[รีวิว] Postman ไปรษณีย์ 4 โลก - ผู้ส่งสารจาก 4 ยุคแต่ดันส่งความรู้สึกมาไม่ถึงผู้ชมปลายทาง

ช่วงที่ Postman เข้าฉาย หากอยู่ในบริเวณโรงภาพยนตร์ในเครือของผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะได้ยินเพลง “กาลครั้งหนึ่ง” ที่ขับร้องโดยนักร้องสาว พลอยชมพู ญานนีน ไวเกล (Jannine Weigel) ซึ่งความไพเราะของบทเพลงก็ชวนให้อยากดูภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่น้อย อีกทั้งหากเข้าไปสืบค้นเรื่องย่ออ่านดูก็ยิ่งสร้างความตื่นเต้น พลางมีคำพูดปรากฏขึ้นในหัวว่า “หนังไทยก็มีแบบนี้ด้วย” แถมเป็นบทภาพยนตร์ที่ชนะการประกวดอีกต่างหาก ก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะตีตั๋วเข้าไปรับชมในโรงภาพยนตร์

เรื่องราวของชาย 4 คนต่างยุคต่างสมัย ดึก (เบิร์ด-บุญพงษ์ พานิช) มนุษย์ถ้ำที่มีภารกิจในการออกไปตามหาเปลวไฟมาให้ครอบครัวก่อนที่หิมะจะตก ดุ่ย (ตน-ต้นหน ตันติเวชกุล) หนุ่มวัยรุ่นชาวบ้านในยุคกรุงศรีฯ ที่อาสา(แบบไม่ตั้งใจ) ออกไปส่งหนังสือถึงทัพหลวงเพื่อขอกำลังมาต่อสู้กับข้าศึก โด (เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) บุรุษไปรษณีย์ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ที่คอยส่งจดหมายให้กับหญิงสูงวัยคนหนึ่งเป็นประจำ จดหมายนั้นเป็นจดหมายจากลูกชายของเธอ และเดย์ (เกรท-สพล อัศวมั่นคง) เดลิเวอรี่ในโลกอนาคตกับภารกิจเพื่อเงินก้อนโตในการพาหญิงสาวคนหนึ่งฝ่าอันตรายไปส่งยังเขตอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เหมือนจะดูดีแต่ Postman ไปรษณีย์ 4 โลก ก็ยังเป็นภาพยนตร์ที่ท่าดีทีเหลวเหมือนกับอีกหลายๆ เรื่อง ปัญหาจริงๆ ของภาพยนตร์กลับเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นมากที่สุด เพราะอ้างว่าชนะการประกวดมาเลย ซึ่งก็คือ บทภาพยนตร์ แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่าจากบทต้นฉบับมาเป็นบทภาพยนตร์ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากี่ครั้ง แต่ที่แน่ๆ คือ เมื่อดูจบแทบไม่เชื่อสายตาว่า นี่เป็นบทภาพยนตร์ที่ชนะการประกวดมาแล้วจริงๆ เพราะมันช่างว่างเปล่า แม้กระทั่งแค่จะค้ำจุนเรื่องทั้งหมดไว้ก็แทบจะสลายไปกับลมหายใจที่ถอนออกมาอยู่ทุก 10 วินาที

การแบ่งเป็น 4 ยุคของตัวเรื่อง ทำให้เกิดคำถามอยู่ในหัวตลอดเวลาระหว่างที่รับชมคือ ทำไปเพื่ออะไร? นอกจากทำให้หนังยาวขึ้นแค่นั้น เมื่อมาพิจารณาที่แต่ละยุคสมัยก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเป็นหนังสั้นหรือโฆษณา (ไม่เหมือนสิทั้งสองอย่างล้วนคมคายกว่า) เหมือนเป็นเรื่องราวง่ายๆ สักอย่าง ที่มีแกนหลักเป็นการส่งสาร (ไฟ จดหมายเหตุ จดหมาย มนุษย์?) ซึ่งแฝงกลิ่นอายฟุ้งๆ เชยๆ ของความรักระหว่างชายหญิง โดยชายส่งสารทั้ง 4 ยุค ต่างมีปานแดงที่คอเหมือนกัน (เป็นรูปอะไรยังดูไม่ชัด) พอใช้เป็นสิ่งเชื่อมโยงกันไว้แบบทื่อๆ

