองกรรม? แต่เจสันก็เลือกที่จะไม่ยิง อย่างที่บอก สายเลือดหรือชาติตระกูลไม่ได้สืบทอดบางอย่าง อย่างที่มันควรจะสืบทอด พ่อเป็นโจร ลูกไม่จำเป็นจะต้องเป็นโจรเหมือนพ่อ
ทีนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าใครที่เป็นฝ่ายยึดมั่นในคุณธรรมไว้ได้ เอเวอรี่ถึงกับร้องให้ขอชีวิตด้วยความละอาย (ละอายมากถึงขนาดต้องเก็บรูปครอบครัวของลุคนานถึง15ปี) ในตอนจบหนังก็จะยังกัดตำรวจไม่ปล่อย โดยให้เอเวอรี่ ที่ดูเหมือนจะเปรียบได้กับบุคคลที่มีความอัปยศ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร แล้วกล้องก็จับไปที่หน้าของเอเจอยู่นาน ทำให้คนดูได้มองเห็นอย่างแจ่มแจ้งเห็นชัดว่า อีกไม่นานความชิบหายของชาติบ้านเมืองคงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าเป็นแน่ ส่วนเจสันก็ไปซื้อมอไซค์เหมือนว่าคงเอาไปเป็นพาหนะที่จะนำพาตัวเองออกแสวงหาความหมายของชีวิต คำถามอีกครั้ง ทำไมมอไซค์ที่หนังจงใจนำมาเป็นของเจสัน ถึงไม่ใช่มอไซด์วิบาก คำตอบคือ เพราะจะเป็นการทำให้คนดูรู้สึกว่าเจสันจะดำเนินรอยตามพ่อแน่ๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหนังต้องการให้เจสันเลือกที่ดำเนินรอยตามพ่อด้วยความเหมือนที่แตกต่าง ผมประทับใจมากตอนที่คนขายถามเจสันว่าขับเป็นรึเปล่าแต่เจสันไม่ตอบ (จะเป็นไม่เป็นได้ไงก็พ่อมันมีอาชีพขับมอไซด์)
The place beyond The pines (สปอยด์)
หนังเรื่องนี้พอดูไปซักพักผมเห็นด้วยกับหลายคน ที่รู้สึกเหมือนหนังจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา หรือ 3ยุคอย่างชัดเจน ผมรู้สึกว่า Derek Cianfrance ผู้กำกับคนนี้มักเล่นกับ อดีต และ ปัจจุบัน ดังที่เราเห็นใน Blue Valentine ความรักครั้งในอดีต เร่าร้อนหอมหวานเข้าทำนองน้ำต้มผักอะไรเทือกนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ได้รู้ว่าชีวิตคู่คนเราไม่ได้หอมหวานยั่งยืนอย่างที่มันควรจะเป็น จากคนที่เคยหล่อและขยันทำมาหากิน กลับกลายเป็น คนขี้เหล้าหัวล้านลงพุง ไม่พอยังขี้หึงและบ้ากามมากอีกต่างหาก
หนังเริ่มเล่าจากยุคของไรอัน คือช่วงปลายยุค 90s แต่ในโลกของหนังในขณะนั้นกลับเป็นปัจจุบัน และเริ่มจะกลายเป็นอดีตไปพร้อมกับเรื่องที่ดำเนินไปเรื่อยๆจนถึงยุคของลูกตัวเองในตอนท้าย ซึ่งก็คือช่วงเวลาเดียวกับโลกจริงๆคือ ยุค 2010s ดังนั้นคนดูจึงได้ดูหนังที่เป็นมิติของปัจจุบันตลอดเวลา เรื่องนี้ ไรอัน กอสลิ่ง รับบทเป็น เป็น ลุค ผู้ชายที่เก็บงำอารมณ์รุนแรงภายใต้ใบหน้าที่เย็นเยียบ (คาแรคเตอร์แบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไรอัน) และเป็นพ่อของเด็กน้อยวัย2ขวบ ที่มีชีวิตเลื่อนลอยไม่มีหลักฐานมั่นคงอะไร และดูจะไม่สามารถเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้ ภาพลักษณ์ของลุคก็ดูจะเป็นพวกที่สังคมไม่อยากจะข้องแวะ
