หาเรื่องมาให้อ่านเล่นๆครับ
ไม่เหมาะสำหรับคนที่คิดว่ายาวไปไม่อ่านครับ
Chapter 1
แปดโมงครึ่งแล้ว ผมเดินสะพายกระเป๋าเดินเข้ารั้วมหาวิทยาลัย
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของชีวิตนักศึกษาปริญญาตรีของผม
ก้าวแต่ละก้าวสำหรับเช้านี้เต็มไปด้วยความประหม่า ผมต้องเจอคนใหม่ๆ
อาคารเรียนใหม่ เจอเพื่อนใหม่ๆ ในใจของผมยังรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะพบเจอสิ่งที่กล่าวมาเลย
เช้าวันแรกผมต้องไปเรียนที่ตึก 14 วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน
แล้วตึก 14 มันอยู่ตรงไหนละ คนอื่นๆอาจจะเตรียมตัวศึกษาข้อมูลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นอย่างดี
ซึ่งต่างจากผมที่พึ่งรู้ว่าจะต้องมาเรียนที่นี่ก็แค่สองเดือนเท่านั้น
ผมสอบติดที่มหาวิทยาลัยนึง แต่พ่อกับแม่ผมไม่ยอมให้ไปเรียน
เพราะต้องการกั้นผมออกจากเพื่อนชายที่สนิทซึ่งเรียนด้วยกันมาตอน ม ปลาย
เราสองคนเลือกสอบที่เดียวกัน สาขาวิชาเดียวกัน แต่เมื่อพ่อแม่ผมรู้เรื่อง
ความฝันที่เราสองคนวาดไว้ก็ถูกลบออกไป
ผมติดต่อเพื่อนไม่ได้ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
พ่อแม่ตัดช่องทางการติดต่อรวมทั้งขอร้องเชิงบังคับให้ผมหยุดติดต่อเพื่อนคนนี้
ผมเลือกที่จะมองหาตึก 14 ที่ป้ายแผนผังมหาวิทยาลัยแทนการเดินถามคนอื่น
“เรียนตึกไหนเหรอนาย ยืนบังคนอื่นไม่ออกสักที”
ผู้หญิงผมสั้นเหมือนทอมยืนทักผมอยู่
“ตึก 14 ขอโทษทีนะ”
ผมตอบเธอไปแบบไม่เต็มใจนัก นิสัยแบบผมไม่ค่อยปลื้มสาวทอมเท่าไรนัก
“แล้วเจอยังละ ตึก 14”
“เจอแล้วอยู่ข้างหน้าโน้น”
“งั้นเราเดินไปด้วย เราก็ตึก 14”
สาวทอมก็ยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบแบบเสียไม่ได้ ถ้าเธอไว้ผมยาว แต่งหน้านิด คงจะสวยไม่เบานะ
ผมก็เข้าสู่หมวดเงียบ ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี
“เราชื่อเก๋นะ นายชื่อไร”
“เราชื่อน้ำ”
“เฮ้ย ชื่อ

ตุ๊ดว่ะ”
แล้วเก๋ก็ขำก๊าก ส่วนผมก็หน้านิ่งเฉย นิ่งในใจอะไรกันทำไมเสียมารยาทกับผมแบบนี้นะ
“เอ้ย เราล้อเล่น แหมแค่นี้ทำเป็นโกรธ”
“เปล่า ไม่ได้โกรธอะไร”
ผมโกรธเธอจริงๆ แต่เลือกที่จะไม่แสดงออก
“น้ำเราขอตัวไปเรียนก่อนนะ ขอบใจที่ให้เดินเป็นเพื่อน”
“อ๋อ เอ่อ โอเค”
