
หนังดราม่าเข้มๆ จากฝีมือของ ดีเร็ค เซียนฟรานซ์ เจ้าของผลงานชิ้นเยี่ยมอย่าง Blue Valentine (2010) ที่เคยส่งให้ มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ เข้าชิงออสการ์มาแล้ว กลับมาเที่ยวนี้ ดีเร็ค ยังคงหยิบเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมานำเสนออยู่เหมือนเคย แต่ว่าแตกออกเป็นประเด็นแยกย่อยชวนให้ขบคิดมากกว่าเดิมกับเรื่องราวที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องของ โจรนักบิด, ตำรวจมือใหม่ และอีกสองตัวละครในอีกช่วงเวลา โดยที่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันและส่งผลกระทบถึงกันอย่างลึกซึ้งในแง่มุมของ คนดีกับคนเลว, คนนอกกฏหมายกับคนในกฏหมาย, สถานะทางสังคมกับผลที่ได้รับ ตลอดจน ชะตากรรมที่ส่งต่อจากคนอีกรุ่นสู่คนอีกรุ่น!
หนังเล่าเรื่องทั้ง 3 ส่วนตามลำดับเวลา มาเรียบๆ เรียงๆ แต่ใช้สถานะของตัวละครมาสร้างความซับซ้อนย้อนแย้งให้กับเนื้อหาได้อย่างคมคาย หนังวางปม ที่มาที่ไป จนสามารถโน้มน้าวให้เราเห็นดีเห็นชอบกับการทำเรื่องร้ายๆ ของ ลุ๊ค (ไรอัน กอสลิ่ง) นักแสดงมอเตอร์ไซค์ผาดโผนที่ผันตัวเองมาเป็นคนร้ายปล้นธนาคาร ได้อย่างหมดใจ และร่วมลุ้นให้การทำเรื่องร้ายๆ ที่ว่านี้ลุล่วงไปด้วยดีในทุกครั้ง
ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เรารู้สึกชิงชังตำรวจมือใหม่อย่าง เอเวอรี่ (แบรดลี่ คูเปอร์) ได้อย่างล้ำลึก จากการเป็นนักฉวยโอกาส ที่เริ่มต้นด้วยการโกหกเล็กๆ เพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเอง จนพลิกโฉมกลายเป็นตำรวจฮีโร่ในชั่วข้ามคืน รวมถึงการกระทำอื่นๆ ที่แม้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่หนังได้ทำให้คนดูคลางแคลงในความถูกต้องนั้นว่า เอาเข้าจริง เอเวอรี่ทำเพื่อความถูกต้องจริงๆ หรือทำเพื่อตัวเองกันแน่
ที่สุดแล้ว ทั้ง คนเลวที่แสนดีอย่าง ลุ๊ค กับ คนดีที่แอบเลวอย่าง เอเวอรี่ แทบจะกลายเป็นความเหมือนในความต่าง ทั้งคู่เป็นเพียงแค่คนที่พยายามขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าด้วยวิธีการของตัวเอง โดยเลือกที่จะเป็นคนเลวในสถานการณ์หนึ่ง เพื่อที่จะทำให้ตัวเอง "ดีขึ้น" ในอีกสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งความบิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางเหล่านี้ได้ทำให้เส้นแบ่งของคำว่า "ถูก/ผิด" และ "ดี/เลว" ในหนังแทบจะพร่าเลือนลงไปจนยากจะแยกออกจากกัน โชคร้ายก็ตรงที่สถานะของการเป็น "คนนอกกฏหมาย" และ "คนในกฏหมาย" ทำให้ผลลัพธ์จากการทำเรื่องผิดพลาดในชีวิตของคนสองประเภทนี้ออกมาต่างกันลิบลับ
ผู้กำกับ ดีเร็ค พาคนดูไปไกลยิ่งกว่านั้นเมื่อมาถึงช่วงสุดท้าย หนังได้ข้ามเวลาไปเล่าเรื่องผ่านอีกสองตัวละครใหม่ ที่นำไปสู่อีกหนึ่งประเด็นกินใจของหนังเรื่องนี้ เมื่อสิ่งที่คนรุ่นหนึ่งก่อเอาไว้ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