ดังนั้นในโลกของความเป็นจริง โรมินาผู้เป็นภรรยารับบทโดย เอวา เมนเดส ก็จำเป็นจะต้องตัดความสัมพันธ์ และหาผู้ชายที่มีพาวเวอร์พอที่จะนำพาครอบครัวให้อยู่รอดต่อไป นี่คือสัจธรรมชีวิตข้อหนึ่งที่หนังต้องการจะบอก ซึ่งลุคก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสัจธรรมข้อนี้ดี แต่หนังกลับทำให้ผมเซอร์ไพรส์อย่างประหลาด เมื่อคนที่มาเป็นสามีใหม่ของโรมินากลับเป็นคนผิวดำ ซึ่งจะว่าไปแล้วหน้าตาและฐานะก็ไม่ได้ดีมากมายอะไร จะเป็นพวกคนชั้นกลางก็ไม่ใช่ แต่สิ่งที่ทำให้โรมินาเลือกเขาก็เพราะมีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำครอบครัวมากกว่าลุค เหตุผลก็มีเท่านั้นจริงๆ
จุดนี้เองที่ผมรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของหนัง จะบอกว่าเป็นความอัจฉริยะของหนังก็ว่าได้ ที่สามารถเจาะเข้าไปในเบื้องลึกจิตใจของคนอเมริกันได้อย่างเจ็บแสบโดยเฉพาะเรื่องของสีผิว ถามว่า ถ้าคนที่มาเป็นสามีใหม่ของโรมินา เป็นคนผิวขาวหน้าตาดีและเป็นคนที่อยู่ในฐานะหรือชนชั้นที่ดีกว่านี้ จะเกิดผลแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ คนดูจะยินดีปรีดาไปกับครอบครัวใหม่อย่างไม่กระอักกระอ่วนใจเลยน่ะซี แต่การที่ไปคว้าเอาไอ้มืดฐานะปอนๆมาเป็นสามีใหม่และยังเอามาเป็นพ่อทูนหัวของลูก มันก็เหมือนเป็นการแทงใจดำให้คนดูให้รู้สึกเจ็บปวดไปกับพระเอกด้วย ใครมันจะไม่เจ็บใจล่ะ ก็เล่นเอาคนดำมาตัดหน้าในการเป็นตัวแทนของความหวังตามความเชื่อทางศาสนาซะนี่ (จริงๆถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับอเมริกันคนขาวคนไหน คงไม่มีใครกล้าบอกว่ารู้สึกเจ็บ แต่ลึกๆแล้วมันต้องมีบ้างล่ะน่า) นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ดูเหมือนว่าน่าจะเพียงพอ ที่ทำให้คนดูเอาใจมาเข้าข้างพระเอกให้สร้างเนื้อสร้างตัวจากการปล้นธนาคาร โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นสิ่งที่ผิดต่อหลักกฎหมายเพราะมันมีจุดประสงค์ที่ว่าเพื่อทำให้พระเอก(ในฐานะคนขาวที่โดนปฏิเสธ)สามารถมีหน้ามีตามายืนอยู่ในฐานะพ่อของลูกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ความผิดพลาดทางเทคนิคหลายอย่าง ทำให้ลุคต้องถึงจุดจบ การถูกไล่จับโดยตำรวจหนุ่ม เอเวอรี่ รับบทโดย แบลดลีย์ คูเปอร์ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เลือดตำรวจและเลือดโจรได้โคจรมาเกี่ยวข้องกัน เมื่อลุคขับมอไซค์ล้มที่หน้าบ้านหลังหนึ่งแล้ววิ่งหนีขึ้นชั้นบน ดูเหมือนลุคจะรู้ตัวเองว่าคงจะหนีไม่รอดเสียแล้ว จึงคว้าโทรศัพท์มาโทรสั่งเสียเมียอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เอเวอรี่ตำรวจอ่อนหัดก็พังประตูเข้ามา ลุคยังไม่ทันที่จะวางหูโทรศัพท์ด้วยซ้ำ พี่แกก็เหนี่ยวก่อน ลุคตกลงมาตาย เอเวอรี่วิทยุบอกกำลังเสริมว่า ลุคเป็นฝ่ายยิงเขาก่อน จากนั้นพวกกำลังเสริมก็วิ่งมาดู (ยังจะมีหน้า)ตะโกนขึ้นว่า put your hands down ตอนนั้นผมแทบอยากจะตะโกนกลับไปว่า “ไอ้ยัดแม่ม!!มันตายจนเลือดนองท่วมพื้นแล้ว!!” ผมไม่นึกว่าหนังจะหยามตำรวจได้ถึงเพียงนั้น ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ฉากนี้เป็นอีกฉากที่หนังทำให้คนดูเห็นสามัญสำนึกของสิ่งที่ของเรียกว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้อย่างเจ็บแสบพอดู
