สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ลองดูเรื่องการดื่มน้ำระหว่างวันไหมคะ คือในระหว่างมื้ออาหารพยายามไม่ดื่มน้ำเยอะ
https://www.facebook.com/#!/photo.php?fbid=496422213751334&set=a.417640581629498.95272.173200686073490&type=1&theater
***เหมือนลิ้งก์จะเปิดไม่ได้ เลยเอามาแปะไว้ให้ค่ะ

1. การดื่มน้ำที่ถูกต้อง ร่างกายสูญเสียน้ำตลอดเวลา ต้องแบ่งดื่มน้ำท...ั้งวัน ครั้งละ 1-2 อึก ไม่ควรดื่มครั้งเดียวในปริมาณที่มาก เพราะร่างกายจะดูดซึมไม่ทัน ทำให้ไตต้องทำงานหนักในการขับน้ำส่วนเกินออก ส่งผลให้เป็นโรคไตได้
สูตรการคำนวณน้ำ : น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30 หาร 2 = ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน (มิลลิลิตร)
2. ตื่นเช้า (ก่อนแปรงฟัน) ควรดื่มน้ำเปล่า ไม่เย็น 2-5 แก้ว เพื่อชำระของเสียออกจากร่างกาย
- เมื่อตื่นนอน ร่างกายจะเต็มไปด้วยของเสีย ทั้งกลิ่นปาก กลิ่นตัว ขี้หู ขี้ตา ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ตอนตื่นนอนดื่มน้ำเยอะได้ เพราะช่วงตื่นนอนร่างกายขาดน้ำ 6-8 ชั่วโมง ดังนั้นควรดื่มน้ำ 2-5 แก้ว โดยเฉพาะเวลา 5:00 น. - 7:00 น. เป็นเวลาที่ลมปราณผ่านลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นกระบวนการเร่งขับของเสียออกจากลำไส้ใหญ่ ถ้าลำไส้แห้งขาดน้ำ อุจจาระก็จะแห้งติดลำไส้ขับถ่ายไม่ออก ฉะนั้นตื่นเช้ามาต้องดื่มน้ำเพื่อเป็นการชำระล้างของเสีย และ สารพิษออกจากร่างกาย เหมือนเราขัดห้องน้ำ ขัดเสร็จก็ต้องเอาน้ำราดไล่ของเสียออกไป
- การดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดีขึ้น เพราะแบคทีเรียและเอนไซม์ในช่องปากจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเตรียมพร้อมที่จะผลิตน้ำย่อยสำหรับอาหารมื้อเช้า
3. การดื่มน้ำควรแบ่งดื่มทั้งวัน (ครั้งละอึก 2 อึก)
เพราะ เลือดประกอบด้วยน้ำ 91% จึงควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว หรือ ประมาณ 1.5-2.5 ลิตรต่อวัน เพราะร่างกายสูญเสียน้ำตลอดเวลา ถึงแม้จะอยู่ในที่ร่ม คนป่วยส่วนมากที่เป็นโรคหัวใจก็เกิดจากการที่ในแต่ละวันไม่ดื่มน้ำนี่แหละครับ ทำให้เลือดข้นเป็นโคลน เอาปั๊มน้ำมาสูบโคลนต่อให้มีกำลังแค่ไหนก็ยังต้องพัง หัวใจเราต้องการเลือดที่มีความเหลวระดับที่ง่ายต่อการสูบฉีด ดังนั้น น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตที่ต้องกินให้พอเพียงในแต่ละวัน
4. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม นมวัว ของมันของทอด ช๊อคโกแลต ขนมขบเคี้ยว อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง กาแฟ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะลงไปดับไฟย่อยอาหารจนหมด อาหารจึงไม่ย่อยหมักหมมจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมาเผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็นไปตามๆกัน
- หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาล สารแต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น สารกันเยือกแข็ง โดยเฉพาะน้ำตาลที่มีมากถึง 7- 8 ช้อนชาต่อขวด(ปกติแล้วเรากินน้ำตาลได้ไม่ควรเกิน 7 ช้อนชา) ซึ่งน้ำตาลก็เป็นอาหารของเชื้อโรค เชื้อราต่างๆ (สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวานมากๆ จะมีอาการคัน เนื่องจากเชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก) อีกทั้งสารกันเยือกแข็งในน้ำอัดลมที่ดื่มพร้อมกับน้ำแข็ง ก็ยิ่งเข้าไปทำลายไฟในการย่อยอาหารหมด เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ก็กลายเป็นแก๊สพิษสารพิษเต็มตัวเข้าไปอีก
- หลีกเลี่ยงนมวัว นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว เนื่องจากโครงสร้างที่แตกต่างกัน ลูกวัวแรกเกิดมีน้ำหนักถึง 40 กิโลกรัม เพียงแค่ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2-3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก และด้วยความแตกต่างที่เกินสมดุลย์ในมนุษย์ที่ดื่มนมวัว จึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมามากมายจากสภาวะเกินสมดุลย์เช่น ภูมิแพ้ และ มะเร็งเตานม ***(เคซีน ที่เป็นโปรตีนในนมเนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวเคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ และ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งตับอ่อนน้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกทั่วไป)
- อาหารสำเร็จรูป แช่แข็ง ใส่สารกันบูด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือสาเหตุของปัญหาท้องผูก ถ่ายไม่ออกจนของเสียสะสมล้นร่างกาย เพราะอาหารที่กินเข้าไปย่อยไม่ได้เนื่องจากสารกันบูดทำให้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยและดูดซึมไม่สามารถย่อยอาหารประเภทนี้ได้ ดังนั้นหลายท่านที่กินอาหารประเภทนี้จึงเป็นโรคขาดสารอาหาร และ ขับถ่ายไม่ออก
- กาแฟ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยสารกระตุ้น ดังนั้นหลายท่านที่ชอบทานตอนเช้า และไม่ชอบดื่มน้ำ จึงป่วยเป็นโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก อีกทั้งกาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อย เมื่อกินตอนท้องว่างจึงทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองเป็นแผล ซ้ำร้ายพอถึงเวลาที่ต้องทานอาหาร น้ำย่อยก็หมดเสียแล้วพราะกาแฟกระตุ้นเอาไปใช้จนหมด ดังนั้นหลายท่านจึงมีอาการป่วยเพราะอาหารไม่ย่อยตามมาอีกด้วย แนะนำถ้าจะดื่ม กาแฟ ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง
- กาแฟลดน้ำหนัก ขอแนะนำว่ากาแฟช่วยเร่งให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่่สะสมในร่างกายได้ดีก็จริง แต่ ตับจะต้องทำงานหนักในการขับสารตกค้าง ทั้งคาเฟอีน และสารทั้งหลายที่แต่ละยี่ห้อใส่ลงไป เมื่อตับทำลายสารแปลกปลอมเหล่านี้ ก็จะถูกเก็บสะสมเป็น ไขมัน นิ่วในตับ นานวันเข้าก็จะเป็นไขมันพอกตับและ นิ่วในถุงน้ำดี ขวางทางท่อน้ำดีไม่ให้หลั่งออกมาได้ เมื่อน้ำดีที่มีหน้าที่ย่อยสลายไขมัน ไม่สามารถถูกผลิตออกมาได้ ร่างกายด็จะมีไขมันคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่พ้นอ้วนแบบป่วยๆอยู่ดี ดังนั้นหยุดทำร้ายตับด้วยกาแฟลดน้ำหนักเถอะครับ ไม่คุ้มกับระะยาวหรอก ผมเองเสียญาติผู้ใหญ่ไปหลายท่านเพราะมะเร็ง ตับ มะเร็งเต้านม และพฤติกรรมที่ท่านโปรดปรานนั่นก็คือ ดื่มกาแฟ โอเลี้ยงทุกวัน....แนะนำให้ลองไปดีท๊อกตับดูนะครับ แล้วลองดูว่า สีของเสียที่ออกมาจากตับ ใช่สีเดียวกับกาแฟที่ท่านกินรึเปล่า ผมเห็นมาเยอะแล้วครับ ดำปี๋เลยทั้งที่ไม่ได้กินอะไรเป็นสัปดาห์