ผมกำลังจะอ้าปากถามเธอว่าเรียนสาขาอะไร แต่ไม่ทันแล้ว เธอรีบวิ่งไปอีกฝากของตึก
ผมเดินขึ้นตึกไปยังห้องเรียน สภาพห้องเรียนที่เห็นคือทุกคนเรียบร้อยมาก
ผมเลือกมุมตรงกลางห้อง ตามความเคยชินสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่มันต่างกันที่
มันเป็นโต๊ะเล็กเชอร์ ไม่ใช่โต๊ะคู่เหมือนก่อน หลายๆคนก็ยิ้มให้ผม
และอีกหลายๆคนที่แนะนำตัวเอง ซึ่งผมจำใครแทบไม่ได้เลย
ใกล้จะเก้าโมงผมก็ก้มหยิบสมุดเพื่อจะมาจดสิ่งที่จะเรียน
มีขวดนมช็อคโกแลตวางอยู่บนโต๊ะ และที่นั่งข้างๆ ก็เป็นเก๋ที่นั่งยิ้มหวานอยู่
“เราซื้อมาฝากน้ำ ฉลองที่เราเป็นเพื่อนกัน”
ผมยิ้มขำๆกับคำพูดของเก๋และก็ตอบ
“ไม่เป็นไรครับ เอาคืนไปนะ”
แววตาเก๋เปลี่ยนเป็นอีกคน
“พ่อแม่นายไม่สอนหรอ เวลาคนให้ของ เขาไม่ให้คืน”
จริงพ่อเราสอนนะ สอนอีกอย่าง พ่อสอนไม่ให้รับของๆใครง่ายๆ
“ขอบใจนะเก๋ พอดีเราไม่ชอบช็อตโกแลตนะ”
คราวนี้เก๋ยิ้มออก แล้วก็ยื่นป๊อกกี้สีชมพูมาให้แทน
“เป็นผู้ชายแท้ป่ะเนี้ยะ ดูหวานเชียว”
ผมก็หัวเราะกลบเกลื่อนไป
คาบเรียนแรก ส่วนใหญ่อาจารย์ก็จะให้ทำความรู้จักกันในห้อง
เก๋ดูจะเป็นคนอัธยาศัยดีที่สุด เพราะจำหน้าจำชื่อเพื่อนได้แม่นมาก
แต่ส่วนผมเหรอ ไม่ถึง 5 คน
ช่วงบ่ายไม่มีเรียน แต่นักศึกษาปี 1 มักจะมีกิจกรรมที่ต้องทำ
แน่นอนว่าเด็กแบบผมไม่ชอบทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ก็ต้องเข้าร่วม
วันนี้มีกิจกรรมจับพี่รหัสกัน วันนี้ที่ลานใต้คณะจึงเต็มไปด้วยรุ่นพี่ปีสอง
ที่เตรียมเข้ามาจับจองรุ่นน้องอย่างพวกผม
วิธีการจับคู่พี่รหัสค่อนข้างซับซ้อนมากนั่นก็คือจับฉลาก
ผมนั่งข้างกับเก๋ ซึ่งกลายเป็นคู่หูกันตอนไหนไม่รู้
“กรูอยากได้พี่คนนั้นเป็นรหัสกูว่ะ”
เอ่อสนิทกันเร็วไปไหม กูเลยเหรอ
รุ่นพี่ที่เก๋พูดถึงก็คือพี่ผู้หญิงตัวเล็กๆขาวๆ
“คนต่อไปเชิญ”
เอาละถึงคิวผมจับสักที ผมคลี่กระดาษออกมาแล้วอ่าน
“พี่พีชครับ”
กรี๊ดๆๆๆๆ เสียงกรี๊ดจากกลุ่มรุ่นพี่และจากเก๋
“แลกกันไหมน้ำ นะนะ”
เก๋จับแขนผมทันทีที่ผมนั่งลง
“ไม่!!! คิวเก๋ไปจับแล้ว”
เก๋ลุกไปจับด้วยสายตาพิฆาตกับผมมาก
“พี่เต๋าค่ะ”
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆ เก๋ทำหน้างง ทำไมมีแต่เสียงโห่ พอเฉลยเท่านั้นละ ผมหัวเราะก๊าก