แน่นอนเมื่อหัวใจหลักมีปัญหา มันก็ลามไปยังทุกส่วนอย่างไม่ต้องสงสัย ที่ตลกที่สุดเห็นจะเป็น ความพยายามตัดต่อให้ทั้ง 4 เส้นเรื่องมีความสอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกัน แต่สิ่งที่ได้เป็นความ “อิหยังวะ” อย่างที่สุด เพราะการตัดต่อนั้นแทบไม่ได้สร้างชั้นเชิงหรือเสริมคุณค่าใดๆ แก่ตัวหนังแม้แต่น้อย นอกจากจะทำให้รำคาญเท่านั้น ตามความเป็นจริงการเล่าเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน มันควรจะสร้างความสับสนให้คนดูได้ตั้งคำถามและพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว (เหมือนที่พบได้บ่อยในหนังของโนแลนด์) แต่ด้วยความที่มันไม่มีอะไรให้คิดหรือให้ติดตามเลยจริงๆ ในแต่ละเส้นเรื่อง แม้แต่การจะลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วกลับมาก็ยังคงไม่มีอะไรต่างจากเดิม (เป็นความพยายามที่ช่างสูญเปล่า สู้เล่าทีละยุคไปเลยยังจะดีซะกว่า)

และสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิดจากชื่อของผู้กำกับ พฤกษ์ เอมะรุจิ ยังคงปรากฏอยู่อย่างเด่นชัด นั่นคือ การยัดมุกตลกลงไปแบบไม่รู้เวล่ำเวลา ทำให้อารมณ์ของหนังผิดเพี้ยนไปอย่างมาก แทบจะเปลี่ยนจากภาพยนตร์ไซไฟกลายเป็นภาพยนตร์ตลกอยู่แล้ว นั่นรวมไปถึงการใช้เสียงประกอบและการตัดต่อด้วย ที่น่ารำคาญที่สุด เห็นจะเป็นยุคกรุงศรีฯ ที่มันไม่ตลกทั้งมุก การใช้คำพูด และกิริยาของตัวละคร (ลองดูได้จากตัวอย่าง ดุ่ยถูกใช้เท้า “ถีบ” บ่อยมาก)

แต่ที่ตลกที่สุด (พลางส่ายหัวไปด้วย) คือ เส้นเรื่องของยุคดึกดำบรรพ์ เป็นจุดวัดกึ๋นของผู้กำกับเลยว่าจะสื่อสารออกมาในวิธีไหน (แน่นอนว่าใช้ภาษาพูดไม่ได้) ซึ่งผู้กำกับพฤกษ์เลือกทางที่เลวร้ายที่สุดในศาสตร์ภาพยนตร์ โดยการใส่เสียงบรรยายการกระทำของตัวละครไปแบบดื้อๆ (อ้าว งี้ให้ตัวละครพูดเลยก็ได้นะเนี่ย) นี่เป็นความล้มเหลวอย่างที่สุดแบบไม่น่าให้อภัย เพราะนั่นหมายความว่า คุณไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาทางภาพได้เลย และกลัวคนดูไม่เข้าใจถึงขั้นต้องใช้เสียงบรรยาย (Offscene) เพื่ออธิบายการกระทำของตัวละคร (แน่นอนว่า Offscene มีประโยชน์มากหากใช้ให้ถูก แต่กรณีนี้ขอให้ศูนย์คะแนน ลองเปรียบเทียบกับฉากหินสองก้อนคุยกันใน Everything Everywhere All at Once ดู แล้วจะพบว่าความต่างของกึ๋นเป็นอย่างไร)

สิ่งที่พอจะรั้งใจให้ชมต่อจนจบได้ เห็นทีจะเป็นเรื่องของงานสร้าง ที่ถ่ายทอดช่วงเวลาของยุคอนาคตได้ค่อนข้างสวยงาม (ตามศักยภาพที่ทำได้) แน่นอนคงไม่ต้องไปเทียบกับภาพยนตร์จากต่างประเทศ แต่ก็ถือเป็นอีกก้าวที่ชี้ให้เห็นถึงความพยายามที่จะขยับออกไปสู่พื้นที่ทางจินตนาการใหม่ๆ ของภาพยนตร์ไทย ซึ่งเอาจริงตรงจุดนี้ก็เป็นจุดใหญ่ที่ชักจูงให้ผู้ชมอยากจะชมภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่แล้ว (เป็นจุดขาย) การได้เห็นฉากทัศน์ของกรุงเทพฯ ในอนาคต ที่มีความเป็นนีออนพังค์ (Neon Punk) หน่อยๆ ควบคู่กับการสอดแทรกเรื่องการเมืองแบบทื่อๆ (อีกแล้ว) อาจเป็นสิ่งน่าดูชมที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็ได้

สรุป Postman ไปรษณีย์ 4 โลก ยังคงเป็นงานที่ท่าดีทีเหลวสำหรับพล็อตไซไฟของบ้านเรา สาเหตุหลักอย่างเรื่องบทก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ ที่พบเห็นได้บ่อย(มาก) แม้จะมีงานสร้างและเพลงประกอบที่พอเชิดหน้าชูตาได้บ้าง แต่ถ้าจะหวังแค่นี้สู้ทำเป็นเรื่องสั้นแล้วฉายออนไลน์ทีละตอนน่าจะดีกว่า

Story Decoder
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่