โปรเจกต์น้ำ3แสนล้าน"ทีโออาร์"เอื้อทุจริต

กระทู้สนทนา
หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ “อุเทน ชาติภิญโญ” มาก่อน

ความจริงแล้วอุเทนทำงานการเมืองเบื้องหลังมาตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมยังเฟื่องฟู จนตำแหน่งล่าสุดของเขาก็คือ การเป็นหนึ่งในกรรมการยุทธศาสตร์ประชาสัมพันธ์พรรคเพื่อไทย และมีส่วนเสนอความคิดออกมาจำนวนหนึ่ง

โดยในช่วงมหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ผลงานหนึ่งของอุเทนก็คือ การเป็นประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเล ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) โดยในช่วงแรกหน้าที่หลักก็คือ การเร่งระบายน้ำและผลักดันน้ำบริเวณคลองหกวาสายล่าง ผ่านคลองลำปลาทิวและคลองพระองค์ไชยานุชิต จ.สมุทรปราการ ให้ลงอ่าวไทยได้เร็วขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ยังคงเป็นทีมที่ปรึกษาด้านการระบายน้ำให้กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจนทำให้น้ำที่ท่วมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาคลี่คลาย ด้วยการเร่งระบายน้ำจากคลองหลักอย่างคลองมหาสวัสดิ์ลงสู่แม่น้ำท่าจีน

วันนี้ อุเทน เปิดใจกับโพสต์ทูเดย์ เพื่อเล่าให้ฟังถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3 แสนล้าน ของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่มี ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

เริ่มจากโมดูล A1 ที่มีชื่อว่า “การสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ในพื้นที่ลุ่มน้ำ ปิง ยม น่านสะแกกรัง และป่าสัก” ซึ่งระบุให้สร้างอ่างเก็บน้ำ 16 จุด ในทุกลุ่มน้ำ โดยในโมดูลนี้ระบุโครงการสุดคลาสสิอย่างเขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ และเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ไว้ด้วย ทั้งนี้อ่างเก็บน้ำ 16 จุด จะต้องได้ความจุประมาณ 1,300 ล้าน ลบ.ม. เพื่อบริหารจัดการน้ำ โดยใช้งบประมาณไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท

อุเทน เกริ่นให้ฟังว่า เพียงแค่ดูในทีโออาร์ก็เริ่มเห็นความหละหลวม เพราะไม่ได้ระบุว่าแต่ละอ่างจะต้องจุน้ำในปริมาตรเท่าไร อย่างไรก็ตามหากคิดคร่าวๆ หารเฉลี่ยเท่ากันทั้งหมด จะอยู่ที่ราวอ่างละ 80 ล้าน ลบ.ม. และหากหารเฉลี่ยทุกอ่างลึก 15 เมตรเท่ากันหมด จะต้องใช้พื้นที่ทั้งสิ้น 5.5 หมื่นไร่

หากคิดราคาที่ดินต่างจังหวัดหรูๆ เฉลี่ยไร่ละประมาณ 2 แสนบาท ก็จะใช้เงินราว 1.1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ต่างจากข้อกำหนดของ กบอ.ที่ระบุเพดานยอดเงินไว้ถึง 5 หมื่นล้านบาท อุเทน ตั้งคำถามว่า นอกจากค่าที่ดินแล้ว น่าสงสัยว่าค่าศึกษาและก่อสร้างต้องเนรมิตอะไรบ้างถึงต้องใช้เงินมากขนาดนั้น และแพงจนต้องตั้งวงเงินก่อสร้างถึง 5 หมื่นล้านบาท เชียวหรือ

ที่ต้องถามท่านปลอดประสพก็คือ ที่ท่านบอกว่าให้ศึกษาแล้วค่อยทำไป หรือที่เป็นภาษาอังกฤษว่า Design & Build นั้น ให้เงินไปแล้วศึกษาอะไรก่อนหน้านี้ ถ้ามันไม่คุ้ม คุณทำยังไง ยกเลิกหรือ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรประเมินก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ประเมินไป แล้วเดินหน้าไป โดยไม่ได้ข้อสรุปจากการศึกษาอย่างถ่องแท้

