คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ตามพระราชกำหนดสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลาย(ไม่รู้ว่าสมัยเก่ากว่าจะเหมือนมั้ยครับ) ผู้ถวายตัวเป็นขุนนางต้องมีคุณสมบัติ ๙ ประการคือ
วุฒิ ๔ ได้แก่ ชาติวุฒิ (เป็นตระกูลขุนนางสืบทอดกันมา พระราชกำหนดกล่าวว่าต้องเป็นตระกูลอัครมหาเสนาบดี), วัยวุฒิ (อายุ ๓๑ ปีขึ้นไป), คุณวุฒิ (มีภูมิรู้ที่ดี) และ ปัญญาวุฒิ (มีความฉลาดรอบรู้โดยทั่ว)
อธิบดี ๔ ได้แก่ ฉันทาธิบดี (ถวายสิ่งที่ต้องประสงค์) วิริยาธิบดี (มีความเพียรในราชการ) จิตตาธิบดี (กล้าหาญในสงคราม) และวิมังสาธิบดี (ฉลาดการไตร่ตรองคดีความและอุบายในราชการต่างๆ)
คุณานุรูป ๑ คือเป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่เคารพของประชาชน
ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องตายตัว ในทางปฏิบัตินั้นยากจะได้คนที่มีความสามารถตามที่ระบุไว้ทุกประการ(ในพระราชกำหนดยังกล่าวว่า 'แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร') เพราะในความเป็นจริงก็สามารถใช้สินบน หรืออาศัยความใกล้ชิดกับมูลนายเพื่อจะมีตำแหน่งทางราชการได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความสามารถอันใด บางคนทำการค้าเปิดซ่องโสเภณี นายซ่องก็นายได้ยศเป็นขุนนางได้โดยต้องจ่ายภาษีให้กับส่วนกลาง
เรื่องอายุก็ไม่ได้ตายตัว สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเคยได้เป็นพระยาและเจ้าพระยาก่อนอายุ ๓๑ ด้วยซ้ำ(แต่อาจเพราะพระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงอาจจะมีส่วนอยู่) รัชกาลที่ ๑ ก็ทรงเคยเป็นหลวงยกกระบัตรตั้งแต่อายุไม่ถึงเหมือนกัน
สิ่งที่น่าจะมีผลมากที่สุดคือต้องมาจากตระกูลขุนนางซึ่งได้สั่งสมอำนาจบารมีมาหลายชั่วคนย่อมสนับสนุนให้เครือญาติได้มีอำนาจในการปกครองและได้รับสิทธิประโยชน์ต่อไป และสภาพสังคมของไทยในอดีตไม่มีเสรีชนหรือชนชั้นกลาง ไม่มีการให้คนสามัญมาสอบจอหงวนได้เหมือนจีน ไพร่ก็ยังต้องทำงานสนองประโยชน์มูลนายต่อไป
ชนชั้นใต้ปกครองอย่างไพร่จึงยากจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ในระบบราชการของไทยสมัยนั้น นอกจากมีโอกาสเช่นทำความชอบจากสงครามหรือเป็นข้ารับใช้ของมูลนายเป็นต้น
จิตร ภูมิศักดิ์จึงได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "พวกไพร่หน้าไหนผ่านไปได้ก็เหลือเดา"
ทั้งนี้อ้างจากข้อความในพระราชกำหนดเก่าสมัยปลายกรุงศรีอยุทธยา(พ.ศ.๒๒๘๓ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)ว่า
