เรื่องน่ารู้ ม.เกษตรศาสตร์ สำหรับ KU73 ครับ (Version นี้ โพสต์ที่นี่เป็นครั้งแรกนะครับ)

ช่วงนี้ก็ประกาศผลแอดมิชชั่นกันไปเรียบร้อยแล้ว น้องๆ ทุกคนคงจะรู้แล้วว่าตัวเองจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยอะไร
ตอนนี้พี่ว่างๆ เลยเอาเรื่องน่ารู้ สาระต่างๆ ของ ม.เกษตรฯ มาฝากสำหรับว่าที่นิสิตเกษตร KU73 นะครับ
รุ่นพี่คนไหนอยากเพิ่มเติมอะไร หรือผมพิมพ์ผิดพลาดตรงไหน ก็ช่วยๆกันนะครับ น้องจะได้รู้จักมหาวิทยาลัยของเราดียิ่งขึ้น
และที่สำคัญคือเอาไว้ตอบคำถามในห้องเชียร์ได้ครับ 555 เท่อมยิ้ม16

ใครมีรูปเก่าๆ ของมหาลัยเรา เอามาแบ่งปันด้วยก็ได้นะครับ เด็กๆสมัยใหม่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมหาลัยเรา

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เอาส่วนจริงจังก่อนนะครับ เริ่มเลย !