บทความ วิธีลดน้ำหนักที่แนะนำ : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=488309727895916&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364552152&type=3&theater
5. หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา เบียร์
สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งแปลกปลอมสารตกค้างที่ตับต้องทำงานหนักในการขับสารเหล่านี้ออก โดยเฉพาะไขมันและนิ่วที่เกิดจากตับทำลายพิษแอลกอฮอลแล้วเก็บในรูปแบบของไขมัน สะสมอยู่ในตับ นานวันเข้านิ่วและไขมันนี้มีมาก ขวางทางเดินเลือดลมในตับ บ้างก็เน่าเป็นหนอง บ้างก็ตายเป็นเนื้อร้ายที่เรียกว่าตับแข็ง ดังนั้นลดซะเถอะครับ ผมเห็นหลายคนที่บอกว่าคอแข็ง ไม่เกินปีก็ตายหลายคน
* เพราะความแข็งของคอ ก็คือความแข็งของตับที่เหนื่อยล้าต่อการขับสารพิษ และเกินเยียวยาที่จะเตือนเจ้าของตับนั่นเอง
จำไว้ว่า คนที่คอแข็งคืออาการของตับ ที่หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ขับพิษไม่ได้ ไขมันพอกตับจนไม่รู้จะขับออกทางไหน แอลกอฮอล อนุมูลอิสระ คอเลสเตอรอล กระจายทั่วกระแสเลือด ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดเปราะแตกง่าย คนที่ตับสมบูรณ์ที่สุดคือ คนคออ่อนนะครับ กินปุ๊บหน้าแดงปั๊บ อ้วกทันทีนั่นแหละครับ สุดยอดของคนสุขภาพดี เพราะโดยปกติของธรรมชาติจะไม่เอาสิ่งแปลกปลอม สารพิษเข้าร่างกายอยู่แล้วครับ
6. ก่อนและหลังอาหาร 15 - 30 นาที (ขึ้นอยู่กับอาการป่วย) ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว
เพราะ การย่อยอาหารจำเป็นที่จะต้องมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูง (PH 1.5-2.5) ดังนั้นการดื่มน้ำระหว่างทานข้าว น้ำปริมาณมากจะไปทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารไม่ได้ เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ก็เน่าเสีย เกิดลมเกิดแก๊สดันอาหารเสียๆออกทางด้านบน เป็นกรดไหลย้อน ซ้ำร้ายอาหารที่เน่าเสีย เมื่อถูกส่งต่อไปที่ลำไส้เพื่อดูดซึม วัตถุดิบที่เน่าเสีย เกิดเป็นสารพิษท๊อกซิน เหล่านี้ก็จะถูกนำไปสร้างเลือด สร้างเนื้อที่ถูกผลิตออกมาผิดเพี้ยน(มะเร็ง ,ภูมิแพ้ ,SLE)เช่นกัน ดังนั้นไม่สำคัญที่ของที่เรากินจะมีมูลค่าราคาแพงแค่ไหน แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ กินแล้วย่อยได้หรือเปล่าต่างหากครับที่สำคัญกว่า และ 90% ของอาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ก็เริ่มจากจุดนี้แหละครับ ดังนั้น กินอาหารแล้ว ย่อยให้ได้ ดูดซึมให้ดี และขับถ่ายเร็ว ร่างกายก็จะมีสุขภาพแข็งแรงครับ
7. ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
ข้อนี้สำคัญต่อการมีสุขภาพดีที่สุดครับ เพราะการออกกำลังจะช่วย เสริมสร้างอวัยวะต่างๆให้แข็งแรง และ เร่งการเผาผลาญไขมันของเสียสะสมในร่างกายได้ดีที่สุด ต่อให้ทานอาหารที่มีไขมันมาก มีพฤติกรรมการกินที่ผิด แต่ออกกำลังกายก็มีสุขภาพแข็งแรงได้ครับ
