พรบ. กลาโหม ที่ออกสมัยรัฐบาลขิงแก่ กำหนดให้สภากลาโหมมีสมาชิกสภาฯที่มาจาก
รมต. 1 คน
ปลัดกระทรวงกลาโหม 3
สมุหราชองค์รักษ์ และ กรมราชองค์รักษ์ 3
กองทัพไทย 3
ทหารบก 4
ทหารเรือ 5
ทหารอากาศ 5
คนที่ รมต แต่งตั้ง 3 คน แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากสภากลาโหม
ถามหน่อยเถอะว่า รมต. จะเอาเสียงที่ไหน ไปปรับย้ายตำแหน่ง ผบ.ทบ. ให้พ้นจากตำแหน่ง
แล้วไปกินตำแหน่งอื่นโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของสภากลาโหม
3 เสียงที่ รมต. แต่งตั้งได้ แม้จะผ่านการเห็นชอบของสภากลาโหม ต่อให้ยกมือทั้งสองมือ
และ ยกเท้าอีกสองเท้าจะไปสู้โหวตของกองทัพได้อย่างไร
ถ้าจะคิดเรื่องจะย้าย ผบ.ทบ. ให้คิดก่อนว่า จะย้ายได้หรือไม่ ถ้ารู้ว่า ย้ายยังไงก็ย้าไม่ได้ ไม่
ต้องไปร้องแรกแหกกะเฌอให้ชาวบ้านเขาตื่นตระหนกหรอกครับ
สุชา จุลเพชร (บางส่วน)
พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นกฎหมายป้องกันไม่ให้นักการเมืองโยกย้ายแต่งตั้งทหารระดับนายพลขึ้นไป และยังให้อำนาจกระทรวงกลาโหมกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆอีกมากมาย ล้วนแต่กีดกันนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลไม่อาจใช้อำนาจแตะต้องกองทัพไม่ว่ากรณีใดๆ
ความเป็นเอกเทศของกองทัพและทหารภายใต้ความคุ้มครองของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก่อผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหลายประการ เบื้องต้นที่สุดนายทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดยังก้าวหน้าในหน้าที่ราชการเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่แล้ว ประการต่อมารัฐบาลจะแต่งตั้งโยกย้ายทหารฝ่ายตนเข้าสอดแทรกตำแหน่งสำคัญก็ไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลไม่มีอำนาจแก้ไขโผแต่งตั้งที่คณะกรรมการซึ่งนายทหารระดับสูงเป็นเสียงข้างมากได้
นอกเหนือจากการแต่งตั้งโยกย้ายแล้ว พ.ร.บ.ฉบับเดียวกันยังป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีว่าการกลาโหมใช้อำนาจสั่งการทหารให้ปฏิบัติการใดๆ ทั้งนี้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกำหนดให้เป็นอำนาจของสภากลาโหมซึ่งประกอบด้วยนายทหารเกือบทั้งสภา มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเพียง 2 คนคือรัฐมนตรีว่าการฯกับรัฐมนตรีช่วยอีก 1 คนเท่านั้น โดยที่สภากลาโหมมีสมาชิก 26-28 คน
ความเข้าใจที่ว่ากองทัพและทหารไทยภายใต้การคุ้มครองของ พ.ร.บ.กลาโหมนั้นเหมือนกองทัพเป็นรัฐอิสระ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะกองทัพต้องสังกัดและขึ้นตรงต่อระบอบการเมืองใดการเมืองหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้ากองทัพไทยไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ให้สันนิษฐานว่าต้องมีอำนาจระบอบการเมืองอื่นซ้อนอยู่และกองทัพขึ้นตรงต่ออำนาจการเมืองนั้น เพราะฉะนั้นเป้าหมายอันแท้จริงของ พ.ร.บ.กลาโหม 2551 ก็เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแทรกแซงกองทัพ ในด้านกลับกัน พ.ร.บ.ดังกล่าวยอมรับการแทรกแซงในทางลับจากระบอบการเมืองอื่นซึ่งจัดอยู่ในประเภทหนึ่งของระบอบเผด็จการ