บทหนังเปิดช่องให้จบแรงๆ สะใจในแบบที่ขยี้ทุกอย่างให้แหลกคามือก็ได้ แต่ ผู้กำกับ ดีเร็ค เลือกที่จะจบด้วยความสุขุมลุ่มลึก ในมุมที่ทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ว่าบางครั้งบางทีชะตาชีวิตของคนมันก็อาจถูกกำหนดมาแล้วทางสายเลือด กับฉากสุดท้ายที่เป็นภาพของตัวละครหนึ่งบึ่งมอเตอร์ไซค์หายลับไปท่ามกลางแสงแดดระเรื่อ พร้อมๆ กับเพลงโฟร์คสุดเหงาของ บอน ไอเวอร์ ที่ดังแว่วขึ้น ทิ้งไว้เพียงความปวดร้าว ซึม บาดลึกในห้วงความรู้สึกของผู้ชม
คะแนน : สี่ดาวจ้า
PS 1. ไม่รับประกันว่าดูแล้วจะอินจนรู้สึกพีคเท่าที่ผู้เขียนว่ามาหรือไม่ เพราะลีลาและจังหวะหนังไม่อยู่ในข่ายที่เหมาะกับคนวงกว้างมากนัก แต่ถ้าชอบงานดราม่าขรึมๆ ก็น่าจะถูกใจระดับหนึ่งแน่ๆ หนังยังฉายอยู่จ้า ปลายๆ โปรแกรมแล้วหล่ะ ใครอยากจะดูก็รีบจัดไป
PS 2. ชื่อหนังมีที่มาจากโลเกชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ หรือก็คือเมือง Schenectady ในนิวยอร์ค ซึ่งมาจากภาษาพื้นเมือง (อินเดียแดง) แปลตรงตัวว่า ดินแดนเหนือป่าสน (The Place Beyond the Pines)
PS 3. ในหนังเรื่องนี้มีฉาก ไรอัน กอสลิ่ง สวมเสื้อทีเชิร์ตของวง Metallica อยู่หลายครั้ง ผู้เขียนเข้าใจว่ามันเป็นการสื่อความหมายอย่างหนึ่งของผู้กำกับ เพราะทีเชิร์ตตัวดังกล่าวมาจากรูปปกอัลบั้มของ Metallica ชุดที่ชื่อว่า Ride The Lighting ซึ่งสื่อไปถึงคำพูดที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องกล่าวเตือนพี่ไรอันไว้ว่า "If you ride like lightning, you're gonna crash like thunder" หรือแปลเป็นไทยก็คือ "หากนายซิ่งเหมือนสายฟ้า นายก็จะแหลกเหมือนฟ้าผ่า"
PS 4. ใครชอบอ่านรีวิวหนังสั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า
http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518
(เพิ่งได้ดู) The Place Beyond the Pines (2013) : ไรอัน กอสลิ่ง & แบรดลี่ คูเปอร์ / คนเลวที่แสนดี & คนดีที่แอบเลว
หนังดราม่าเข้มๆ จากฝีมือของ ดีเร็ค เซียนฟรานซ์ เจ้าของผลงานชิ้นเยี่ยมอย่าง Blue Valentine (2010) ที่เคยส่งให้ มิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ เข้าชิงออสการ์มาแล้ว กลับมาเที่ยวนี้ ดีเร็ค ยังคงหยิบเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวมานำเสนออยู่เหมือนเคย แต่ว่าแตกออกเป็นประเด็นแยกย่อยชวนให้ขบคิดมากกว่าเดิมกับเรื่องราวที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องของ โจรนักบิด, ตำรวจมือใหม่ และอีกสองตัวละครในอีกช่วงเวลา โดยที่ทั้งหมดล้วนเกี่ยวพันและส่งผลกระทบถึงกันอย่างลึกซึ้งในแง่มุมของ คนดีกับคนเลว, คนนอกกฏหมายกับคนในกฏหมาย, สถานะทางสังคมกับผลที่ได้รับ ตลอดจน ชะตากรรมที่ส่งต่อจากคนอีกรุ่นสู่คนอีกรุ่น!