* ยกตัวอย่าง คนฮ่องกงที่ อยู่อย่างแออัดยัดเยียดกินอาหารของมันของทอด และกินต่อมื้อมีปริมาณเยอะมาก แต่เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ต้องเดิน ตลอดเวลา เพราะรถยนต์ และมอเตอร์ไซต์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร(ไม่มีรถติดเลยครับ ทั้งที่มีจำนวนประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งนึงในโลก เพราะเค้าใช้การเดินกันทั้งเกาะฮ่องกง) การเดินคือการออกกำลังเผาผลาญของเสียสะสมได้ดี ทำให้ร่างกายไม่มีของเสีย เพราะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานหมด อีกทั้งการออกกำลังยังช่วยให้ร่างกายสร้าง HDL ไขมันชนิดดี คอยช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบแตก ได้อีกด้วย เห็นมั๊ยล่ะครับว่าการออกกำลังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเพียงใด ดังนั้นหาเวลาออกกำลังกายวันละ 10-20 นาที กันบ้างนะครับ
8. ก่อนนอน 3 ชม. ไม่ควรทานอาหารมื้อหนัก
เพราะ เวลาที่เรานอน ระบบการย่อยอาหารก็หยุดทำงานด้วยเช่นกัน ดังนั้นอาหารที่ทานเข้าไปก็จะอืดเน่าเสียตกค้างในกระเพาะและลำไส้ เกิดลมเกิดแก๊สสารพิษท๊อกซิน ทำให้ตื่นมาหน้าบวม ตกหมอน คอแข็ง ตัวแข็งตึง ปวดหลังเพราะลมอัดแน่นในกระเพาะ และกล้ามเนื้อเส้นเอ็น หรือถ้าจำเป็นที่ต้องทานอาหารก่อนนอนเพราะเวลาในการดำเนินชีวิตไม่เอื้ออำนวยแนะนำให้ใช้ตัวช่วยที่สามารถย่อยอาหารแทนเราได้ อย่างนมเปรี้ยว ,น้ำเอนไซม์ ,ผลิตภัณฑ์ Probiotic ดื่มกินหลังอาหารนะครับ
บทความน้ำเอนไซม์ : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=472120519514837&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364542798&type=3&theater
บทความ Probiotic :
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=483732895020266&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364542798&type=3&theater
https://www.facebook.com/#!/photo.php?fbid=496422213751334&set=a.417640581629498.95272.173200686073490&type=1&theater
***เหมือนลิ้งก์จะเปิดไม่ได้ เลยเอามาแปะไว้ให้ค่ะ

1. การดื่มน้ำที่ถูกต้อง ร่างกายสูญเสียน้ำตลอดเวลา ต้องแบ่งดื่มน้ำท...ั้งวัน ครั้งละ 1-2 อึก ไม่ควรดื่มครั้งเดียวในปริมาณที่มาก เพราะร่างกายจะดูดซึมไม่ทัน ทำให้ไตต้องทำงานหนักในการขับน้ำส่วนเกินออก ส่งผลให้เป็นโรคไตได้
สูตรการคำนวณน้ำ : น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30 หาร 2 = ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อวัน (มิลลิลิตร)
2. ตื่นเช้า (ก่อนแปรงฟัน) ควรดื่มน้ำเปล่า ไม่เย็น 2-5 แก้ว เพื่อชำระของเสียออกจากร่างกาย
- เมื่อตื่นนอน ร่างกายจะเต็มไปด้วยของเสีย ทั้งกลิ่นปาก กลิ่นตัว ขี้หู ขี้ตา ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ตอนตื่นนอนดื่มน้ำเยอะได้ เพราะช่วงตื่นนอนร่างกายขาดน้ำ 6-8 ชั่วโมง ดังนั้นควรดื่มน้ำ 2-5 แก้ว โดยเฉพาะเวลา 5:00 น. - 7:00 น. เป็นเวลาที่ลมปราณผ่านลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นกระบวนการเร่งขับของเสียออกจากลำไส้ใหญ่ ถ้าลำไส้แห้งขาดน้ำ อุจจาระก็จะแห้งติดลำไส้ขับถ่ายไม่ออก ฉะนั้นตื่นเช้ามาต้องดื่มน้ำเพื่อเป็นการชำระล้างของเสีย และ สารพิษออกจากร่างกาย เหมือนเราขัดห้องน้ำ ขัดเสร็จก็ต้องเอาน้ำราดไล่ของเสียออกไป
