... หากพวกคุณได้อ่านเรื่องๆ นี้ ...
แปลว่าฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุด ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี
หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มันทรมานร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสามเดือน แค่รู้ฉันก็แทบจะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน ฉันหมดกำลังใจ ภาวนาให้ฉันตายๆ ไปให้พ้นทุกข์แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆ เท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน โดยเฉพาะแม่ ที่มาเยี่ยม ฉันน้อยที่สุด แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่า แม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้อยู่นอกห้อง ก่อนจะกลับไป สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันเหงา ฉันร้องไห้ทุกวัน เพียงแค่คิดว่ากำลังจะตาย ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะเวลาที่เริ่มอาการเจ็บปวดเมื่อไร ฉันอยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย
ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อมบนตึก เพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ ที่เขา กำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล หนีไปให้ไกลจากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด เพราะ ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์ คงไม่มีใครสนใจฉัน แต่ฉันก็ยังร้องไห้กับเรื่องนี้ทุกวัน แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับ พี เขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลังร้องไห้ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เงียบๆ “เหงาเหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?” คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน เหมือนมีอะไรดลใจ ให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้ “อยากตาย” ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไป ส่งที่ห้อง บอกฉันแค่ว่า “อันต้องอดทน เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น” ฉันยิ้มรับ แต่ไม่เชื่อหรอกว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น นับจากวันนั้น ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่ที่คอยมาเยี่ยมทุกวัน พร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉัน ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี พีเป็นคนช่างคุย มีเรื่องมาเล่าให้ฉันฟังทุกวัน ฉันถามอะไร เขาก็ตอบได้เสมอ เขาว่าเขาดูรายการทีวีแทบทุกช่อง แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว จนฉันรู้สึกเหมือนอาการเจ็บปวดน้อยลงเวลาที่พีอยู่ด้วย เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความเจ็บปวดของฉัน เขาจะคอยเอาใจฉัน ไม่ว่าฉันจะต้องการอะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้ เพื่อแลกกับให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเคยถามพีว่า เขาไม่ต้องไปเรียน หรือทำงานเหรอ เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรต่อ เขาก็จะเลี่ยงจนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน แต่ความเหงาแบบเดิมๆ ก็กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน อาการของฉันกลับมาทรงตัว ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่า พวกเขาต้องการให้ฉันตายเร็วขึ้น เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่ และไม่มีวันดีขึ้นได้ ฉันยังมีอะไรอยากออกไปทำอีกตั้งหลาย ก่อนจะตาย รุ่งขึ้นหมออนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน เพื่อตรวจอาการ ฉันมั่น ใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมาที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน แม้ว่าฉันจะได้เจอพีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดีที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี
เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยวก่อนกลับบ้าน พีบอกให้ฉันเขียนหรือเล่าให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง เพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้ต่อไปเรื่อยๆ ที่แต่ละวันที่จะอยู่ทำเรื่องนั้นๆ เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่าเราเป็นแฟนกัน ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถามเขาเลย จนได้โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า “มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร ความรู้สึกอย่างนี้มันต้องคิดตรงกันสองคน ให้คิด แค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ” ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะตอบให้ตรงคำถาม แต่ฉันก็ไม่ถามอีก เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้ แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉันที่ห้าง ซึ่งฉันโดนบ่นเรื่องนี้ตลอด เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว ฉันก็แค่อยากจะสวยก่อนตายเท่านั้นเอง พีไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆ ทั้งวัน ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ
พีหายหน้าไปสามวัน พอเขามาหา ฉันก็ต่อว่าเขาขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ แต่ตรงกันข้าม พีเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย หลังจากตรวจร่างกายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกลไปอีกห้างแทนห้างเดิม ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน บังเอิญที่ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉัน แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้ แจงทักทายและแนะนำแฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะให้รู้จัก ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน ฉันเริ่มรู้สึกเห็นพีขัดหูขัดตา ฉันเดินตามหลังพีไปเงียบๆ บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง แต่ต้องชักมือกลับ เพียงเพราะพีไม่สูง ไม่เท่ห์ เหมือนแฟนของแจง แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ แต่ฉันชอบ ฉันขึ้นเสียงใส่เขา พีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามฉันกลับ “ถ้าอันชอบใครสักคน อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา” ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด “ก็ทั้งสองอย่าง” “อย่างนั้นอันก็ยังไม่เคยรักชอบใครจริงๆ” ฉันนิ่งไป ก่อนจะถามอีก “แล้วพีเคยชอบใครจริงๆ หรือไง” “เคย”... คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ อยากรู้ว่าคนที่พีชอบ คือใคร ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน “ไม่หล่ะ” ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอจะเป็นแฟนฉัน แล้วถ้าไม่ใช่ฉัน ฉันรู้สึกเศร้าลึกๆ
พียังคงสม่ำเสมอ มารับฉันตามที่เคยรับปาก เพียงแต่ฉันเองที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเขาแล้ว ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล แจงคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆ บ้าน ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่ แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้ แต่ก็ดูดีไม่น้อย แจง แอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน “ไม่ใช่” ฉันรีบปฏิเสธ ฉันยังไม่มีแฟน แต่ก็อยากมี ฉันเตือนแจงว่าคบ หลายๆ คน ระวังแฟนจะจับได้ แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆ ก็ตายแล้ว คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา แจงยังอาสาที่จะหาแฟนให้ ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆ ดู แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า มีคนสนใจอยากรู้จักฉัน พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพีว่า ไม่ต้องมารับฉัน เพราะจะไปกับครอบครัว และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก แจงนั่งอยู่กับผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป) เขาชื่อ วิน สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่เงียบ เพราะว่าประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น เขาว่ามือฉันเย็นเจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันหน้ารัก ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉัน ฉันโทรหาพี บอกเขาว่าตั้งแต่นี้ไม่ต้องมารับฉันไปโรงพยาบาลแล้ว ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน ที่จริงฉันให้วินพาไป วินเริ่มบ่นเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่มากับฉันแค่สามครั้ง เขาว่าเสียเวลา เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ และบรรยากาศทำให้เขารู้สึกแย่ ฉันเริ่มรู้สึกเป็นภาระกับเขา ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉันจะไม่กินยา ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วย ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้สองอาทิตย์แล้ว แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้านก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ ไร้เดียงสา ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง จนเขากลับไป ฉันตกตะลึงมองพีที่เดินลงจากรถมาหา แวบแรกฉันกลัววินจะเห็นพี พีมาแค่มารอฉันนานแล้ว เขาตั้งใจมาบอกให้ฉันไปโรงพยาบาล และกินยาด้วยเท่านั้น ฉันแปลกใจที่พีรู้ เขาว่ารู้จากพยาบาล ฉันตกใจมากกว่าจะโกรธที่เขารู้เรื่อง ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก หาว่าเขาจุ้นจ้านมายุ่งกับชีวิตฉันมากไป พีนิ่งเงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง พร่ำบอกแค่ขอโทษ ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น “ดูท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” พีกลับไปแล้ว ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะ พี่รู้เรื่องวิน หรือว่าที่ฉันตวาดพี
สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย สามเดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอ เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขา หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่โทรมา ฉันกลับนึกไปถึงพี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน และทำอะไร กับใคร??? อาการของฉันเริ่มแย่ลง ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะได้กลับมาพักที่บ้าน วินโทรมาหาหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลได้สองวัน เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย อาการของฉันช่วงนี้ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสองเดือน ความเหงา มันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย คนที่ฉันอยากเจอคือพี เดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย กำลังจะครบปีแล้ว นับจากวันที่ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง และนี่ก็นานมากทีเดียว จากวันที่หมอว่าฉันจะต้องตายในสามเดือน ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้
.....จากบันทึกเรื่องหนึ่ง ในโลกใบนี้....