หนังเล่าเรื่องทั้ง 3 ส่วนตามลำดับเวลา มาเรียบๆ เรียงๆ แต่ใช้สถานะของตัวละครมาสร้างความซับซ้อนย้อนแย้งให้กับเนื้อหาได้อย่างคมคาย หนังวางปม ที่มาที่ไป จนสามารถโน้มน้าวให้เราเห็นดีเห็นชอบกับการทำเรื่องร้ายๆ ของ ลุ๊ค (ไรอัน กอสลิ่ง) นักแสดงมอเตอร์ไซค์ผาดโผนที่ผันตัวเองมาเป็นคนร้ายปล้นธนาคาร ได้อย่างหมดใจ และร่วมลุ้นให้การทำเรื่องร้ายๆ ที่ว่านี้ลุล่วงไปด้วยดีในทุกครั้ง
ขณะเดียวกันก็สามารถทำให้เรารู้สึกชิงชังตำรวจมือใหม่อย่าง เอเวอรี่ (แบรดลี่ คูเปอร์) ได้อย่างล้ำลึก จากการเป็นนักฉวยโอกาส ที่เริ่มต้นด้วยการโกหกเล็กๆ เพื่อปกปิดความผิดพลาดของตัวเอง จนพลิกโฉมกลายเป็นตำรวจฮีโร่ในชั่วข้ามคืน รวมถึงการกระทำอื่นๆ ที่แม้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่หนังได้ทำให้คนดูคลางแคลงในความถูกต้องนั้นว่า เอาเข้าจริง เอเวอรี่ทำเพื่อความถูกต้องจริงๆ หรือทำเพื่อตัวเองกันแน่
ที่สุดแล้ว ทั้ง คนเลวที่แสนดีอย่าง ลุ๊ค กับ คนดีที่แอบเลวอย่าง เอเวอรี่ แทบจะกลายเป็นความเหมือนในความต่าง ทั้งคู่เป็นเพียงแค่คนที่พยายามขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้าด้วยวิธีการของตัวเอง โดยเลือกที่จะเป็นคนเลวในสถานการณ์หนึ่ง เพื่อที่จะทำให้ตัวเอง "ดีขึ้น" ในอีกสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งความบิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางเหล่านี้ได้ทำให้เส้นแบ่งของคำว่า "ถูก/ผิด" และ "ดี/เลว" ในหนังแทบจะพร่าเลือนลงไปจนยากจะแยกออกจากกัน โชคร้ายก็ตรงที่สถานะของการเป็น "คนนอกกฏหมาย" และ "คนในกฏหมาย" ทำให้ผลลัพธ์จากการทำเรื่องผิดพลาดในชีวิตของคนสองประเภทนี้ออกมาต่างกันลิบลับ
ผู้กำกับ ดีเร็ค พาคนดูไปไกลยิ่งกว่านั้นเมื่อมาถึงช่วงสุดท้าย หนังได้ข้ามเวลาไปเล่าเรื่องผ่านอีกสองตัวละครใหม่ ที่นำไปสู่อีกหนึ่งประเด็นกินใจของหนังเรื่องนี้ เมื่อสิ่งที่คนรุ่นหนึ่งก่อเอาไว้ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง
บทหนังเปิดช่องให้จบแรงๆ สะใจในแบบที่ขยี้ทุกอย่างให้แหลกคามือก็ได้ แต่ ผู้กำกับ ดีเร็ค เลือกที่จะจบด้วยความสุขุมลุ่มลึก ในมุมที่ทำให้เราเชื่อได้จริงๆ ว่าบางครั้งบางทีชะตาชีวิตของคนมันก็อาจถูกกำหนดมาแล้วทางสายเลือด กับฉากสุดท้ายที่เป็นภาพของตัวละครหนึ่งบึ่งมอเตอร์ไซค์หายลับไปท่ามกลางแสงแดดระเรื่อ พร้อมๆ กับเพลงโฟร์คสุดเหงาของ บอน ไอเวอร์ ที่ดังแว่วขึ้น ทิ้งไว้เพียงความปวดร้าว ซึม บาดลึกในห้วงความรู้สึกของผู้ชม
คะแนน : สี่ดาวจ้า
PS 1. ไม่รับประกันว่าดูแล้วจะอินจนรู้สึกพีคเท่าที่ผู้เขียนว่ามาหรือไม่ เพราะลีลาและจังหวะหนังไม่อยู่ในข่ายที่เหมาะกับคนวงกว้างมากนัก แต่ถ้าชอบงานดราม่าขรึมๆ ก็น่าจะถูกใจระดับหนึ่งแน่ๆ หนังยังฉายอยู่จ้า ปลายๆ โปรแกรมแล้วหล่ะ ใครอยากจะดูก็รีบจัดไป
PS 2. ชื่อหนังมีที่มาจากโลเกชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ หรือก็คือเมือง Schenectady ในนิวยอร์ค ซึ่งมาจากภาษาพื้นเมือง (อินเดียแดง) แปลตรงตัวว่า ดินแดนเหนือป่าสน (The Place Beyond the Pines)
PS 3. ในหนังเรื่องนี้มีฉาก ไรอัน กอสลิ่ง สวมเสื้อทีเชิร์ตของวง Metallica อยู่หลายครั้ง ผู้เขียนเข้าใจว่ามันเป็นการสื่อความหมายอย่างหนึ่งของผู้กำกับ เพราะทีเชิร์ตตัวดังกล่าวมาจากรูปปกอัลบั้มของ Metallica ชุดที่ชื่อว่า Ride The Lighting ซึ่งสื่อไปถึงคำพูดที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องกล่าวเตือนพี่ไรอันไว้ว่า "If you ride like lightning, you're gonna crash like thunder" หรือแปลเป็นไทยก็คือ "หากนายซิ่งเหมือนสายฟ้า นายก็จะแหลกเหมือนฟ้าผ่า"
PS 4. ใครชอบอ่านรีวิวหนังสั้นบ้าง ยาวบ้าง ฝากกด like แฟนเพจด้วยจ้า http://www.facebook.com/pages/เกรียนหนัง/112834835539518