ประวัติมหาวิทยาลัย และส่วนสำคัญๆ ในมหาวิทยาลัย
1.    เป็นมหาวิทยาลัยที่สถาปนาขึ้นเป็นลำดับที่ 3 ของประเทศไทย (ต่อจากจุฬาฯ และธรรมศาสตร์) แต่หลังจากนั้นอีก 5 วันก็มีการสถาปนามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์(เปลี่ยนชื่อเป็น ม.มหิดล ในปี 2512)ขึ้น และอีก 8 เดือนต่อมา ก็มีการสถาปนามหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นอันว่าประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกด้าน
2.    วันสถาปนามหาวิทยาลัยคือ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 (สมัย ร.๘)
3.    อธิการบดีคนแรกคือ หลวงสินธุสงครามชัย หรือ พลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน หนึ่งในคณะราษฎร์
4.    สามบูรพาจารย์หรือสามเสือเกษตรผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คือ
     (1) หลวงสุวรรณวาจกสิกิจ (ทองดี  เรศานนท์)
     (2) หลวงอิงคศรีกสิการ (ศาสตราจารย์พิเศษ อินทรี  จันทรสถิตย์)
     (3) พระช่วงเกษตรศิลปาการ (ช่วง  โลจายะ)
     อาจารย์ม.เกษตรยุคแรกๆ ส่วนใหญ่จบมาจากฟิลลิปปินส์และอเมริกา จึงได้วัฒนธรรม SOTUS มาจากที่นั่น จะต่างจากธรรมศาสตร์ที่อาจารย์ส่วนใหญ่จบฝรั่งเศสเลยไม่มีวัฒนธรรม SOTUS
5.    คณะแรกตั้งมี 4 คณะ คือ คณะเกษตร คณะวนศาสตร์ คณะประมง และคณะสหกรณ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ และแยกเป็นคณะเศรษฐศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจตามลำดับ)
6.    ตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย เป็นรูปพระพิรุณทรงนาค ด้านบนมีข้อความว่า “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์” ด้านล่างมีข้อความว่า “พ.ศ. ๒๔๘๖” (ในห้องเชียร์จะให้ท่องแบบคำต่อคำตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ไปหาท่องกันเอาเองนะครับ55+)
7.    อาคารประจำมหาวิทยาลัย คืออาคารหอประชุมใหญ่ ด้านหัวมุมถนนพหลโยธินและถนนงามวงศ์วาน เป็นศิลปะไทยประยุกต์ลดรูปเหมือนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) ซึ่งได้ข่าวว่าเป็นความคิดของท่านจอมพล ป. ที่ท่านไม่อยากให้คงศิลปะไทยเต็มรูปแบบไว้มากเหมือนอาคารมหาจุฬาลงกรณ์ที่จุฬาฯ และลักษณะเด่นของอาคารคือ “จั่วสามมุข” ซึ่งจะปรากฎในหลายๆอาคารในมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา (ที่มาของจั่วสามมุขคือ สมัยที่เรายังเป็นโรงเรียนเกษตราธิการ เราใช้วังวินด์เซอร์เป็นที่ทำการ ซึ่งวังวินด์เซอร์ก็มีลักษณะอาคารเป็นจั่วสามมุขเหมือนกัน ปัจจุบันวังวินด์เซอร์ถูกรื้อสร้างสนามศุภชราศัย)
8.    เพลงประจำมหาวิทยาลัย คือ “เพลงพระราชนิพนธ์เกษตรศาสตร์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้วันที่ 17 ธันวาคม 2509 เป็น 1 ใน 3 เพลงประจำสถาบันที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ โดย ศ.ดร.ประเสริฐ  ณ นคร เป็นผู้แต่งคำร้อง (ผู้แต่งเนื้อร้องเพลง “ใกล้รุ่ง” ซึ่งเสียงของไก่ในเพลงใกล้รุ่ง ก็คือเสียงของไก่ที่เกษตรบางเขนนี่แหล่ะ) ท่านใช้เวลาแต่งนานมาก เพราะของจุฬานั้นสง่างาม และของธรรมศาสตร์นั้นองอาจยิ่งนัก ส่วนของเกษตรเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตรัสไว้ว่า “...เป็นเพลงที่อ่อนหวาน อ่อนหวานกว่าเพลงโน้ต แต่อ่อนหวาน นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่เข้มแข็ง...”
9.    ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือต้น “นนทรี” โดยมีการเลือกต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยจากต้นไม้ 4 ชนิด คือ ต้นทองกวาว ต้นราชพฤกษ์ ต้นพิกุล และต้นนนทรี
10.    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงปลูกต้นนนทรีไว้ 9 ต้น บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2506 (ฝั่งซ้ายของหอประชุม 5 ต้น ฝั่งขวา 4 ต้น) หลังจากนั้นก็ได้ทรงดนตรีต่อที่หอประชุมใหญ่ ชาวเกษตรจึงถือวันที่ 29 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันที่ระลึก “นนทรีทรงปลูก ดนตรีทรงโปรด” ซึ่งในปัจจุบัน สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ ก็ทรงมาทรงดนตรีที่อาคารจักรฯ กับนิสิตเกษตรทุกๆ ปี
11.    สีประจำมหาวิทยาลัยคือ “สีเขียวใบไม้” (เขียวธรรมดาไม่ได้ ต้องเขียวใบไม้นะครับ ^^)
12.    คำขวัญประจำมหาวิทยาลัยคือ “ประชาชนคือเจ้าของประเทศ เกษตรศาสตร์คือภาษีของประชาชน” (เนื่องจากต้องการให้นิสิตเกษตรทุกคนรำลึกว่า มหาวิทยาลัยเราก่อตั้งมาจากภาษีของประชาชน ดังนั้นนิสิตเกษตรต้องทำงานตอบแทนประชาชน)