และเมื่อลุคได้ตายไป ก็เป็นการดำเนินเรื่องเข้าสู้บทบาทของของเอเวอรี่อย่างเต็มตัว ตำรวจหนุ่มอ่อนหัดที่เป็นฮีโร่ปราบผู้ร้ายในชั่วพริบตาและดูเหมือนว่า จะอยู่ในฐานะพ่อที่มีความรักต่อลูกเหมือนๆกันกับผู้ร้ายที่เขาได้ปลิดชีวิตลงไป แต่เอเวอรี่ในฐานะพ่อเรียกได้ว่าเพียบพร้อมทั้งการเงินและความั่นคงทางสังคมกว่าลุคหลายขุม เมื่อแก็งค์สหายตำรวจได้ดึงเอเวอรี่มามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการคอรัปชั่นเงินที่เป็นของกลางจำนวน หนึ่งหมื่นสี่พันดอลล่าที่ลุคได้ปล้นมาเพื่อหวังจะเป็นค่าเลี้ยงดูลูก โดยใช้อำนาจในทางไม่ชอบธรรมบุกรุกบ้านเพื่อไปเอาเงินถึงห้องนอนของลูกชายลุคเลยทีเดียว แล้ววันรุ่งขึ้นเอเวอรี่ก็ติดเหรียญกล้าหาญ สะใจมั้ยล่ะ
แต่แน่นอนว่าหนังไม่คงไม่ใจดำขนาดนั้น เอเวอรี่ยังรู้สึกละอาย และนำเงินจำนวนนั้นไปให้โรมินาเพื่อนเป็นการไถ่บาป ถึงตอนนี้ผมอยากจะก้มลงจูบที่พื้น ขอบคุณสรรพสิ่งบนโลกถึงความอัจฉริยะของหนัง ที่ทำให้เห็นว่าคนที่เป็นฝ่ายปล้นธนาคารกลับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เสียเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพ่อเป็นถึงวีรุบุรุษตำรวจ หลายคนบอกพอหนังเข้าสู่ช่วงนี้หนังเฉื่อยลง ความมันและความต่อเนื่องลดหายไปเยอะ ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะต้องเป็นเช่นนั้นและหนังเรื่องนี้เขาก็ลือๆกันมาแล้วว่า ไม่ได้จัดอยู่ในเมนสตรีมที่จะมาคาดหวัง ว่าจะเป็นแนวแอ็คชั่นยิงกันเลือดสาดมุมกล้องหวือหวาเหมือนหนังฮ่องกงยุค80s
15ปีผ่านไป ทั้งลุคและเอเวอรี่ต่างมีลูกชายในวัยเดียวกัน และ ลูกชายทั้งสองก็ได้มาเป็นเพื่อนกัน(เข้าทำนองหนังไทยละ)ตอนผมเห็นคนที่มารับบทเป็นลูกชายของลุคผมคิดในใจ “ใครมันเป็นคนเลือกตัวละครวะ!! มีเซนต์เฮี้ยๆ!! ”เจสันลูกชายของลุค รับบทโดย เดนน์ เดฮานน์ ผมไม่เคยเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้จากหนังเรื่องไหนที่เคยดูมาก่อน นอกจากหนังจะจงใจทำให้ลักษณะภายนอกรวมถึงอากัปกิริยาต่างๆดูคล้ายๆลุคผู้เป็นพ่อแล้ว ผมก็อดนึกถึง เอ็ดวาร์ด เฟอลอง ในบท จอห์น คอนเนอร์ไม่ได้ เพราะใบหน้าหมอนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กบ้านแตกที่แฝงไปด้วยอารมณ์รุนแรงตามแบบฉบับจิ๊กโก๋อย่างบอกไม่ถูก ซึ่งก็เป็นโชคของผมที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในระบบซาวน์แทรค เพราะจังหวะจะโคนของเสียงและบทพูดของหนุ่มเดฮานน์ผู้นี้ มันตีบทแตกเสียเหลือเกิน ทำให้คนดูรู้สึกว่าเหตุการณ์ในหนังมัน Real มากๆ ไม่ใช่พวกจิ๊กโก๋จอมปลอมเหมือนหนังวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป
จุดพลิกผันเกิดขึ้นอีกครั้งในยุคของลูก เมื่อ เอเจ รับบทโดย เอโมรี โคเฮน เด็กที่มีสายเลือดของทั้งปู่และพ่อ(ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสายเลือดวีรบุรุษ) เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเจสันไปสูบกัญชา (ตอนนี้ผมมองว่าหนังไม่ได้ตบหน้าตำรวจแต่เหมือนจะเป็นการต่อยเสียมากกว่า) และอีกครั้งเมื่อเอเจต้องการให้เจสันมางานปาร์ตี้ที่บ้านแต่ต้องไปขโมยยาบางตัวจากร้านขายยามาด้วย ทั้งทีใจจริงเจสันไม่อยากจะทำ ลูกตำรวจบงการแกมบังคับลูกโจรไปทำในสิ่งที่เป็นการเย้ยกฎหมายโดยการขโมยของ? นี่คือสัญญะบางอย่างที่หนังต้องการจะสื่อให้คนดูตระหนักว่า ชาติตระกูลหรือสายเลือดไม่ว่าจะเป็นของตำรวจที่อาจเปรียบเทียบได้กับเป็นตัวแทนของความดีงาม ไม่ได้สืบทอดความดีงามมาตามสายเลือดอย่างที่มันควรจะเป็น นี่ก็เป็นสัจธรรมอีกข้อในโลกของความจริง