แปลว่าฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว
ฉันได้รับข่าวร้ายที่สุด ในวันเกิดครบรอบ 18 ปี
หลังจากเข้ารับการตรวจเมื่อสองสัปดาห์ก่อน
ฉันกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มันทรมานร่างกายฉันมากว่าหนึ่งปี ก่อนจะตัดสินใจไปหาหมอ ผลการตรวจไม่ดีนัก หมอวินิจฉัยว่าฉันจะอยู่ได้ไปเกินสามเดือน แค่รู้ฉันก็แทบจะตายเดี๋ยวนั้นแล้ว อาการฉันทรุดลงเร็วมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเจาะไขสันหลังตรวจแทบทุกวัน ฉันหมดกำลังใจ ภาวนาให้ฉันตายๆ ไปให้พ้นทุกข์แทบทุกวันที่ฉันต้องอยู่ที่โรงพยาบาล คนในครอบครัวจะมาเยี่ยมช่วงเย็นๆ เท่านั้น เพราะต่างคนต่างต้องทำงาน โดยเฉพาะแม่ ที่มาเยี่ยม ฉันน้อยที่สุด แม่ไม่เคยร้องไห้อ่อนแอให้ฉันเห็นสักครั้ง ซึ่งฉันมารู้ที่หลังว่า แม่มาทุกวันแต่แอบร้องไห้อยู่นอกห้อง ก่อนจะกลับไป สำหรับฉัน ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด ฉันเหงา ฉันร้องไห้ทุกวัน เพียงแค่คิดว่ากำลังจะตาย ฉันเพิ่งอายุ 18 ปี ยังมีอะไรอีกตั้งมากที่ฉันยังไม่ได้ทำ แต่คงไม่มีโอกาสแล้ว เพราะเวลาที่เริ่มอาการเจ็บปวดเมื่อไร ฉันอยากให้หมอฉีดยาให้ฉันตายไปตอนนั้นเสียเลย
ทุกวันช่วงบ่ายฉันจะขนหนังสือมานั่งอ่านที่สวนหย่อมบนตึก เพื่อฆ่าเวลา บางครั้งก็นั่งมองคนอื่นๆ ที่เขา กำลังจะได้กลับบ้าน ฉันนึกอยากถอดชุดคนป่วย แล้ววิ่งออกจากโรงพยาบาล หนีไปให้ไกลจากความจริงที่เป็นตอนนี้ให้มากที่สุด แต่ก็ได้แค่คิด เพราะ ฉันทำได้แค่ภาวนาให้เพื่อนสักคนมาเยี่ยม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีใครมา เพราะอยู่ในช่วงเอนทรานซ์ คงไม่มีใครสนใจฉัน แต่ฉันก็ยังร้องไห้กับเรื่องนี้ทุกวัน แล้ววันหนึ่ง ฉันก็ได้รู้จักกับ พี เขานั่งบนม้านั่งเดียวกับฉันตอนฉันกำลังร้องไห้ เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้เงียบๆ “เหงาเหรอ? ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?” คำพูดประโยคเดียวเท่านั้นที่เขาพูดกับฉัน เหมือนมีอะไรดลใจ ให้ฉันพยักหน้ารับคนแปลกหน้าคนนี้ “อยากตาย” ฉันร้องไห้ไปสะอื้นไป เล่าเรื่องของฉันให้เขาฟัง เขาสอนให้ฉันรักที่จะมีชีวิต ท้ายสุดเขากุมมือฉันพาไป ส่งที่ห้อง บอกฉันแค่ว่า “อันต้องอดทน เพราะอันจะต้องอยู่ได้อีกนาน เชื่อเรานะว่าจะต้องดีขึ้น” ฉันยิ้มรับ แต่ไม่เชื่อหรอกว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น นับจากวันนั้น ฉันก็ได้พีเป็นเพื่อนใหม่ที่คอยมาเยี่ยมทุกวัน พร้อมกับอาการที่ดีขึ้นของฉัน ทางบ้านฉันไม่ขัดข้องอะไรที่ฉันจะสนิทกับพี พีเป็นคนช่างคุย มีเรื่องมาเล่าให้ฉันฟังทุกวัน ฉันถามอะไร เขาก็ตอบได้เสมอ เขาว่าเขาดูรายการทีวีแทบทุกช่อง แม้แต่อาการฉันเขาก็รู้ละเอียดทีเดียว จนฉันรู้สึกเหมือนอาการเจ็บปวดน้อยลงเวลาที่พีอยู่ด้วย เขาเป็นคนเดียวที่เข้าใจความทุกข์ และความเจ็บปวดของฉัน เขาจะคอยเอาใจฉัน ไม่ว่าฉันจะต้องการอะไรก็ตาม พีจะต้องหามาให้ได้ เพื่อแลกกับให้ฉันเลิกคิดว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเคยถามพีว่า