13.    คติพจน์ประจำมหาวิทยาลัยคือ “ศาสตร์แห่งแผ่นดิน” (มาจากคำว่า “เกษตร” ซึ่งแปลว่า “แผ่นดิน”)
14.    สัตว์ประจำมหาวิทยาลัยคือ “ไก่” เพราะหลวงสุวรรณฯ ท่านได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งการเลี้ยงไก่ของไทย”
15.    มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มี 4 วิทยาเขตหลักๆ คือ
- วิทยาเขตบางเขน หรือ “เกษตรกลาง” มีพื้นที่แปดร้อยกว่าไร่ (มหาวิทยาลัยเรานับพื้นที่ยาก เพราะในเขตรั้วมหาวิทยาลัยมีกระทรวง กรม กอง และโรงเรียนปนกันเยอะไปหมด) เห็นว่าสมัยก่อนรั้วเราอยู่ติดกับทางรถไฟด้านถนนวิภาวดีฯ และรั้วอีกด้านอยู่กลางถนนงามวงศ์วานปัจจุบัน (เสียพื้นที่เพื่อส่วนรวมไปเยอะเหมือนกัน)
- วิทยาเขตกำแพงแสน จ.นครปฐม เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2510 บนพื้นที่แปดพันกว่าไร่ (ใหญ่กว่าบางเขนเป็นสิบเท่า) ต้นไม้ที่นี่ปลูกสองข้างถนนสวยงามมาก ทั้งชมพูพันธุ์ทิพย์ และนนทรี
- วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี เน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และบริหารธุรกิจ
- วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติสกลนคร จ.สกลนคร เป็นศูนย์กลางของเกษตรอีกแห่งในภาคอีสาน และยังมีสวนบัวสุดอลังการ รวมทั้งเปิดสาขาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพด้วย
16.    สะดือเกษตรคือพระพิรุณทรงนาคหน้าหอสมุดเก่า
17.    หมุดหลักเกษตรเป็นแท่นปูน 7 เหลี่ยมอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าหอสมุดเก่า (ใครไม่รู้จะคิดว่าเป็นฝาส้วม 555)
18.    แคปซูลเวลาอยู่ใต้ดินตรงรูปหล่อหยดน้ำ ไม่ได้อยู่ในหยดน้ำอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ
19.    ศาลา 8 เหลี่ยมนั้นไม่มี ที่เกษตรมีแต่ศาลา 6 เหลี่ยม (พูดผิดกันประจำ)
20.    บูมของเกษตรอย่างเป็นทางการคือ AGGIE BOOM สั้นมาก เร็วมาก มันส์มาก
21.    เศรษฐกิจพอเพียง เกิดขึ้นครั้งแรกที่นี่ โดยอยู่ในพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ปี 2517
22.    พระราชกรณียกิจสุดท้ายของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๘ คือทรงหว่านข้าวที่ทุ่งนาทดลองในเกษตรบางเขน (ทรงหว่านข้าววันที่ 5 มิถุนายน 2489 หลังจากนั้นอีก 4 วันก็เสด็จสวรรคต)
23.    KU Band เป็นวงดนตรีสากลระดับมหาวิทยาลัยแรกของประเทศไทย และสมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมาทรงดนตรีร่วมกับ KU Band บางครั้งก็ทรงมาช่วยติดตั้งเครื่องเสียงด้วย
24.    รวมดาวกระจุย ก็เป็นวงลูกทุ่งระดับมหาวิทยาลัยวงแรกของประเทศไทยเหมือนกัน สมัยก่อนดังมากๆ รุ่นพ่อรุ่นแม่รู้จักกันทุกคน
25.    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเสด็จมาพระราชทานปริญญาับัตรที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครั้งสุดท้ายในปี 2541
26.    ชื่อมหาวิทยาลัย “เกษตรศาสตร์” มาจากการเสนอชื่อของ ศาสตราจารย์จรัด  สุนทรสิงห์
27.    เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่ใช้ระบบการเรียนแบบ “นับหน่วยกิต” โดย ศ.ดร.จรัด  สุนทรสิงห์ ในปี 2488 เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าเรียนตกวิชาเดียวก็ต้องซ้ำชั้น แต่กว่าจะได้นั้นก็มีการต่อกันอยู่พอสมควร แต่สุดท้ายระบบนี้ก็เป็นระบบที่ใช้กันทุกมหาวิทยาลัยในปัจจุบัน
28.    เป็นมหาวิทยาลัยแรกที่มี “ธรรมนูญนิสิต” ปกครองกันเอง ซึ่งยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน โดยทำให้นิสิตสามารถมีสิทธิ์มีเสียงได้เมื่อจะเสนออะไร และอาจารย์ต้องรับฟัง
29.    หน้าอาคารเทพศาสตร์สถิตย์ เคยมีสระน้ำชื่อ “สระขจี” เป็นสระดินขุด และมีนักกีฬาโปโลน้ำที่เก่งมาก
30.    หากใครทำผิดจะถูกนำมาลงโทษที่สระขจีนี้ โดยจะอ่านอาญาแล้วลงโทษโดยกำหนดเป็นแรงถีบ เช่น 10 ถีบ ต้องถูกถีบลงสระ 10 ครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องว่ายกลับมารับการถีบให้ครบ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วคนที่โดนถีบจริงๆล้วนเป็นนักว่ายน้ำทั้งสิ้น ทำไปเพื่อขู่ให้นิสิตคนอื่นๆ ไม่กล้าทำผิดเท่านั้นเอง
31.    ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ (KU30) เคยเป็นนายก อบ.ก และเป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516

(((((มีต่อนะครับ กดอ่านด้วยล่ะ))))) อมยิ้ม16



เปิดเพลงนี้ไปด้วยครับ ^^



KU71Sc46
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่