"อนึ่งขนบทําเนียมผู้จะเปนพระหลวงขุนหมื่นผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการย่อมมีความชอบตามคุณานุรูปสมควรแลกอปรด้วยวุธิสี่ประการ คือชาติวุธิ ไวยะวุทธิ คุณวุทธิ ปัญาวุทธิ ชาติวุทธินั้นกระกูลเปนอัคมหาเสนาบดีสืบๆ กันมา ไวยวุทธินั้นคืออายุศมควรตั้งแต่สามสิบเบดปีขึ้นไป คุณวุทธินั้นคือมีความรู้ผ่ายทหารพลเรือนชํานิชํานาน ปัญหาวุทธินั้นคือจําเริญด้วยปัญา ฉลาดในที่จะตอบแทนแก้ไขอัตถุปฤษนาประเทษกรุงอื่น แลคิดอ่านให้ชอบด้วยโลกียราชกิจธรรมทังปวงควรสมุหะกระลาโหมสมุหะนายกจัตุสดมปฤกษาพร้อมกัน จึ่งนําเอากราบทูลพระกรุณาเอาผู้กอปด้วยวุทธิสี่ประการนั้นเปนที่พระหลวงขุนหมื่น แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร
อนึ่งผู้จะเปนพระหลวงขุนหมื่น ย่อมประกอปด้วยอะธิบดีสี่ประการ คือฉันทาธิบดี คือวิริยาธิบดี คือจิตาธิบดี คือวิมังสาธิบดี ฉันทาธิบดีนั้นคือล้นเกล้าล้นกระหม่อมต้องพระราชประสงค์สิ่งใด ผู้นั้นนําซึ่งสิ่งนั้นมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย วิริยาธิบดีนั้นคือกอปรด้วยความเพียรในราชการมิได้ขาด จิตาธิบดีนั้นคือมีน้ําใจกล้าแขงในการณะรงค์สงคราม วิสังสาธิบดีนั้นคือฉลาดในที่พิภากษาความแลอุบายในราชการต่างๆ ถ้าผู้ใดมิประกอปรด้วยวุทธิสี่ประการแลอะธิบดีสี่ประการแต่ประการใดประการหนึ่งไซ้ถึงคุณานุรูปสมควรก็ดี อย่าให้สมุหะพระกลาโหมสมุกะนายกจัตุสดมกราบทูลพระกรุณาตั้งแต่งผู้นั้นเปนพระหลวงขุนหมื่นเปนอันขาดทีเดียว"
ตามพระราชกำหนดสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลาย(ไม่รู้ว่าสมัยเก่ากว่าจะเหมือนมั้ยครับ) ผู้ถวายตัวเป็นขุนนางต้องมีคุณสมบัติ ๙ ประการคือ
วุฒิ ๔ ได้แก่ ชาติวุฒิ (เป็นตระกูลขุนนางสืบทอดกันมา พระราชกำหนดกล่าวว่าต้องเป็นตระกูลอัครมหาเสนาบดี), วัยวุฒิ (อายุ ๓๑ ปีขึ้นไป), คุณวุฒิ (มีภูมิรู้ที่ดี) และ ปัญญาวุฒิ (มีความฉลาดรอบรู้โดยทั่ว)
อธิบดี ๔ ได้แก่ ฉันทาธิบดี (ถวายสิ่งที่ต้องประสงค์) วิริยาธิบดี (มีความเพียรในราชการ) จิตตาธิบดี (กล้าหาญในสงคราม) และวิมังสาธิบดี (ฉลาดการไตร่ตรองคดีความและอุบายในราชการต่างๆ)
คุณานุรูป ๑ คือเป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่เคารพของประชาชน
ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องตายตัว ในทางปฏิบัตินั้นยากจะได้คนที่มีความสามารถตามที่ระบุไว้ทุกประการ(ในพระราชกำหนดยังกล่าวว่า 'แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร') เพราะในความเป็นจริงก็สามารถใช้สินบน หรืออาศัยความใกล้ชิดกับมูลนายเพื่อจะมีตำแหน่งทางราชการได้ ทั้งๆที่ไม่ได้มีความสามารถอันใด บางคนทำการค้าเปิดซ่องโสเภณี นายซ่องก็นายได้ยศเป็นขุนนางได้โดยต้องจ่ายภาษีให้กับส่วนกลาง