เก๋ได้ประธานรุ่น ซึ่งตัวใหญ่ อ้วนดำ เป็นพี่รหัส สีหน้าเก๋ค่อนข้างผิดหวังมากเลย
“โห แบบนี้เราต้องฝากตัวกับเก๋แล้วมั้ง” ผมแกล้งแซวเก๋ไป
“น้ำ อยู่พูดไม่งั้นปากแตกแน่”
ผมก็ไม่พูดนะแต่ก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้
“หยุดหัวเราะด้วย ไม่งั้นโกรธจริงๆนะ”
วันแรกของผมก็ผ่านไปค่อนข้างดี ได้เพื่อนโดยบังเอิญมา 1 คน
เก๋เป็นเด็กต่างจังหวัด เช่นเดียวกับผม
เราสองคนต่างเลือกหอพักที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก
เก๋ขับรถป๊อป ส่วนผมเดินกลับ เก๋เองก็ชวนผมกลับด้วย
แต่เก๋คงรู้แล้วว่าผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตผมมากนัก
ช่วงแรกๆของนักศึกษาปี 1 คือกิจกรรมเชียร์ เป็นกิจกรรมที่เบื่อมาก
เลิกเรียนแล้วอยากไปห้องสมุดเข้าใจไหม เชื่อว่าหลายๆคนก็คงไม่ชอบ
“น้ำยืนขึ้น” ผมถูกรุ่นพี่คนนึงสั่งให้ลุกยืน
“เดินออกมาข้างหน้ามา” เกิดอะไรขึ้นกับผม มองไปที่เก๋เห็นมันทำหน้ายิ้มเยาะเย้ย
“เป็นเชียร์หลีดเดอร์นะ” ผมหันขวับ
“ไม่ไหวนะพี่ผมเต้นไม่เป็น ขอตำแหน่งอื่นนะพี่นะ”
ผมส่งทั้งเสียงและแววตาอ้อนว้อนหัวหน้าทีมเชียร์
“ไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด เดี๋ยวพวกพี่สอนให้”
แม้ว่าผมจะหาเหตุผลและชักแม่น้ำมาทั้งห้า
ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ หลังจากวันนั้นเลิกเรียนผมก็ต้องไปซ้อมหลีด จนถึงสองทุ่ม
ก็จะมีเก๋ที่คอยไปนั่งเป็นเพื่อนและพี่รหัสผม ที่เป็นหลีดเดอร์เก่ามานั่งให้กำลังใจ
กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็เป็นอาทิตย์
วันศุกร์เย็นขณะที่ผมกำลังซ้อมอยู่ พี่รหัสคนสวยผมก็โบกมือให้
เอ๊ะพาใครมาด้วยนะ สงสัยจะเป็นแฟน
แต่ผมเองก็มองไปเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เพราะถอดแว่นตา
“น้ำวันนี้เหนื่อยไหม นี่พี่จั๋ง แฟนพี่เอง”
พี่พีชทักทายและแนะนำผมให้รู้จักแฟนพี่เขา
ผมยกมือไหว้ แล้วยิ้มให้ คลับคล้ายคลับคราว่าจะหล่อ
แต่ผมขี้เกียจจะหยิบแว่นมาสวม
เหนื่อยและอยากดื่มน้ำมาก
“ดื่มน้ำครับ น้องน้ำ” เสียงพี่จั๋งพูดขึ้น
ผมหันไปเห็นขวดน้ำถูกยื่นมาเกือบถึงหน้าแล้ว
“ขอบคุณมากครับ”
ผมนั่งพักสักพัก ก็ออกไปซ้อมต่อ จู่ๆ เพื่อนอีกคนผู้หญิงคงเพลียมากเลยเป็นลม
การซ้อมจึงยุติลง พี่พิชพาน้องไปปฐมพยาบาล