เขาไม่ต้องไปเรียน หรือทำงานเหรอ เขาว่าเขาต้องมาเยี่ยมฉันทุกวันจนไม่มีเวลา แต่ไม่ว่าฉันจะถามอะไรต่อ เขาก็จะเลี่ยงจนฉันไม่นึกอยากรู้เรื่องของเขาแล้ว แม้ฉันจะดีขึ้น มีพีมาอยู่เป็นเพื่อนทั้งวัน แต่ความเหงาแบบเดิมๆ ก็กลับมาเยือนฉันอีกครั้ง เมื่อฉันต้องทนอยู่ที่โรงพยาบาลร่วมสองเดือน อาการของฉันกลับมาทรงตัว ฉันขอพ่อกับแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พวกท่านไม่ยอม ฉันเก็บมาบ่นกับพีว่า พวกเขาต้องการให้ฉันตายเร็วขึ้น เพราะการต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทำให้ฉันรู้สึกแย่ และไม่มีวันดีขึ้นได้ ฉันยังมีอะไรอยากออกไปทำอีกตั้งหลาย ก่อนจะตาย รุ่งขึ้นหมออนุญาติให้ฉันออกไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ต้องมาโรงพยาบาลวันเว้นวัน เพื่อตรวจอาการ ฉันมั่น ใจว่าพีเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เพราะเขารับปากกับแม่ฉันว่าจะเป็นคนพาฉันมาที่โรงพยาบาลแทนทุกคนที่ต้องทำงาน แม้ว่าฉันจะได้เจอพีแค่วันเว้นวัน แต่ฉันกลับรู้สึกดีที่จะได้คอยให้ถึงวันที่ต้องไปโรงพยาบาลกับพี
เราสองคนจะไปที่โรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อที่ตอนสายจะได้มีเวลาไปดูหนังหรือเดินเที่ยวก่อนกลับบ้าน พีบอกให้ฉันเขียนหรือเล่าให้เขาฟังว่าพรุ่งนี้อยากทำหรือทำอะไรไปบ้าง เพื่อฉันและเขาจะได้รู้ว่าเหลืออะไรที่อยากจะทำอีกไหม ฉันว่าเป็นวิธีที่ดี เพราะฉันจะได้มีกำลังใจสู้ต่อไปเรื่อยๆ ที่แต่ละวันที่จะอยู่ทำเรื่องนั้นๆ เราสองคนสนิทกันมากจนพี่สาวฉันแซวว่าเราเป็นแฟนกัน ฉันก็เคยแอบคิดแต่ไม่เคยถามเขาเลย จนได้โอกาสถามวันหนึ่ง แต่เขาว่า “มันขึ้นอยู่กับอันด้วย ว่าอันอยากให้พีอยู่ในฐานะอะไร ความรู้สึกอย่างนี้มันต้องคิดตรงกันสองคน ให้คิด แค่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก แต่ยังไงพีก็ยังคงเป็นเพื่อนของอันนะ” ฉันไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่จะตอบให้ตรงคำถาม แต่ฉันก็ไม่ถามอีก เราเปลี่ยนเรื่อง พีอยากให้ฉันรีบกลับบ้านวันนี้ แต่ฉันขอให้พีไปเดินซื้อเสื้อผ้ากับฉันที่ห้าง ซึ่งฉันโดนบ่นเรื่องนี้ตลอด เพราะฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกอาทิตย์ แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัว ฉันก็แค่อยากจะสวยก่อนตายเท่านั้นเอง พีไม่พูดอะไรอีก เขาเดินหน้ามุ่ยถอนใจยาวๆ ทั้งวัน ฉันเลยแกล้งขอให้เขาดูหนังกับฉันอีกเรื่องก่อนกลับ
พีหายหน้าไปสามวัน พอเขามาหา ฉันก็ต่อว่าเขาขนานใหญ่ หาว่าเขาเบื่อฉัน และแกล้งปล่อยให้ฉันรอจนไม่ได้ไปหาหมอ เพราะอยากให้ฉันกลับไปอยู่โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาจะได้ไม่ต้องลำบาก ฉันพูดออกไปแล้วก็เสียใจ และกลัวว่าพีจะโกรธ แต่ตรงกันข้าม พีเสียใจกับเรื่องนี้มาก เขาขอโทษฉัน แต่ไม่มีคำแก้ตัวหรือเหตุผลอะไรมาอ้างเลย หลังจากตรวจร่างกายแล้ว พีพาฉันไปเดินห้างที่ไกลไปอีกห้างแทนห้างเดิม ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้พีดูโทรมมาก หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน บังเอิญที่ห้างนี้อยู่ใกล้กับบ้านเพื่อนสมัยมัธยมปลายของฉัน แจงเดินคลอเคลียมากับหนุ่มหล่อ ตรงมาทางฉัน เธอจำฉันได้ แจงทักทายและแนะนำแฟนหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะให้รู้จัก ฉันยินดีกับเธอที่เอนทรานซ์ติด ก่อนกลับแจงให้เบอร์มือถือกับฉัน ฉันเริ่มรู้สึกเห็นพีขัดหูขัดตา ฉันเดินตามหลังพีไปเงียบๆ บางขณะฉันนึกอยากจูงมือกอดแขนเขาบ้าง แต่ต้องชักมือกลับ เพียงเพราะพีไม่สูง ไม่เท่ห์ เหมือนแฟนของแจง แถมชอบแต่งตัวด้วยเชิ้ตตัวใหญ่ๆ ฉันเคยชี้ให้เขาดูชุดที่หุ่นแต่งหน้าร้าน เขาไม่ชอบ แต่ฉันชอบ ฉันขึ้นเสียงใส่เขา พีเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะถามฉันกลับ “ถ้าอันชอบใครสักคน อันจะชอบที่เป็นเขา หรือเสื้อผ้าของเขา” ฉันตอบแทบไม่ต้องคิด “ก็ทั้งสองอย่าง” “อย่างนั้นอันก็ยังไม่เคยรักชอบใครจริงๆ” ฉันนิ่งไป ก่อนจะถามอีก “แล้วพีเคยชอบใครจริงๆ หรือไง” “เคย”... คำตอบของพีทำให้ฉันนอนไม่หลับ อยากรู้ว่าคนที่พีชอบ คือใคร ฉันแอบเข้าข้างตัวเองว่าถ้าเป็นฉัน “ไม่หล่ะ” ฉันบอกตัวเองว่าพียังไม่เท่ห์พอจะเป็นแฟนฉัน แล้วถ้าไม่ใช่ฉัน ฉันรู้สึกเศร้าลึกๆ
พียังคงสม่ำเสมอ มารับฉันตามที่เคยรับปาก เพียงแต่ฉันเองที่ไม่ค่อยมีอะไรคุยกับเขาแล้ว ระยะหลังฉันจะขอให้เขาส่งฉันกลับบ้านเลยหลังจากออกจากโรงพยาบาล แจงคงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่ฉันโทรหาวันนี้ ฉันนัดแจงมาเจอที่ห้างใกล้ๆ บ้าน ฉันโกหกแม่ว่าออกไปกับพี แจงมาพร้อมผู้ชายคนใหม่ แม้ว่าจะหล่อสู้คนแรกไม่ได้ แต่ก็ดูดีไม่น้อย แจง แอบบอกฉันว่า คนนี้เป็นแค่กิ๊ก ก่อนจะถามถึงพี ซึ่งเธอเข้าใจว่าเป็นแฟนฉัน “ไม่ใช่” ฉันรีบปฏิเสธ ฉันยังไม่มีแฟน แต่ก็อยากมี ฉันเตือนแจงว่าคบ หลายๆ คน ระวังแฟนจะจับได้ แจงท่าทางไม่แยแสกับคำเตือนฉัน เธอว่า คนเราเดี๋ยวๆ ก็ตายแล้ว คบทีละคนกว่าจะเจอคนที่ใช่เสียเวลา แจงยังอาสาที่จะหาแฟนให้ ฉันลองคบดูด้วย เธอให้ฉันไปถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ เพื่อจะได้มีรูปไปให้หนุ่มๆ ดู แจงโทรมาบอกหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ว่า มีคนสนใจอยากรู้จักฉัน พรุ่งนี้ให้เจอกันที่ห้าง กำชับให้ฉันแต่งตัวน่ารักๆ แต่พรุ่งนี้ฉันต้องไปโรงพยาบาล ฉันรีบโทรไปบอกพีว่า ไม่ต้องมารับฉัน เพราะจะไปกับครอบครัว และบอกทุกคนว่าไปกับพีเหมือนทุกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ฉันโกหกกับคนมากอย่างนี้ มันน่าตื่นเต้นมาก แจงนั่งอยู่กับผู้ชายที่บอกว่าชอบฉัน (จากรูป) เขาชื่อ วิน สูงผิวเข้มและหน้าคม ที่สำคัญเขาคุยสนุกไม่แพ้พี จนฉันเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่เงียบ เพราะว่าประหม่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมีคนมาจีบ วินชวนฉันไปดูหนังต่อ ส่วนแจงขอแยกกลับไปแล้ว ในโรงหนังวินกุมมือฉันไว้แน่น เขาว่ามือฉันเย็นเจี๊ยบเลย เราแลกเบอร์โทรกันตอนที่เขามาส่งที่บ้าน