- การดื่มน้ำก่อนแปรงฟัน ช่วยให้กระเพาะทำงานได้ดีขึ้น เพราะแบคทีเรียและเอนไซม์ในช่องปากจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารเตรียมพร้อมที่จะผลิตน้ำย่อยสำหรับอาหารมื้อเช้า
3. การดื่มน้ำควรแบ่งดื่มทั้งวัน (ครั้งละอึก 2 อึก)
เพราะ เลือดประกอบด้วยน้ำ 91% จึงควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว หรือ ประมาณ 1.5-2.5 ลิตรต่อวัน เพราะร่างกายสูญเสียน้ำตลอดเวลา ถึงแม้จะอยู่ในที่ร่ม คนป่วยส่วนมากที่เป็นโรคหัวใจก็เกิดจากการที่ในแต่ละวันไม่ดื่มน้ำนี่แหละครับ ทำให้เลือดข้นเป็นโคลน เอาปั๊มน้ำมาสูบโคลนต่อให้มีกำลังแค่ไหนก็ยังต้องพัง หัวใจเราต้องการเลือดที่มีความเหลวระดับที่ง่ายต่อการสูบฉีด ดังนั้น น้ำจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตที่ต้องกินให้พอเพียงในแต่ละวัน
4. หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม นมวัว ของมันของทอด ช๊อคโกแลต ขนมขบเคี้ยว อาหารสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง กาแฟ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะลงไปดับไฟย่อยอาหารจนหมด อาหารจึงไม่ย่อยหมักหมมจนเป็นแก๊สพิษขึ้นมาเผาปาก เผาคอ เผาต่อมไทรอยด์ ต่อมทอนซิลอักเสบ เป็นแผลในปากคอ มีกลิ่นปากเหม็นไปตามๆกัน
- หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม ซึ่งประกอบด้วยน้ำตาล สารแต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น สารกันเยือกแข็ง โดยเฉพาะน้ำตาลที่มีมากถึง 7- 8 ช้อนชาต่อขวด(ปกติแล้วเรากินน้ำตาลได้ไม่ควรเกิน 7 ช้อนชา) ซึ่งน้ำตาลก็เป็นอาหารของเชื้อโรค เชื้อราต่างๆ (สังเกตว่าเมื่อบริโภคหวานมากๆ จะมีอาการคัน เนื่องจากเชื้อรากำเริบ และจะรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาก) อีกทั้งสารกันเยือกแข็งในน้ำอัดลมที่ดื่มพร้อมกับน้ำแข็ง ก็ยิ่งเข้าไปทำลายไฟในการย่อยอาหารหมด เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ก็กลายเป็นแก๊สพิษสารพิษเต็มตัวเข้าไปอีก
- หลีกเลี่ยงนมวัว นมวัวเหมาะที่จะใช้เลี้ยงลูกวัว เนื่องจากโครงสร้างที่แตกต่างกัน ลูกวัวแรกเกิดมีน้ำหนักถึง 40 กิโลกรัม เพียงแค่ 2 ปี น้ำหนักก็ขึ้นได้ถึง 900 กว่ากิโลกรัม ส่วนทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 2-3 กิโลกรัม อยู่จนอายุ 20 ปี น้ำหนักตัวเฉลี่ยก็เพียง 68 กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันมาก และด้วยความแตกต่างที่เกินสมดุลย์ในมนุษย์ที่ดื่มนมวัว จึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมามากมายจากสภาวะเกินสมดุลย์เช่น ภูมิแพ้ และ มะเร็งเตานม ***(เคซีน ที่เป็นโปรตีนในนมเนย ดูดซึมยากมาก มันจะเกาะตัวเคลือบอยู่ในสภาพที่ย่อยไม่ได้ตามผนังกระเพาะ และ ลำไส้ แล้วพากันบูดเน่ากลายเป็นสารพิษที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร รวมทั้งตับอ่อนน้ำดีเสื่อมลง ก่อให้เกิดมูกเมือกทั่วไป)
- อาหารสำเร็จรูป แช่แข็ง ใส่สารกันบูด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คือสาเหตุของปัญหาท้องผูก ถ่ายไม่ออกจนของเสียสะสมล้นร่างกาย เพราะอาหารที่กินเข้าไปย่อยไม่ได้เนื่องจากสารกันบูดทำให้จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยและดูดซึมไม่สามารถย่อยอาหารประเภทนี้ได้ ดังนั้นหลายท่านที่กินอาหารประเภทนี้จึงเป็นโรคขาดสารอาหาร และ ขับถ่ายไม่ออก