ส่วนผมเดินกลับไปที่นั่งเดิม
นั่งมองรุ่นพี่กำลังปฐมพยาบาลคนเป็นลมอยู่
“เต้นสวยนะครับ” เสียงพี่จั๋งทักผมขึ้นมา
“ไม่หรอกพี่ ผมมั่วตามเพื่อนไป”
ผมตอบไปโดยที่ไม่มองหน้าพี่เขา ใช้ผ้าเช็ดแว่นตาแล้วสวม เพราะคงไม่ได้ซ้อมต่อแล้ว
“สายตาสั้นหรือยาวครับน้ำ” เสียงพี่จั๋งดังขึ้นอีกรอบ
ผมหันไปมองหน้า พึ่งได้เห็นหน้าชัดๆ หล่อทีเดียว เหมาะสมกันดีนิ
หญิงสวย ชายหล่อ สารภาพว่าพอเห็นหน้าชัดๆก็ทำให้ใจผมเต้นแรงนะ
“สายตาสั้นครับพี่” ผมยิ้มตอบไป
สักพักพี่พิชเดินกลับมาบอกมาบอกว่าวันนี้ซ้อมพอก่อนกลับกันดีกว่า
และถือโอกาสเลี้ยงข้าวผมในฐานะน้องรหัส
แน่นอนว่าผมปฏิเสธไม่ได้
พี่พิชพาไปทานเอ็มเคมีพี่จั๋งมาด้วย
ตลอดมื้ออาหารผมก็เหมือนส่วนเกิน
แม้จะถูกดึงเข้าร่วมบทสนทนาบ้าง แต่อย่างว่า
เขาสองคนมาสวีทกัน โดยมีเราเป็นตัวแถม
เราสามคนทานเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม
“น้ำกลับยังไง” พี่พิชถามผมตอนกำลังเดินออกจากร้าน
“เดี๋ยวกลับรถเมลล์ครับ” ผมตอบพี่พิชไป สายตาก็ชำเลืองมองดูรถเมล์ที่ป้าย
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งน้ำให้นะพิช ก็ไปส่งพิชก่อนดีไหม” พี่จั๋งเสนอตัว
“งั้นตกลงตามนี้นะน้ำ” พี่พิชก็สรุปรวบรัดตัดตอน ผมก็เลยตามเลย
บ้านพี่พิชขับออกนอกเมืองไปนิดหน่อย เป็นหมู่บ้านใหญ่ บ้านแต่ละหลังสวยๆทั้งนั้น
พอถึงบ้าน ผมก็ยกมือไหว้พี่พิช ส่วนพี่จั๋งก็ลงจากรถไปส่งที่ประตูบ้าน
สองคนก็ยืนคุยกันแป๊ปนึง ก่อนจะจุ๊บหน้าผากลากัน
“มานั่งข้างหน้าสิน้ำ”
ใช่ผมลืมไปเลย ปล่อยให้พี่เขาเป็นคนขับรถประจำตัวเฉยเลย
ผมจัดแจงบอกเส้นทางหอผมไป
“หนาวไหม” “ฟังเพลงไหนดี” “นั่งสบายไหม”
เป็นคำถามที่พี่จั๋งยิงรัวมาหาผม
“ไม่เป็นไรพี่ ผมโอเค”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ไปไหนครับน้ำ”
“ไม่ไปไหนครับพี่ ว่าจะนอนพักอยู่ที่ห้องครับ”
“ไปดูหนังกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่มารับ”
ผมหันไปยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไปดูกับพี่พิชสองคนดีกว่ามั้งครับ จะได้จู๋จี๋กันถนัด 5555”
พี่จั๋งยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ขับรถจนถึงหอพักผม
“คนนอกเข้าได้ไหมครับหอนี้”
พี่จั๋งยืนหน้าออกมาถามตอนผมกำลังหากุญแจห้อง