ต่อมา โมดูล A2 ที่ระบุถึง “การจัดทำผังการใช้ที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งการจัดพื้นที่ปิดล้อมพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจหลัก สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา” นั่นคือการสู้กับน้ำ เหมือนกับการปิดล้อมนิคมโรจนะที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งอุเทน บอกว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง เพราะที่จริงควรหาที่ให้น้ำอยู่ และหาทางให้น้ำไปได้ง่ายและเร็ว มากกว่าการจะสู้กับน้ำโดยการสร้างกำแพงล้อมน้ำไว้ เพราะยิ่งตัดสินใจจะปิดล้อมและกั้นน้ำ ไม่ให้เข้าไปมากเท่าไร ก็ยิ่งสร้างโอกาสที่จะทำให้น้ำยกตัวสูงขึ้น จนอาจเกิดแรงดันใต้น้ำดันพื้นที่ปิดล้อมอยู่ อาจพังทลายจนระเบิดขึ้นมา ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น

ขณะที่ โมดูล A3 ระบุถึง “การปรับปรุงพื้นที่เกษตรชลประทานในพื้นที่โครงการชลประทานเหนือ จ.นครสวรรค์ เพื่อเก็บกักน้ำหลากชั่วคราว” นั้น อุเทน มองว่า จากสถิติที่ผ่านมา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้มีความเสี่ยงสูงขนาดที่จะท่วมได้ทุกปี

โดยในปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยนั้น น้ำที่ผ่าน จ.นครสวรรค์ มาจากการบริหารจัดการบริเวณเขื่อนที่ผิดพลาด และไม่ได้ปล่อยน้ำลงไปด้านใต้อย่างต่อเนื่อง ทำให้น้ำที่สะสมมานานพังทำลายจุดที่ต่อสู้มา (ประตูระบายน้ำ หรือกำแพงที่ปิดกั้น) และไหลลงมาพรวดเดียว ในครั้งนั้นอุปกรณ์มี แต่ไม่พร้อมใช้งาน หากปรับปรุง บำรุงรักษา และเพิ่มเครื่องมือ เช่น ประตูระบายน้ำ รวมถึงเครื่องสูบน้ำ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท

“การที่จะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อไปรองรับน้ำ 3,000 ล้าน ลบ.ม. เท่ากับว่า 1 ล้าน ลบ.ม. ใช้เงินถึง 3 ล้านบาท เรียกได้ว่าใช้เงินไม่คุ้มค่า และไม่มีประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ เปรียบเสมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตน”อุเทน แสดงความคิดเห็น

โมดูล A4 ระบุถึง “การปรับปรุงสภาพลำน้ำสายหลักและการป้องกันการกัดเซาะตลิ่งริมแม่น้ำ ยม น่าน และเจ้าพระยา” ซึ่งเขาบอกว่า ใน 3 พื้นที่นี้ แน่นอนว่ามีลำน้ำถูกกัดเซาะ แต่การใช้งบประมาณกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท เพื่อระบายน้ำราว 1,300 ลบ.ม./วินาทีนั้น อาจไม่คุ้มค่า ทั้งนี้ควรจะต้องมีการศึกษาก่อนว่าได้เปิดช่องน้ำให้น้ำไหลอย่างธรรมชาติหรือไม่ หรือต้องการแค่ขุดขยายคลองเพื่อนำดินมาใช้ประโยชน์เพียงอย่างเดียว

“หากดูข้อเท็จจริง คุณจะพบว่าโครงการขุดลอกคูคลองหลังน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 นั้นมีหลายแห่งที่เบิกงบประมาณไปจริง แต่ไม่สามารถวัดผลได้ว่า คลองที่ขุดลอกไปนั้นลึกจริงหรือไม่ และดินที่ขุดขึ้นมาถูกใช้ไปทำอะไร ซึ่งหากรัฐบาลปล่อยให้มีการใช้งบประมาณขนาดนี้เพื่อขุดลอกคลองก็จะต้องมีรูปแบบการตรวจสอบ และรับโครงการที่ดีกว่าโครงการที่แล้วมา”

