สวัสดีทุกท่านครับผม หลังจากผมได้ซึมซับกระแสจักรยานฟีเวอร์มานานพอสมควร แต่ไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงบนถนนในกรุงเทพ เมื่อได้กลับบ้านนอกในวันหยุดยาว จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าการปั่นจักรยานนี่มันมีดีอะไรถึงได้เป็นกระแสสุดฮิตอยู่ทุกวันนี้
ด้วยการเอื้อเฟื้อเสือภูเขาของพี่สาว ปั่นจากบ้านถึงทะเล ไป-กลับ ร่วม 3 ชั่วโมง (บ้านผมอยู่ประจวบคับ ไปทะเลเลยใกล้นิดเดียว) ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง ขอเล่าความรู้สึกสั้นๆจากบนอานมาแชร์กับเพื่อนๆพี่ๆในพันทิปใว้ซัก 6 ข้อ ตามนี้นะครับ
1. ความภูมิใจ ต้องยอมรับว่าการปั่นจักรยานนั้น ถ้าเทียบกับพาหนะอื่นแล้ว ช้ากว่า เหนื่อยกว่า ร้อนกว่า ลำบากกว่า แต่ถ้าเทียบกับความภูมิใจที่เราสามารถได้ไปในที่ต่างๆด้วยกำลังของตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าการปั่นจักรยานให้ความรู้สึกที่แตกต่างจริงๆและเป็นความรู้สึกแตกต่างที่ทำให้รู้สึกดีเอามากๆ ชนิดที่ว่าแม้จะยังปวดขาแต่ตั้งใจเลยว่าต้องหาโอกาสกลับไปซ้ำอีกให้ได้
2. โลกหมุนช้าลง จริงๆมันก็หมุนเร็วเท่าเดิมอะแหละ แต่การปั่นจักยานทำให้เราเคลื่อนที่ช้าลงและได้สื่อสารกับสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น ราวกับพื้นที่และเวลาระหว่างเราและบรรยากาศรอบๆนั้นใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม เหมือนที่ผมสังเกตเห็นความงามในมุมใหม่ๆของต้นไม้ ภูเขา นกและสัตว์น้อยใหญ่ต่างๆ ในสถานที่ที่ไปมาแล้วเกือบสิบครั้งด้วยรถยนต์ แต่ภาพต่างๆที่เห็นจากบนอานจักรยาน มันต่างออกไป (แต่ด้วยกล้องมือถือที่มี ความสามารถไม่พอที่จะเก็บภาพมาได้จริงๆ แหะๆ )
3. เข้าใจเพื่อนร่วมทางมากขึ้น จากที่เคยนั่งแต่รถใหญ่เวลาเจอรถเล็กมาใกล้ๆ ปาดไปมา ก็มีหงุดหงิดรำคาญบ้าง แต่การปั่นจักรยานช่วยให้เราเข้าใจเพื่อนร่วมทางมากขึ้น เพราะจักรยานแทบจะเป็นชนชั้นล่างสุดบนถนน การปั่นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวและระมัดระวังเป็นอย่างมาก
4. ได้คุยกับตัวเอง โดยปกติเกือบตลอดเวลาที่นั่งรถยนต์ถ้าไม่คุยกับคนอื่นๆก็ต้องเปิดเพลงฟังไปด้วย หลายๆครั้งนอกจากเปิดเพลงฟังยังคุยกันไปด้วยอีก แต่ในการปั่นจักรยาน(เนื่องจากเป็นชนชั้นล่างสุดบ้นท้องถนน) เราต้องมีสมาธิตลอดเวลา ว่ากำลังทำอะไร จะไปทางไหน ข้างหน้า ข้างหลัง รอบข้างเป็นอย่างไร เป็นเหมือนการฝึกสมาธิและลดความฟุ้งซ่านไปในตัว