“ได้ครับ แต่เจ้าของห้องต้องเป็นคนพาเข้ามาครับ”
“งั้นว่างๆ พี่จะแวะมาหานะครับ”
ผมอึ้งไปสักแปปก่อนจะตอบไปแบบมึนๆว่า
“ครับ”
(Y) Me is Mine
ไม่เหมาะสำหรับคนที่คิดว่ายาวไปไม่อ่านครับ
Chapter 1
แปดโมงครึ่งแล้ว ผมเดินสะพายกระเป๋าเดินเข้ารั้วมหาวิทยาลัย
วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกของชีวิตนักศึกษาปริญญาตรีของผม
ก้าวแต่ละก้าวสำหรับเช้านี้เต็มไปด้วยความประหม่า ผมต้องเจอคนใหม่ๆ
อาคารเรียนใหม่ เจอเพื่อนใหม่ๆ ในใจของผมยังรู้สึกว่าไม่พร้อมที่จะพบเจอสิ่งที่กล่าวมาเลย
เช้าวันแรกผมต้องไปเรียนที่ตึก 14 วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน
แล้วตึก 14 มันอยู่ตรงไหนละ คนอื่นๆอาจจะเตรียมตัวศึกษาข้อมูลของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นอย่างดี
ซึ่งต่างจากผมที่พึ่งรู้ว่าจะต้องมาเรียนที่นี่ก็แค่สองเดือนเท่านั้น
ผมสอบติดที่มหาวิทยาลัยนึง แต่พ่อกับแม่ผมไม่ยอมให้ไปเรียน
เพราะต้องการกั้นผมออกจากเพื่อนชายที่สนิทซึ่งเรียนด้วยกันมาตอน ม ปลาย
เราสองคนเลือกสอบที่เดียวกัน สาขาวิชาเดียวกัน แต่เมื่อพ่อแม่ผมรู้เรื่อง
ความฝันที่เราสองคนวาดไว้ก็ถูกลบออกไป
ผมติดต่อเพื่อนไม่ได้ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
พ่อแม่ตัดช่องทางการติดต่อรวมทั้งขอร้องเชิงบังคับให้ผมหยุดติดต่อเพื่อนคนนี้
ผมเลือกที่จะมองหาตึก 14 ที่ป้ายแผนผังมหาวิทยาลัยแทนการเดินถามคนอื่น
“เรียนตึกไหนเหรอนาย ยืนบังคนอื่นไม่ออกสักที”
ผู้หญิงผมสั้นเหมือนทอมยืนทักผมอยู่
“ตึก 14 ขอโทษทีนะ”
ผมตอบเธอไปแบบไม่เต็มใจนัก นิสัยแบบผมไม่ค่อยปลื้มสาวทอมเท่าไรนัก
“แล้วเจอยังละ ตึก 14”
“เจอแล้วอยู่ข้างหน้าโน้น”
“งั้นเราเดินไปด้วย เราก็ตึก 14”
สาวทอมก็ยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบแบบเสียไม่ได้ ถ้าเธอไว้ผมยาว แต่งหน้านิด คงจะสวยไม่เบานะ
ผมก็เข้าสู่หมวดเงียบ ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี
“เราชื่อเก๋นะ นายชื่อไร”
“เราชื่อน้ำ”
“เฮ้ย ชื่อ
แล้วเก๋ก็ขำก๊าก ส่วนผมก็หน้านิ่งเฉย นิ่งในใจอะไรกันทำไมเสียมารยาทกับผมแบบนี้นะ
“เอ้ย เราล้อเล่น แหมแค่นี้ทำเป็นโกรธ”
“เปล่า ไม่ได้โกรธอะไร”
ผมโกรธเธอจริงๆ แต่เลือกที่จะไม่แสดงออก