และทั้งคู่ก็บาดหมางกันเมื่อเจสันรู้ว่าจริงๆแล้วคนที่เป็นคนฆ่าพ่อเขาก็คือ เอเวอรี่พ่อของเอเจ โดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ตอนที่เจสันได้จับปืน ดูเหมือนว่าร่องรอยของประวัติศาสตร์มีทีท่าว่าจะทับซ้อนกัน ที่เมื่อนานมาแล้วพ่อของเขาก็เคยใช้ปืนปล้นธนาคารเช่นกันมิใช่หรือ ลายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่เจสันชอบขี่จักรยานซึ่งจะว่าไปก็มีตั้งร้อยแปดประเภท แต่หนังก็เลือกจะให้เป็นจักรยานผาดโผน เส้นทางที่เจสันปั่นจักรยานกลับบ้าน ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเส้นทางที่พ่อของเขาขี่รถผ่านทุกเมื่อเชื่อวัน หนังให้ทำเห็นว่าเจสัน(ในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีจิตวิญญานของความเป็นลูก)โหยหาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของผู้เป็นพ่อเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นแว่นตาของพ่อ รูปถ่ายของพ่อ หนังได้ทำการชำแหละเข้าไปในเบื้องลึกของสายใยของครอบครัวอย่างคมคาย (ผมถึงกลับเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้) แต่ยังไงซะลูกโจรก็คงต้องเป็นโจรสินะ? ตอนนี้คนดูอาจคงเอาใจเข้าข้างฝ่ายโจรจนลืมตัวไปเสียแล้ว ผมเองก็ยอมรับว่าหวังจะให้เจสันยิงเอเจและเอเวอรี่ โดยคิดไปว่ามันคงยุติธรรมแล้วไม่ใช่หรือที่กรรมจะต้องสนองกรรม? แต่เจสันก็เลือกที่จะไม่ยิง อย่างที่บอก สายเลือดหรือชาติตระกูลไม่ได้สืบทอดบางอย่าง อย่างที่มันควรจะสืบทอด พ่อเป็นโจร ลูกไม่จำเป็นจะต้องเป็นโจรเหมือนพ่อ
ทีนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าใครที่เป็นฝ่ายยึดมั่นในคุณธรรมไว้ได้ เอเวอรี่ถึงกับร้องให้ขอชีวิตด้วยความละอาย (ละอายมากถึงขนาดต้องเก็บรูปครอบครัวของลุคนานถึง15ปี) ในตอนจบหนังก็จะยังกัดตำรวจไม่ปล่อย โดยให้เอเวอรี่ ที่ดูเหมือนจะเปรียบได้กับบุคคลที่มีความอัปยศ ลงสมัครเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร แล้วกล้องก็จับไปที่หน้าของเอเจอยู่นาน ทำให้คนดูได้มองเห็นอย่างแจ่มแจ้งเห็นชัดว่า อีกไม่นานความชิบหายของชาติบ้านเมืองคงจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าเป็นแน่ ส่วนเจสันก็ไปซื้อมอไซค์เหมือนว่าคงเอาไปเป็นพาหนะที่จะนำพาตัวเองออกแสวงหาความหมายของชีวิต คำถามอีกครั้ง ทำไมมอไซค์ที่หนังจงใจนำมาเป็นของเจสัน ถึงไม่ใช่มอไซด์วิบาก คำตอบคือ เพราะจะเป็นการทำให้คนดูรู้สึกว่าเจสันจะดำเนินรอยตามพ่อแน่ๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นหนังต้องการให้เจสันเลือกที่ดำเนินรอยตามพ่อด้วยความเหมือนที่แตกต่าง ผมประทับใจมากตอนที่คนขายถามเจสันว่าขับเป็นรึเปล่าแต่เจสันไม่ตอบ (จะเป็นไม่เป็นได้ไงก็พ่อมันมีอาชีพขับมอไซด์)