5. การปั่นจักรยานกับความดำเป็นของคู่กัน ถ้าอยากปั่นจักรยานแล้วมากลัวผิวดำก็เหมือนอยากเล่นสงกรานต์แล้วกลัวเปียก แนะนำให้ยึดสโลแกน “ยิ่งดำ ยิ่งล้ำประสบการณ์” (จริงๆก็พอป้องกันได้ด้วยการเตรียมตัวอย่างดี ถ้าไม่ทำแบบผมที่ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นแล้วหน้ามึนไปปั่นจักรยานตอนเที่ยงวัน หน้าร้อน นอกจากการทาครีมกันแดดตลอดหนึ่งปีจะสูญเปล่าในสามชั่วโมงแล้ว ชาวบ้านยังคิดว่าสติไม่ดีอีกตะหากนะเธอว์)
6. มือใหม่ควรเผื่อแรงใว้ให้ดี เพราะความเหนื่อยและความเมื่อยตูดจะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า เพราะฉะนั้นขากลับควรเผื่อแรงเพิ่มอีกซักครึ่งนึงของขาไป และถ้าไม่เคยปั่นมาก่อนอย่าบ้าพลัง มิฉะนั้นการปั่นเพียง 3 ชม. จะทำท่านปวดตรูดไปอีก 3 วัน นะจ๊ะ
สรุป ทริปการปั่นระยะสั้นไปทะเลนี้ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยที่หลายคนติดอกติดใจการปั่นจักรยาน จนทำให้เป็นกระแสฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในตอนนี้ แถมยังช่วยให้ผมเข้าใจโลกของคนปั่นจักรยานมากขึ้นมาอีกนิดและแน่นอนผมต้องหาโอกาสไปทำความเข้าใจให้มากขึ้นเร็วๆนี้แน่นอน โดยขอฝากสโลแกนเกรียนๆทิ้งท้ายจากนักปั่นมือใหม่ใว้หน่อยว่า
"อยากหรู ให้ขึ้นเครื่องบิน อยากฟิน ไปนั่งรถเก๋ง
อยากเจ๋ง ไปซิ่งมอไซค์ แต่ถ้าอยากพบโลกใบใหม่ ต้องไปปั่นจักยาน นะค้าบ"


ปล. Edit เพื่อเพิ่มรูปภาพครับ ตั้งกระทู้แรกยังมีมึนๆงงๆ เล็กน้อย
ปล.2 ต้องขออภัยหากภาพกับข้อความไม่ค่อยสัมพันธ์กันนะครับ แหะๆ
ปั่นจักรยาน จากบ้าน...ไปทะเล
ด้วยการเอื้อเฟื้อเสือภูเขาของพี่สาว ปั่นจากบ้านถึงทะเล ไป-กลับ ร่วม 3 ชั่วโมง (บ้านผมอยู่ประจวบคับ ไปทะเลเลยใกล้นิดเดียว) ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง ขอเล่าความรู้สึกสั้นๆจากบนอานมาแชร์กับเพื่อนๆพี่ๆในพันทิปใว้ซัก 6 ข้อ ตามนี้นะครับ
1. ความภูมิใจ ต้องยอมรับว่าการปั่นจักรยานนั้น ถ้าเทียบกับพาหนะอื่นแล้ว ช้ากว่า เหนื่อยกว่า ร้อนกว่า ลำบากกว่า แต่ถ้าเทียบกับความภูมิใจที่เราสามารถได้ไปในที่ต่างๆด้วยกำลังของตัวเองแล้ว บอกได้เลยว่าการปั่นจักรยานให้ความรู้สึกที่แตกต่างจริงๆและเป็นความรู้สึกแตกต่างที่ทำให้รู้สึกดีเอามากๆ ชนิดที่ว่าแม้จะยังปวดขาแต่ตั้งใจเลยว่าต้องหาโอกาสกลับไปซ้ำอีกให้ได้
2. โลกหมุนช้าลง จริงๆมันก็หมุนเร็วเท่าเดิมอะแหละ แต่การปั่นจักยานทำให้เราเคลื่อนที่ช้าลงและได้สื่อสารกับสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้น ราวกับพื้นที่และเวลาระหว่างเราและบรรยากาศรอบๆนั้นใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม เหมือนที่ผมสังเกตเห็นความงามในมุมใหม่ๆของต้นไม้ ภูเขา นกและสัตว์น้อยใหญ่ต่างๆ ในสถานที่ที่ไปมาแล้วเกือบสิบครั้งด้วยรถยนต์ แต่ภาพต่างๆที่เห็นจากบนอานจักรยาน มันต่างออกไป (แต่ด้วยกล้องมือถือที่มี ความสามารถไม่พอที่จะเก็บภาพมาได้จริงๆ แหะๆ )