“น้ำเราขอตัวไปเรียนก่อนนะ ขอบใจที่ให้เดินเป็นเพื่อน”
“อ๋อ เอ่อ โอเค”
ผมกำลังจะอ้าปากถามเธอว่าเรียนสาขาอะไร แต่ไม่ทันแล้ว เธอรีบวิ่งไปอีกฝากของตึก
ผมเดินขึ้นตึกไปยังห้องเรียน สภาพห้องเรียนที่เห็นคือทุกคนเรียบร้อยมาก
ผมเลือกมุมตรงกลางห้อง ตามความเคยชินสมัยเรียนมัธยมปลาย แต่มันต่างกันที่
มันเป็นโต๊ะเล็กเชอร์ ไม่ใช่โต๊ะคู่เหมือนก่อน หลายๆคนก็ยิ้มให้ผม
และอีกหลายๆคนที่แนะนำตัวเอง ซึ่งผมจำใครแทบไม่ได้เลย
ใกล้จะเก้าโมงผมก็ก้มหยิบสมุดเพื่อจะมาจดสิ่งที่จะเรียน
มีขวดนมช็อคโกแลตวางอยู่บนโต๊ะ และที่นั่งข้างๆ ก็เป็นเก๋ที่นั่งยิ้มหวานอยู่
“เราซื้อมาฝากน้ำ ฉลองที่เราเป็นเพื่อนกัน”
ผมยิ้มขำๆกับคำพูดของเก๋และก็ตอบ
“ไม่เป็นไรครับ เอาคืนไปนะ”
แววตาเก๋เปลี่ยนเป็นอีกคน
“พ่อแม่นายไม่สอนหรอ เวลาคนให้ของ เขาไม่ให้คืน”
จริงพ่อเราสอนนะ สอนอีกอย่าง พ่อสอนไม่ให้รับของๆใครง่ายๆ
“ขอบใจนะเก๋ พอดีเราไม่ชอบช็อตโกแลตนะ”
คราวนี้เก๋ยิ้มออก แล้วก็ยื่นป๊อกกี้สีชมพูมาให้แทน
“เป็นผู้ชายแท้ป่ะเนี้ยะ ดูหวานเชียว”
ผมก็หัวเราะกลบเกลื่อนไป
คาบเรียนแรก ส่วนใหญ่อาจารย์ก็จะให้ทำความรู้จักกันในห้อง
เก๋ดูจะเป็นคนอัธยาศัยดีที่สุด เพราะจำหน้าจำชื่อเพื่อนได้แม่นมาก
แต่ส่วนผมเหรอ ไม่ถึง 5 คน
ช่วงบ่ายไม่มีเรียน แต่นักศึกษาปี 1 มักจะมีกิจกรรมที่ต้องทำ
แน่นอนว่าเด็กแบบผมไม่ชอบทำกิจกรรมแบบนี้ แต่ก็ต้องเข้าร่วม
วันนี้มีกิจกรรมจับพี่รหัสกัน วันนี้ที่ลานใต้คณะจึงเต็มไปด้วยรุ่นพี่ปีสอง
ที่เตรียมเข้ามาจับจองรุ่นน้องอย่างพวกผม
วิธีการจับคู่พี่รหัสค่อนข้างซับซ้อนมากนั่นก็คือจับฉลาก
ผมนั่งข้างกับเก๋ ซึ่งกลายเป็นคู่หูกันตอนไหนไม่รู้
“กรูอยากได้พี่คนนั้นเป็นรหัสกูว่ะ”
เอ่อสนิทกันเร็วไปไหม กูเลยเหรอ
รุ่นพี่ที่เก๋พูดถึงก็คือพี่ผู้หญิงตัวเล็กๆขาวๆ
“คนต่อไปเชิญ”
เอาละถึงคิวผมจับสักที ผมคลี่กระดาษออกมาแล้วอ่าน
“พี่พีชครับ”
กรี๊ดๆๆๆๆ เสียงกรี๊ดจากกลุ่มรุ่นพี่และจากเก๋
“แลกกันไหมน้ำ นะนะ”
เก๋จับแขนผมทันทีที่ผมนั่งลง
“ไม่!!! คิวเก๋ไปจับแล้ว”
เก๋ลุกไปจับด้วยสายตาพิฆาตกับผมมาก
“พี่เต๋าค่ะ”
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆ เก๋ทำหน้างง ทำไมมีแต่เสียงโห่ พอเฉลยเท่านั้นละ ผมหัวเราะก๊าก