เรื่องอายุก็ไม่ได้ตายตัว สมเด็จพระเจ้าปราสาททองเคยได้เป็นพระยาและเจ้าพระยาก่อนอายุ ๓๑ ด้วยซ้ำ(แต่อาจเพราะพระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ จึงอาจจะมีส่วนอยู่) รัชกาลที่ ๑ ก็ทรงเคยเป็นหลวงยกกระบัตรตั้งแต่อายุไม่ถึงเหมือนกัน
สิ่งที่น่าจะมีผลมากที่สุดคือต้องมาจากตระกูลขุนนางซึ่งได้สั่งสมอำนาจบารมีมาหลายชั่วคนย่อมสนับสนุนให้เครือญาติได้มีอำนาจในการปกครองและได้รับสิทธิประโยชน์ต่อไป และสภาพสังคมของไทยในอดีตไม่มีเสรีชนหรือชนชั้นกลาง ไม่มีการให้คนสามัญมาสอบจอหงวนได้เหมือนจีน ไพร่ก็ยังต้องทำงานสนองประโยชน์มูลนายต่อไป
ชนชั้นใต้ปกครองอย่างไพร่จึงยากจะมีโอกาสลืมตาอ้าปากได้ในระบบราชการของไทยสมัยนั้น นอกจากมีโอกาสเช่นทำความชอบจากสงครามหรือเป็นข้ารับใช้ของมูลนายเป็นต้น
จิตร ภูมิศักดิ์จึงได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า "พวกไพร่หน้าไหนผ่านไปได้ก็เหลือเดา"
ทั้งนี้อ้างจากข้อความในพระราชกำหนดเก่าสมัยปลายกรุงศรีอยุทธยา(พ.ศ.๒๒๘๓ รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)ว่า
"อนึ่งขนบทําเนียมผู้จะเปนพระหลวงขุนหมื่นผู้รักษาเมืองผู้รั้งกรมการย่อมมีความชอบตามคุณานุรูปสมควรแลกอปรด้วยวุธิสี่ประการ คือชาติวุธิ ไวยะวุทธิ คุณวุทธิ ปัญาวุทธิ ชาติวุทธินั้นกระกูลเปนอัคมหาเสนาบดีสืบๆ กันมา ไวยวุทธินั้นคืออายุศมควรตั้งแต่สามสิบเบดปีขึ้นไป คุณวุทธินั้นคือมีความรู้ผ่ายทหารพลเรือนชํานิชํานาน ปัญหาวุทธินั้นคือจําเริญด้วยปัญา ฉลาดในที่จะตอบแทนแก้ไขอัตถุปฤษนาประเทษกรุงอื่น แลคิดอ่านให้ชอบด้วยโลกียราชกิจธรรมทังปวงควรสมุหะกระลาโหมสมุหะนายกจัตุสดมปฤกษาพร้อมกัน จึ่งนําเอากราบทูลพระกรุณาเอาผู้กอปด้วยวุทธิสี่ประการนั้นเปนที่พระหลวงขุนหมื่น แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร
อนึ่งผู้จะเปนพระหลวงขุนหมื่น ย่อมประกอปด้วยอะธิบดีสี่ประการ คือฉันทาธิบดี คือวิริยาธิบดี คือจิตาธิบดี คือวิมังสาธิบดี ฉันทาธิบดีนั้นคือล้นเกล้าล้นกระหม่อมต้องพระราชประสงค์สิ่งใด ผู้นั้นนําซึ่งสิ่งนั้นมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย วิริยาธิบดีนั้นคือกอปรด้วยความเพียรในราชการมิได้ขาด จิตาธิบดีนั้นคือมีน้ําใจกล้าแขงในการณะรงค์สงคราม วิสังสาธิบดีนั้นคือฉลาดในที่พิภากษาความแลอุบายในราชการต่างๆ ถ้าผู้ใดมิประกอปรด้วยวุทธิสี่ประการแลอะธิบดีสี่ประการแต่ประการใดประการหนึ่งไซ้ถึงคุณานุรูปสมควรก็ดี อย่าให้สมุหะพระกลาโหมสมุกะนายกจัตุสดมกราบทูลพระกรุณาตั้งแต่งผู้นั้นเปนพระหลวงขุนหมื่นเปนอันขาดทีเดียว"
แสดงความคิดเห็น
วุฒิ 4 ของการเป็นขุนนาง