3. เข้าใจเพื่อนร่วมทางมากขึ้น จากที่เคยนั่งแต่รถใหญ่เวลาเจอรถเล็กมาใกล้ๆ ปาดไปมา ก็มีหงุดหงิดรำคาญบ้าง แต่การปั่นจักรยานช่วยให้เราเข้าใจเพื่อนร่วมทางมากขึ้น เพราะจักรยานแทบจะเป็นชนชั้นล่างสุดบนถนน การปั่นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวและระมัดระวังเป็นอย่างมาก
4. ได้คุยกับตัวเอง โดยปกติเกือบตลอดเวลาที่นั่งรถยนต์ถ้าไม่คุยกับคนอื่นๆก็ต้องเปิดเพลงฟังไปด้วย หลายๆครั้งนอกจากเปิดเพลงฟังยังคุยกันไปด้วยอีก แต่ในการปั่นจักรยาน(เนื่องจากเป็นชนชั้นล่างสุดบ้นท้องถนน) เราต้องมีสมาธิตลอดเวลา ว่ากำลังทำอะไร จะไปทางไหน ข้างหน้า ข้างหลัง รอบข้างเป็นอย่างไร เป็นเหมือนการฝึกสมาธิและลดความฟุ้งซ่านไปในตัว
5. การปั่นจักรยานกับความดำเป็นของคู่กัน ถ้าอยากปั่นจักรยานแล้วมากลัวผิวดำก็เหมือนอยากเล่นสงกรานต์แล้วกลัวเปียก แนะนำให้ยึดสโลแกน “ยิ่งดำ ยิ่งล้ำประสบการณ์” (จริงๆก็พอป้องกันได้ด้วยการเตรียมตัวอย่างดี ถ้าไม่ทำแบบผมที่ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นแล้วหน้ามึนไปปั่นจักรยานตอนเที่ยงวัน หน้าร้อน นอกจากการทาครีมกันแดดตลอดหนึ่งปีจะสูญเปล่าในสามชั่วโมงแล้ว ชาวบ้านยังคิดว่าสติไม่ดีอีกตะหากนะเธอว์)
6. มือใหม่ควรเผื่อแรงใว้ให้ดี เพราะความเหนื่อยและความเมื่อยตูดจะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้า เพราะฉะนั้นขากลับควรเผื่อแรงเพิ่มอีกซักครึ่งนึงของขาไป และถ้าไม่เคยปั่นมาก่อนอย่าบ้าพลัง มิฉะนั้นการปั่นเพียง 3 ชม. จะทำท่านปวดตรูดไปอีก 3 วัน นะจ๊ะ
สรุป ทริปการปั่นระยะสั้นไปทะเลนี้ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยที่หลายคนติดอกติดใจการปั่นจักรยาน จนทำให้เป็นกระแสฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ในตอนนี้ แถมยังช่วยให้ผมเข้าใจโลกของคนปั่นจักรยานมากขึ้นมาอีกนิดและแน่นอนผมต้องหาโอกาสไปทำความเข้าใจให้มากขึ้นเร็วๆนี้แน่นอน โดยขอฝากสโลแกนเกรียนๆทิ้งท้ายจากนักปั่นมือใหม่ใว้หน่อยว่า
"อยากหรู ให้ขึ้นเครื่องบิน อยากฟิน ไปนั่งรถเก๋ง
อยากเจ๋ง ไปซิ่งมอไซค์ แต่ถ้าอยากพบโลกใบใหม่ ต้องไปปั่นจักยาน นะค้าบ"
ปล. Edit เพื่อเพิ่มรูปภาพครับ ตั้งกระทู้แรกยังมีมึนๆงงๆ เล็กน้อย
ปล.2 ต้องขออภัยหากภาพกับข้อความไม่ค่อยสัมพันธ์กันนะครับ แหะๆ