เก๋ได้ประธานรุ่น ซึ่งตัวใหญ่ อ้วนดำ เป็นพี่รหัส สีหน้าเก๋ค่อนข้างผิดหวังมากเลย
“โห แบบนี้เราต้องฝากตัวกับเก๋แล้วมั้ง” ผมแกล้งแซวเก๋ไป
“น้ำ อยู่พูดไม่งั้นปากแตกแน่”
ผมก็ไม่พูดนะแต่ก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้
“หยุดหัวเราะด้วย ไม่งั้นโกรธจริงๆนะ”
วันแรกของผมก็ผ่านไปค่อนข้างดี ได้เพื่อนโดยบังเอิญมา 1 คน
เก๋เป็นเด็กต่างจังหวัด เช่นเดียวกับผม
เราสองคนต่างเลือกหอพักที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก
เก๋ขับรถป๊อป ส่วนผมเดินกลับ เก๋เองก็ชวนผมกลับด้วย
แต่เก๋คงรู้แล้วว่าผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตผมมากนัก
ช่วงแรกๆของนักศึกษาปี 1 คือกิจกรรมเชียร์ เป็นกิจกรรมที่เบื่อมาก
เลิกเรียนแล้วอยากไปห้องสมุดเข้าใจไหม เชื่อว่าหลายๆคนก็คงไม่ชอบ
“น้ำยืนขึ้น” ผมถูกรุ่นพี่คนนึงสั่งให้ลุกยืน
“เดินออกมาข้างหน้ามา” เกิดอะไรขึ้นกับผม มองไปที่เก๋เห็นมันทำหน้ายิ้มเยาะเย้ย
“เป็นเชียร์หลีดเดอร์นะ” ผมหันขวับ
“ไม่ไหวนะพี่ผมเต้นไม่เป็น ขอตำแหน่งอื่นนะพี่นะ”
ผมส่งทั้งเสียงและแววตาอ้อนว้อนหัวหน้าทีมเชียร์
“ไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด เดี๋ยวพวกพี่สอนให้”
แม้ว่าผมจะหาเหตุผลและชักแม่น้ำมาทั้งห้า
ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ หลังจากวันนั้นเลิกเรียนผมก็ต้องไปซ้อมหลีด จนถึงสองทุ่ม
ก็จะมีเก๋ที่คอยไปนั่งเป็นเพื่อนและพี่รหัสผม ที่เป็นหลีดเดอร์เก่ามานั่งให้กำลังใจ
กว่าจะเข้ารูปเข้ารอยก็เป็นอาทิตย์
วันศุกร์เย็นขณะที่ผมกำลังซ้อมอยู่ พี่รหัสคนสวยผมก็โบกมือให้
เอ๊ะพาใครมาด้วยนะ สงสัยจะเป็นแฟน
แต่ผมเองก็มองไปเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เพราะถอดแว่นตา
“น้ำวันนี้เหนื่อยไหม นี่พี่จั๋ง แฟนพี่เอง”
พี่พีชทักทายและแนะนำผมให้รู้จักแฟนพี่เขา
ผมยกมือไหว้ แล้วยิ้มให้ คลับคล้ายคลับคราว่าจะหล่อ
แต่ผมขี้เกียจจะหยิบแว่นมาสวม
เหนื่อยและอยากดื่มน้ำมาก
“ดื่มน้ำครับ น้องน้ำ” เสียงพี่จั๋งพูดขึ้น
ผมหันไปเห็นขวดน้ำถูกยื่นมาเกือบถึงหน้าแล้ว
“ขอบคุณมากครับ”
ผมนั่งพักสักพัก ก็ออกไปซ้อมต่อ จู่ๆ เพื่อนอีกคนผู้หญิงคงเพลียมากเลยเป็นลม
การซ้อมจึงยุติลง พี่พิชพาน้องไปปฐมพยาบาล
ส่วนผมเดินกลับไปที่นั่งเดิม