วินเป็นคนแรกที่ชมว่าฉันหน้ารัก ฉันไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของฉัน ฉันโทรหาพี บอกเขาว่าตั้งแต่นี้ไม่ต้องมารับฉันไปโรงพยาบาลแล้ว ฉันจะไปกับคนที่บ้านแทน ที่จริงฉันให้วินพาไป วินเริ่มบ่นเรื่องพาฉันมาโรงพยาบาลบ่อยๆ หลังจากที่มากับฉันแค่สามครั้ง เขาว่าเสียเวลา เขาไม่ค่อยชอบรออะไรนานๆ และบรรยากาศทำให้เขารู้สึกแย่ ฉันเริ่มรู้สึกเป็นภาระกับเขา ที่จริงฉันก็ไม่อยากมาโรงพยาบาล เลยตัดสินใจที่จะไม่มาอีก เวลาที่อยู่กับเขาฉันจะไม่กินยา ฉันไม่อยากให้เขารู้ว่าฉันป่วย ฉันกลัวเขาจะไม่สนใจฉันอีก ฉันไม่ไปโรงพยาบาลได้สองอาทิตย์แล้ว แต่วินก็หาเรื่องบ่นฉันอีก ที่ต้องมาส่งฉันที่บ้านก่อนทุ่มทุกวัน เขาหาว่าฉันเป็นลูกแหง่ ไร้เดียงสา ฉันนิ่งไปไม่มีข้อแก้ตัวที่จะเถียง จนเขากลับไป ฉันตกตะลึงมองพีที่เดินลงจากรถมาหา แวบแรกฉันกลัววินจะเห็นพี พีมาแค่มารอฉันนานแล้ว เขาตั้งใจมาบอกให้ฉันไปโรงพยาบาล และกินยาด้วยเท่านั้น ฉันแปลกใจที่พีรู้ เขาว่ารู้จากพยาบาล ฉันตกใจมากกว่าจะโกรธที่เขารู้เรื่อง ฉันตวาดใส่เขาเป็นครั้งแรก หาว่าเขาจุ้นจ้านมายุ่งกับชีวิตฉันมากไป พีนิ่งเงียบใจเย็นเหมือนทุกครั้ง พร่ำบอกแค่ขอโทษ ก่อนกลับพียื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉัน เขาบอกให้เก็บเอาไว้ใช้เผื่อจำเป็น “ดูท่าทางเขาจะดูแลอันได้นะ เราคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” พีกลับไปแล้ว ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืนเพราะโมโห ฉันโมโหตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าเพราะ พี่รู้เรื่องวิน หรือว่าที่ฉันตวาดพี
สามเดือนกว่าที่พีไม่ติดต่อฉันเลย สามเดือนกว่าที่ฉันคบวินแต่ไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าวันที่พีเจอ เพราะฉันไม่รู้สึกตื่นเต้นเวลาที่จะได้เจอเขา หรือกระวนกระวายใจเวลาที่เขาไม่โทรมา ฉันกลับนึกไปถึงพี อยากรู้ว่าเขาหายไปไหน และทำอะไร กับใคร??? อาการของฉันเริ่มแย่ลง ฉันต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้ฉันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะได้กลับมาพักที่บ้าน วินโทรมาหาหลังจากฉันออกจากโรงพยาบาลได้สองวัน เขาขอโทษที่หายเงียบไปเพราะติดสอบ วินไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเลย อาการของฉันช่วงนี้ดีที่สุดก็แค่ทรงตัว ฉันรู้ตัวดีว่าคงอยู่ได้ไม่นาน ความคิดอยากตายหวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครติดต่อฉันมาอีกเลยนานกว่าสองเดือน ความเหงา มันทรมานกว่าความเจ็บปวดหลายเท่า เวลานี้ฉันไม่นึกถึงวินเลย คนที่ฉันอยากเจอคือพี เดือนหน้าจะถึงวันเกิดฉันแล้ว ฉันภาวนาขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันก่อนเลย กำลังจะครบปีแล้ว นับจากวันที่ฉันรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง และนี่ก็นานมากทีเดียว จากวันที่หมอว่าฉันจะต้องตายในสามเดือน ฉันเองก็แทบจะไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้นานขนาดนี้