- กาแฟ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยสารกระตุ้น ดังนั้นหลายท่านที่ชอบทานตอนเช้า และไม่ชอบดื่มน้ำ จึงป่วยเป็นโรคหัวใจเป็นจำนวนมาก อีกทั้งกาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อย เมื่อกินตอนท้องว่างจึงทำให้กระเพาะอาหารระคายเคืองเป็นแผล ซ้ำร้ายพอถึงเวลาที่ต้องทานอาหาร น้ำย่อยก็หมดเสียแล้วพราะกาแฟกระตุ้นเอาไปใช้จนหมด ดังนั้นหลายท่านจึงมีอาการป่วยเพราะอาหารไม่ย่อยตามมาอีกด้วย แนะนำถ้าจะดื่ม กาแฟ ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง
- กาแฟลดน้ำหนัก ขอแนะนำว่ากาแฟช่วยเร่งให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่่สะสมในร่างกายได้ดีก็จริง แต่ ตับจะต้องทำงานหนักในการขับสารตกค้าง ทั้งคาเฟอีน และสารทั้งหลายที่แต่ละยี่ห้อใส่ลงไป เมื่อตับทำลายสารแปลกปลอมเหล่านี้ ก็จะถูกเก็บสะสมเป็น ไขมัน นิ่วในตับ นานวันเข้าก็จะเป็นไขมันพอกตับและ นิ่วในถุงน้ำดี ขวางทางท่อน้ำดีไม่ให้หลั่งออกมาได้ เมื่อน้ำดีที่มีหน้าที่ย่อยสลายไขมัน ไม่สามารถถูกผลิตออกมาได้ ร่างกายด็จะมีไขมันคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่พ้นอ้วนแบบป่วยๆอยู่ดี ดังนั้นหยุดทำร้ายตับด้วยกาแฟลดน้ำหนักเถอะครับ ไม่คุ้มกับระะยาวหรอก ผมเองเสียญาติผู้ใหญ่ไปหลายท่านเพราะมะเร็ง ตับ มะเร็งเต้านม และพฤติกรรมที่ท่านโปรดปรานนั่นก็คือ ดื่มกาแฟ โอเลี้ยงทุกวัน....แนะนำให้ลองไปดีท๊อกตับดูนะครับ แล้วลองดูว่า สีของเสียที่ออกมาจากตับ ใช่สีเดียวกับกาแฟที่ท่านกินรึเปล่า ผมเห็นมาเยอะแล้วครับ ดำปี๋เลยทั้งที่ไม่ได้กินอะไรเป็นสัปดาห์
บทความ วิธีลดน้ำหนักที่แนะนำ : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=488309727895916&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364552152&type=3&theater
5. หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา เบียร์
สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งแปลกปลอมสารตกค้างที่ตับต้องทำงานหนักในการขับสารเหล่านี้ออก โดยเฉพาะไขมันและนิ่วที่เกิดจากตับทำลายพิษแอลกอฮอลแล้วเก็บในรูปแบบของไขมัน สะสมอยู่ในตับ นานวันเข้านิ่วและไขมันนี้มีมาก ขวางทางเดินเลือดลมในตับ บ้างก็เน่าเป็นหนอง บ้างก็ตายเป็นเนื้อร้ายที่เรียกว่าตับแข็ง ดังนั้นลดซะเถอะครับ ผมเห็นหลายคนที่บอกว่าคอแข็ง ไม่เกินปีก็ตายหลายคน
* เพราะความแข็งของคอ ก็คือความแข็งของตับที่เหนื่อยล้าต่อการขับสารพิษ และเกินเยียวยาที่จะเตือนเจ้าของตับนั่นเอง
จำไว้ว่า คนที่คอแข็งคืออาการของตับ ที่หมดประสิทธิภาพในการทำงาน ขับพิษไม่ได้ ไขมันพอกตับจนไม่รู้จะขับออกทางไหน แอลกอฮอล อนุมูลอิสระ คอเลสเตอรอล กระจายทั่วกระแสเลือด ทำให้เส้นเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดเปราะแตกง่าย คนที่ตับสมบูรณ์ที่สุดคือ คนคออ่อนนะครับ กินปุ๊บหน้าแดงปั๊บ อ้วกทันทีนั่นแหละครับ สุดยอดของคนสุขภาพดี เพราะโดยปกติของธรรมชาติจะไม่เอาสิ่งแปลกปลอม สารพิษเข้าร่างกายอยู่แล้วครับ
6. ก่อนและหลังอาหาร 15 - 30 นาที (ขึ้นอยู่กับอาการป่วย) ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว
เพราะ การย่อยอาหารจำเป็นที่จะต้องมีน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดสูง (PH 1.5-2.5) ดังนั้นการดื่มน้ำระหว่างทานข้าว น้ำปริมาณมากจะไปทำให้น้ำย่อยเจือจาง ย่อยอาหารไม่ได้ เมื่ออาหารย่อยไม่ได้ก็เน่าเสีย เกิดลมเกิดแก๊สดันอาหารเสียๆออกทางด้านบน เป็นกรดไหลย้อน ซ้ำร้ายอาหารที่เน่าเสีย เมื่อถูกส่งต่อไปที่ลำไส้เพื่อดูดซึม วัตถุดิบที่เน่าเสีย เกิดเป็นสารพิษท๊อกซิน เหล่านี้ก็จะถูกนำไปสร้างเลือด สร้างเนื้อที่ถูกผลิตออกมาผิดเพี้ยน(มะเร็ง ,ภูมิแพ้ ,SLE)เช่นกัน ดังนั้นไม่สำคัญที่ของที่เรากินจะมีมูลค่าราคาแพงแค่ไหน แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ กินแล้วย่อยได้หรือเปล่าต่างหากครับที่สำคัญกว่า และ 90% ของอาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ก็เริ่มจากจุดนี้แหละครับ ดังนั้น กินอาหารแล้ว ย่อยให้ได้ ดูดซึมให้ดี และขับถ่ายเร็ว ร่างกายก็จะมีสุขภาพแข็งแรงครับ
7. ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
ข้อนี้สำคัญต่อการมีสุขภาพดีที่สุดครับ เพราะการออกกำลังจะช่วย เสริมสร้างอวัยวะต่างๆให้แข็งแรง และ เร่งการเผาผลาญไขมันของเสียสะสมในร่างกายได้ดีที่สุด ต่อให้ทานอาหารที่มีไขมันมาก มีพฤติกรรมการกินที่ผิด แต่ออกกำลังกายก็มีสุขภาพแข็งแรงได้ครับ
* ยกตัวอย่าง คนฮ่องกงที่ อยู่อย่างแออัดยัดเยียดกินอาหารของมันของทอด และกินต่อมื้อมีปริมาณเยอะมาก แต่เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ต้องเดิน ตลอดเวลา เพราะรถยนต์ และมอเตอร์ไซต์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร(ไม่มีรถติดเลยครับ ทั้งที่มีจำนวนประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งนึงในโลก เพราะเค้าใช้การเดินกันทั้งเกาะฮ่องกง) การเดินคือการออกกำลังเผาผลาญของเสียสะสมได้ดี ทำให้ร่างกายไม่มีของเสีย เพราะถูกนำมาใช้เป็นพลังงานหมด อีกทั้งการออกกำลังยังช่วยให้ร่างกายสร้าง HDL ไขมันชนิดดี คอยช่วยลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบแตก ได้อีกด้วย เห็นมั๊ยล่ะครับว่าการออกกำลังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเพียงใด ดังนั้นหาเวลาออกกำลังกายวันละ 10-20 นาที กันบ้างนะครับ
8. ก่อนนอน 3 ชม. ไม่ควรทานอาหารมื้อหนัก
เพราะ เวลาที่เรานอน ระบบการย่อยอาหารก็หยุดทำงานด้วยเช่นกัน ดังนั้นอาหารที่ทานเข้าไปก็จะอืดเน่าเสียตกค้างในกระเพาะและลำไส้ เกิดลมเกิดแก๊สสารพิษท๊อกซิน ทำให้ตื่นมาหน้าบวม ตกหมอน คอแข็ง ตัวแข็งตึง ปวดหลังเพราะลมอัดแน่นในกระเพาะ และกล้ามเนื้อเส้นเอ็น หรือถ้าจำเป็นที่ต้องทานอาหารก่อนนอนเพราะเวลาในการดำเนินชีวิตไม่เอื้ออำนวยแนะนำให้ใช้ตัวช่วยที่สามารถย่อยอาหารแทนเราได้ อย่างนมเปรี้ยว ,น้ำเอนไซม์ ,ผลิตภัณฑ์ Probiotic ดื่มกินหลังอาหารนะครับ
บทความน้ำเอนไซม์ : http://www.facebook.com/photo.php?fbid=472120519514837&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364542798&type=3&theater
บทความ Probiotic :
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=483732895020266&set=pb.173200686073490.-2207520000.1364542798&type=3&theater
แสดงความคิดเห็น
มีแก้สในกระเพาะเยอะมาก ทำอย่างไรถึงจะหายครับ