เห็นเต้าข่าวกันทั้ง นสพ. ทั้ง โซเชียลเนทเวิลค์ ว่า รมต. กห. จะปลด ผบ.ทบ. ถามหน่อยว่า รมต. กห. จะปลด ผบ.ทบ. ได้ยังไง
รมต. 1 คน
ปลัดกระทรวงกลาโหม 3
สมุหราชองค์รักษ์ และ กรมราชองค์รักษ์ 3
กองทัพไทย 3
ทหารบก 4
ทหารเรือ 5
ทหารอากาศ 5
คนที่ รมต แต่งตั้ง 3 คน แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากสภากลาโหม
ถามหน่อยเถอะว่า รมต. จะเอาเสียงที่ไหน ไปปรับย้ายตำแหน่ง ผบ.ทบ. ให้พ้นจากตำแหน่ง
แล้วไปกินตำแหน่งอื่นโดยไม่ผ่านการเห็นชอบของสภากลาโหม
3 เสียงที่ รมต. แต่งตั้งได้ แม้จะผ่านการเห็นชอบของสภากลาโหม ต่อให้ยกมือทั้งสองมือ
และ ยกเท้าอีกสองเท้าจะไปสู้โหวตของกองทัพได้อย่างไร
ถ้าจะคิดเรื่องจะย้าย ผบ.ทบ. ให้คิดก่อนว่า จะย้ายได้หรือไม่ ถ้ารู้ว่า ย้ายยังไงก็ย้าไม่ได้ ไม่
ต้องไปร้องแรกแหกกะเฌอให้ชาวบ้านเขาตื่นตระหนกหรอกครับ
สุชา จุลเพชร (บางส่วน)
พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นกฎหมายป้องกันไม่ให้นักการเมืองโยกย้ายแต่งตั้งทหารระดับนายพลขึ้นไป และยังให้อำนาจกระทรวงกลาโหมกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆอีกมากมาย ล้วนแต่กีดกันนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาลไม่อาจใช้อำนาจแตะต้องกองทัพไม่ว่ากรณีใดๆ
ความเป็นเอกเทศของกองทัพและทหารภายใต้ความคุ้มครองของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก่อผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยหลายประการ เบื้องต้นที่สุดนายทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นองเลือดยังก้าวหน้าในหน้าที่ราชการเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งๆที่เปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่แล้ว ประการต่อมารัฐบาลจะแต่งตั้งโยกย้ายทหารฝ่ายตนเข้าสอดแทรกตำแหน่งสำคัญก็ไม่ได้ เพราะรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลไม่มีอำนาจแก้ไขโผแต่งตั้งที่คณะกรรมการซึ่งนายทหารระดับสูงเป็นเสียงข้างมากได้
นอกเหนือจากการแต่งตั้งโยกย้ายแล้ว พ.ร.บ.ฉบับเดียวกันยังป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีว่าการกลาโหมใช้อำนาจสั่งการทหารให้ปฏิบัติการใดๆ ทั้งนี้ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวกำหนดให้เป็นอำนาจของสภากลาโหมซึ่งประกอบด้วยนายทหารเกือบทั้งสภา มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเพียง 2 คนคือรัฐมนตรีว่าการฯกับรัฐมนตรีช่วยอีก 1 คนเท่านั้น โดยที่สภากลาโหมมีสมาชิก 26-28 คน
ความเข้าใจที่ว่ากองทัพและทหารไทยภายใต้การคุ้มครองของ พ.ร.บ.กลาโหมนั้นเหมือนกองทัพเป็นรัฐอิสระ นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะกองทัพต้องสังกัดและขึ้นตรงต่อระบอบการเมืองใดการเมืองหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้ากองทัพไทยไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ให้สันนิษฐานว่าต้องมีอำนาจระบอบการเมืองอื่นซ้อนอยู่และกองทัพขึ้นตรงต่ออำนาจการเมืองนั้น เพราะฉะนั้นเป้าหมายอันแท้จริงของ พ.ร.บ.กลาโหม 2551 ก็เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแทรกแซงกองทัพ ในด้านกลับกัน พ.ร.บ.ดังกล่าวยอมรับการแทรกแซงในทางลับจากระบอบการเมืองอื่นซึ่งจัดอยู่ในประเภทหนึ่งของระบอบเผด็จการ