อุเทน บอกว่า ทางเลือกของโมดูลนี้ก็คือ จะต้องเปิดช่องทางให้น้ำไปอย่างเร็วและเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้น้ำไหลเร็วกว่าปกติ โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง ทั้งนี้อาจไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพียงแค่เพิ่มการผลักดันน้ำด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เช่น กดฐานเครื่องสูบน้ำให้ลึกลงไปอีก 30-80 ซม. ก็สามารถดูดน้ำและลดระดับน้ำได้มากขึ้นแล้ว เช่นที่เคยทำกับคลองที่ จ.สมุทรปราการ เพื่อนำน้ำออกอ่าวไทย

ขณะที่ โมดูล A5 ได้แก่ การจัดทำทางผันน้ำ(ฟลัดไดเวอร์ชัน) 1,500 ลบ.ม./วินาที รวมถึงสร้างถนนรอบข้าง โดยโครงการนี้ใช้งบประมาณทั้งหมด 1.5 แสนล้าน โดยเป็นเส้นทางหลอกให้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมา และทำทางเดินให้น้ำใหม่ ให้สามารถผันลงสู่อ่าวไทยไม่น้อยกว่า 1,500 ลบ.ม./วินาที โดยช่วยน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความสามารถรับน้ำได้ไม่เกิน 3,400ลบ.ม./วินาที

“อันที่จริงตลอดทั้งปีระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ได้มากนัก อย่างดีก็อยู่ราว 2,000-2,500|ลบ.ม./วินาที หากดึงไป 1,500 ลบ.ม./วินาที มีความเป็นไปได้ว่าระดับน้ำในเจ้าพระยาต้องลดลงมากแน่นอน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตร การประมงน้ำจืด การสัญจรตลอดลำน้ำ รวมถึงการท่องเที่ยวได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความคุ้มค่าเลยที่จะทำโครงการตามโมดูล A5 มูลค่า 1.5 แสนล้าน เพียงเพื่อเป็นเส้นทางให้น้ำใหม่”

แม้ กบอ.จะสรุปว่า โครงการทุกโมดูลจะช่วย|ทำให้ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างถาวร แต่ในมุมมองของอุเทนแล้ว นอกจากโมดูล A3 ที่ระบุถึงการจัดหาพื้นที่ชลประทานว่าจะช่วยบรรเทาน้ำแล้ง ก็ยังมองไม่ออกว่าโครงการอื่นจะช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำได้อย่างไร เพราะถ้าทุกโครงการไม่ได้พูดถึงจุดกักเก็บน้ำได้ชัดเจน พูดแต่ว่าจะเสริมสร้างการระบายน้ำเท่านั้น

“กบอ.มีแผนภาพสวยหรูอยู่เสมอว่าจะนำน้ำเข้าไปเก็บในบึง เช่น บึงสีไฟ จ.พิจิตร หรือบึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ แต่จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่กรมชลประทานก็ยืนยันว่าไม่ได้มีจุดเชื่อมต่อ และมีการรุกล้ำพื้นที่บึงแทบทุกจุด เช่น บึงสีไฟ นั้นมีบ้านจัดสรรขวางทางน้ำด้วยซ้ำ ซึ่งโดยหลักการแล้ว แน่นอนว่าระบบบริหารจัดการน้ำที่ดี ควรจะต้องมีการเชื่อมระหว่างแหล่งน้ำตามธรรมชาติและอ่างเก็บน้ำตามธรรมชาติ แต่ดูเหมือนว่ากบอ.จะไม่สนใจว่าจะเชื่อมบึงกับแม่น้ำอย่างไร เพียงมุ่งแต่จะลงทุนในโครงการสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อย่างเดียว” อุเทน ชี้ให้เห็น

http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/รายงานพิเศษ/217833/โปรเจกต์น้ำ3แสนล้าน-ทีโออาร์-เอื้อทุจริต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่