นั่งมองรุ่นพี่กำลังปฐมพยาบาลคนเป็นลมอยู่
“เต้นสวยนะครับ” เสียงพี่จั๋งทักผมขึ้นมา
“ไม่หรอกพี่ ผมมั่วตามเพื่อนไป”
ผมตอบไปโดยที่ไม่มองหน้าพี่เขา ใช้ผ้าเช็ดแว่นตาแล้วสวม เพราะคงไม่ได้ซ้อมต่อแล้ว
“สายตาสั้นหรือยาวครับน้ำ” เสียงพี่จั๋งดังขึ้นอีกรอบ
ผมหันไปมองหน้า พึ่งได้เห็นหน้าชัดๆ หล่อทีเดียว เหมาะสมกันดีนิ
หญิงสวย ชายหล่อ สารภาพว่าพอเห็นหน้าชัดๆก็ทำให้ใจผมเต้นแรงนะ
“สายตาสั้นครับพี่” ผมยิ้มตอบไป
สักพักพี่พิชเดินกลับมาบอกมาบอกว่าวันนี้ซ้อมพอก่อนกลับกันดีกว่า
และถือโอกาสเลี้ยงข้าวผมในฐานะน้องรหัส
แน่นอนว่าผมปฏิเสธไม่ได้
พี่พิชพาไปทานเอ็มเคมีพี่จั๋งมาด้วย
ตลอดมื้ออาหารผมก็เหมือนส่วนเกิน
แม้จะถูกดึงเข้าร่วมบทสนทนาบ้าง แต่อย่างว่า
เขาสองคนมาสวีทกัน โดยมีเราเป็นตัวแถม
เราสามคนทานเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม
“น้ำกลับยังไง” พี่พิชถามผมตอนกำลังเดินออกจากร้าน
“เดี๋ยวกลับรถเมลล์ครับ” ผมตอบพี่พิชไป สายตาก็ชำเลืองมองดูรถเมล์ที่ป้าย
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งน้ำให้นะพิช ก็ไปส่งพิชก่อนดีไหม” พี่จั๋งเสนอตัว
“งั้นตกลงตามนี้นะน้ำ” พี่พิชก็สรุปรวบรัดตัดตอน ผมก็เลยตามเลย
บ้านพี่พิชขับออกนอกเมืองไปนิดหน่อย เป็นหมู่บ้านใหญ่ บ้านแต่ละหลังสวยๆทั้งนั้น
พอถึงบ้าน ผมก็ยกมือไหว้พี่พิช ส่วนพี่จั๋งก็ลงจากรถไปส่งที่ประตูบ้าน
สองคนก็ยืนคุยกันแป๊ปนึง ก่อนจะจุ๊บหน้าผากลากัน
“มานั่งข้างหน้าสิน้ำ”
ใช่ผมลืมไปเลย ปล่อยให้พี่เขาเป็นคนขับรถประจำตัวเฉยเลย
ผมจัดแจงบอกเส้นทางหอผมไป
“หนาวไหม” “ฟังเพลงไหนดี” “นั่งสบายไหม”
เป็นคำถามที่พี่จั๋งยิงรัวมาหาผม
“ไม่เป็นไรพี่ ผมโอเค”
“พรุ่งนี้วันเสาร์ไปไหนครับน้ำ”
“ไม่ไปไหนครับพี่ ว่าจะนอนพักอยู่ที่ห้องครับ”
“ไปดูหนังกับพี่ไหม เดี๋ยวพี่มารับ”
ผมหันไปยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ไปดูกับพี่พิชสองคนดีกว่ามั้งครับ จะได้จู๋จี๋กันถนัด 5555”
พี่จั๋งยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ขับรถจนถึงหอพักผม
“คนนอกเข้าได้ไหมครับหอนี้”
พี่จั๋งยืนหน้าออกมาถามตอนผมกำลังหากุญแจห้อง
“ได้ครับ แต่เจ้าของห้องต้องเป็นคนพาเข้ามาครับ”
“งั้นว่างๆ พี่จะแวะมาหานะครับ”
ผมอึ้งไปสักแปปก่อนจะตอบไปแบบมึนๆว่า
“ครับ”