ผูกแล้วต้องแก้
บทบรรณาธิการ
จะเป็นด้วยพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วว่าคำร้องเข้าข้อกฎหมาย หรือจะเพราะความเชื่อทางการเมืองดั้งเดิมของตนเอง
หรือเป็นปฏิกิริยาตอบโต้จากการที่มีกลุ่มคนมาชุมนุมประท้วงหน้าสำนักงาน รวมไปถึงการที่สมาชิกสภานิติบัญญัติกว่า 300 คนทำหนังสือยืนยันไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจในเรื่องการตีความประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องล่าสุด ของพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ว่า
ประธานรัฐสภากับส.ส.-ส.ว. รวม 312 คน ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่
อีกด้านหนึ่งก็ยิ่งเร่งให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าแหลมคมยิ่งขึ้น
เพราะอย่างที่
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งระบุเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้
เหมือนนักมวยไล่ชกกรรมการ จนกระทั่ง
ถูกตอบโต้ว่าเป็นเพราะกรรมการไล่ชกนักมวยก่อน
สถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสถานภาพของศาลรัฐธรรมนูญเอง
จากผู้ที่จะต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่มีความขัดแย้ง เข้าใจไม่ตรงกัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้นเสียเอง
และยิ่งนานไปบทบาทในฐาน "คู่กรณี" กับซีกการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อกรรมการกลายเป็นนักมวยเสียเอง คำตัดสินจะได้รับความเชื่อถืออย่างไร
ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ
เงื่อนปมทางการเมืองที่ถูกขมวดเอาไว้ในหลายปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญนี่เอง
และจาก
การยอมรับของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้หนึ่งว่า
การตัดสินวินิจฉัยนั้นมีการนำเอาประเด็นการเมืองเข้าไปประกอบกับข้อกฎหมายด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่สามารถบอกปัดบท บาทและผลกระทบทางการเมืองของตนเองได้
เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรวจสอบตน เองอย่างจริงจังตรงไปตรงมา โอกาสที่ปัญหาการเมืองจะขยายตัวยิ่งขึ้นไปก็เป็นไปได้สูงยิ่ง
ในฐานะผู้ผูกกระพรวน จะยกความรับผิดชอบในการแก้ให้ผู้อื่นไม่ได้
ที่มา.....
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk9ERXhPVGN5Tnc9PQ==§ionid=
????????????????????????????????
"......ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง....
ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เหมือนนักมวยไล่ชกกรรมการ จนกระทั่ง
ถูกตอบโต้ว่าเป็นเพราะกรรมการไล่ชกนักมวยก่อน......"
"......
จากผู้ที่จะต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่มีความขัดแย้ง เข้าใจไม่ตรงกัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้นเสียเอง......
.....เมื่อกรรมการกลายเป็นนักมวยเสียเอง คำตัดสินจะได้รับความเชื่อถืออย่างไร....."
"......จากการยอมรับของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้หนึ่งว่า
การตัดสินวินิจฉัยนั้นมีการนำเอาประเด็นการเมืองเข้าไปประกอบกับข้อกฎหมายด้วย......"
หมดคุณค่า
ไร้ศักดิ์ศรี.....
ตัวบุคคลเพียงไม่กี่คนทำให้สถาบันต้องมัวหมอง
ทำผิดพลาดใหญ่หลวงแล้วยังไม่รู้สำนึก
ยังมีหน้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นคนดี มีหน้าที่ปกป้องแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศชาติ
ไม่รู้ตัวเลยจริงๆหรือว่า
สิ่งที่กำลังกระทำอยู่นั่นแหละคือการทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัสสากรรจ์นัก.....
"ผูกแล้วต้องแก้"บท บก.ข่าวสด"เมื่อกรรมการกลายเป็นนักมวยเสียเอง คำตัดสินจะได้รับความเชื่อถืออย่างไร"...นั่นสิ จะมีค่าอะไร
บทบรรณาธิการ
จะเป็นด้วยพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วว่าคำร้องเข้าข้อกฎหมาย หรือจะเพราะความเชื่อทางการเมืองดั้งเดิมของตนเอง
หรือเป็นปฏิกิริยาตอบโต้จากการที่มีกลุ่มคนมาชุมนุมประท้วงหน้าสำนักงาน รวมไปถึงการที่สมาชิกสภานิติบัญญัติกว่า 300 คนทำหนังสือยืนยันไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจในเรื่องการตีความประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องล่าสุด ของพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ว่าประธานรัฐสภากับส.ส.-ส.ว. รวม 312 คน ที่แก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่
อีกด้านหนึ่งก็ยิ่งเร่งให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าแหลมคมยิ่งขึ้น
เพราะอย่างที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่งระบุเอาไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เหมือนนักมวยไล่ชกกรรมการ จนกระทั่งถูกตอบโต้ว่าเป็นเพราะกรรมการไล่ชกนักมวยก่อน
สถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นสถานภาพของศาลรัฐธรรมนูญเอง
จากผู้ที่จะต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่มีความขัดแย้ง เข้าใจไม่ตรงกัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้นเสียเอง
และยิ่งนานไปบทบาทในฐาน "คู่กรณี" กับซีกการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อกรรมการกลายเป็นนักมวยเสียเอง คำตัดสินจะได้รับความเชื่อถืออย่างไร
ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เงื่อนปมทางการเมืองที่ถูกขมวดเอาไว้ในหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากบทบาทของศาลรัฐธรรมนูญนี่เอง
และจากการยอมรับของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้หนึ่งว่า การตัดสินวินิจฉัยนั้นมีการนำเอาประเด็นการเมืองเข้าไปประกอบกับข้อกฎหมายด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่สามารถบอกปัดบท บาทและผลกระทบทางการเมืองของตนเองได้
เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่ตรวจสอบตน เองอย่างจริงจังตรงไปตรงมา โอกาสที่ปัญหาการเมืองจะขยายตัวยิ่งขึ้นไปก็เป็นไปได้สูงยิ่ง
ในฐานะผู้ผูกกระพรวน จะยกความรับผิดชอบในการแก้ให้ผู้อื่นไม่ได้
ที่มา.....
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNMk9ERXhPVGN5Tnc9PQ==§ionid=
????????????????????????????????
"......ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง.... ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เหมือนนักมวยไล่ชกกรรมการ จนกระทั่งถูกตอบโต้ว่าเป็นเพราะกรรมการไล่ชกนักมวยก่อน......"
"......จากผู้ที่จะต้องอยู่ตรงกลางเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่มีความขัดแย้ง เข้าใจไม่ตรงกัน กลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้นเสียเอง......
.....เมื่อกรรมการกลายเป็นนักมวยเสียเอง คำตัดสินจะได้รับความเชื่อถืออย่างไร....."
"......จากการยอมรับของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้หนึ่งว่า การตัดสินวินิจฉัยนั้นมีการนำเอาประเด็นการเมืองเข้าไปประกอบกับข้อกฎหมายด้วย......"
หมดคุณค่า
ไร้ศักดิ์ศรี.....
ตัวบุคคลเพียงไม่กี่คนทำให้สถาบันต้องมัวหมอง
ทำผิดพลาดใหญ่หลวงแล้วยังไม่รู้สำนึก
ยังมีหน้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นคนดี มีหน้าที่ปกป้องแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศชาติ
ไม่รู้ตัวเลยจริงๆหรือว่า
สิ่งที่กำลังกระทำอยู่นั่นแหละคือการทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัสสากรรจ์นัก.....