พระนิพพาน ... ไม่ใช่พระ นิพพานไม่ได้!
"... บุคคลในพระพุทธศาสนา ที่มีศรัทธาแรงกล้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อปรารถนา มรรคผลพระนิพพาน ความปรารถนามรรคผลพระนิพพานของนักปฏิบัตินั้น จะต้องพึงรู้ว่า บุคคลที่เข้าสู่พระนิพพานได้นั้น มีคำว่าพระนำคำว่านิพพาน พระนิพพาน ... ไม่ใช่พระ นิพพานไม่ได้! ... ต้องเป็นพระเท่านั้นจึงจะนิพพานได้ ฉะนั้นเราต้องทำตัวของเราให้เป็นพระ จึงจะนิพพานได้ พระคำนี้ไม่ใช่อยู่ในวัดในวา แต่อยู่ในใจ
ฆราวาสผู้ครองเรือนมีศีลห้า ก็เป็นพระได้ ผู้อยู่อุโบสถศีล ศีลแปดก็เป็นพระได้ สามเณรรักษาศีลสิบก็เป็นพระได้ พระรักษาศีล สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ อยู่วัดอยู่วาอยู่ป่าอยู่เขา ก็เป็นพระได้ พระโสดาบันกับพระสกทาคามี มีศีลห้าบริสุทธิ์ พระอนาคามีมีศีลแปดบริสุทธิ์ พระอรหันต์มีศีลสิบบริสุทธิ์ ศีลสิบนี้หมายถึง กรรมบถศีลสิบ ฉะนั้นคำว่าพระคำนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้โกนหัวห่มเหลืองอยู่วัดเท่านั้น แต่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของพระ เพื่อจะถึงความสิ้นสุดแห่งการเดินทาง คือยุติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่านิพพานแปลว่าดับสนิทนั่นเอง
คำว่า “พระ” คำนี้ มีตัวอักษรอยู่สามตัว มี พ พาน มี ร เรือ มีสระอะ ถ้าตีความหมายแล้ว คำว่า พ พอพาน แปลว่าพอ หรืออ่านว่า พอ แปลว่าไม่เอา เอาเท่านี้ คือ พอดี ถ้าเกินพอดีมันก็ไม่ดี ถ้าต่ำว่าเกณฑ์พอดีมันก็ไม่พอ ต้องคำว่าพอดี ต้องพอดีจริงๆ ไม่มากไม่น้อย คำว่าพอคำนี้หมายถึงอะไร หมายถึงการทำตัวของเรา การทำตัวของเราให้รู้จักความพอดี ไม่มากไม่น้อย ให้พอดิบพอดี การนึกการคิดในวันๆ หนึ่ง ก็ให้มันรู้จักคำว่าพอดี รู้จักการคิดให้พอดีบ้าง อย่าคิดเกินพอดี แม้กระทั่งการใช้สอยในชีวิตๆ เราหนึ่งชิวิต ที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ก็รู้จักชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ให้มันเกิดความพอดี ไม่มาก ไม่เกินไม่น้อย คำว่าพอดีคำนี้หมายถึงคำว่า กลางๆ เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เรียกว่าทางสายกลาง เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ต้องรู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา ถ้าเราไม่รู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา จิตเราก็ไม่พอดี จิตเราก็ไม่เป็นมัชฌิมา ต้องรู้จักอัธยาศัยของจิตของใจตัวเองว่ากรรมฐานแบบไหนถึงจะพอดีแก่จิต เมื่อได้กรรมฐานพอดีแก่จิตแล้ว จิตมันพอดีมันก็ไม่เป็นอะไร มีแต่ความสงบพอดี ฌานก็พอดีไม่เหลื่อมไม่ล้ำ เป็นเหมือนกับว่าน้ำไม่เต็มถ้วย มันก็พอดี ไม่เต็มเกินไป ไม่ล้นเกินไป ไม่พร่องเกินไป คือพอดี พอดี คำว่าเต็มมันไม่ใช่พอดี มันต้องพอดี คำนี้ละเอียดลออ มากถ้าอธิบายวันนี้ก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าประมาณย่อๆ ให้ท่านไปใช้สติปัญญาคิดคำว่าพอเอา ว่าคำว่าพอตรงนี้มีความหมายต่อไปว่าอย่างไรอีก แต่ในที่นี้หมายถึงจิตใจ ให้รู้จักความพอดี ให้รู้จักการรักษาศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนา ให้รู้จักการเลือกเฟ้นกรรมฐานประพฤติปฏิบัติให้รู้จักความพอดี ความพอดีตัวนี้แหละเป็นมรรค เป็นมรรคปฏิปทา เป็นทางดำเนินอันหนึ่ง ...
ร เรือ ร อะ ระ “ร” เรือ หมายถึงพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เราพึงมีพระรัตนตรัยไว้ในจิตที่มีความพอดีแล้ว พระรัตนตรัยคือ ผู้รู้ คือผู้ตื่น คือผู้เบิกบาน คือผู้นำบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ คือผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว รวมเรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะนั่นเอง ให้มีในจิตในใจของเรา ในขณะที่เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ก็ตาม ภาวนาพุทโธอยู่ก็ตาม กำหนดร่างกายอยู่ตาม ในขณะที่เรามีสติกำหนดอยู่นั้น ไม่หลงลืมไป ระลึกได้อยู่นั้น เรียกว่า พุทโธ คือผู้รู้ ผู้รู้อยู่ในใจเรา พระรัตนะ คือ พระพุทธรัตนะ ก็มาประดิษฐานในใจเรา เมื่อเรากำหนดไปๆ ไม่ขาดวรรคขาดตอน เกิดปีติ เกิดความอิ่ม เกิดความสงบ เกิดสมาธิ อย่างนี้เรียกว่าธรรมรัตนะ พระธรรมก็มาประดิษฐานในใจของเรา การปฏิบัติต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อนให้ภาวนาอย่างต่อเนื่องเพื่อความสิ้นทุกข์ ความหมดจด ความบริสุทธิ์ของจิต จนถึงที่สุดคือ บริสุทธิ์อันผ่องใส เพราะอาศัยคือการประพฤติปฏิบัติตามความรู้ความเห็นนั้น เรียกว่า สังฆรัตนะมาประดิษฐานในจิตใจของเราแล้ว จึงหมายถึงว่า ร เรือ คือรัตนตรัย “ร” อะ ก่อนจะถึงคำว่าละ คำว่า “อะ” คำนี้แปลว่ายิ่งใหญ่ มีด้วยกันสามประการในพระพุทธศาสนาเรา อะที่หนึ่งเรียกว่า อธิศีล คือมากไปด้วยศีล ยิ่งใหญ่ไปด้วยศีล อะตัวที่สองเรียกว่า อธิจิต แปลว่าจิตยิ่งใหญ่ อะตัวที่สามเรียกว่า อธิปัญญา แปลว่า ความรู้ความเห็น การขจัดสิ่งมืดมนไป ทั้งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็รวมลงไปในมรรคนั่นเอง ....
เมื่อปฏิบัติตามวิถีของมรรคแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง จึงละได้ พระ จึง ละได้ ละสิ่งพอใจทั้งหลาย ละสิ่งที่เคยยึดติดผูกพันธ์ทั้งหลาย จึงพ้นไปจากความยึดความหมายความมั่น ไม่มีในจิตในใจของเรา ... รวมแล้วคือ “พระ” คำนี้ต้องมีในจิตในใจของผู้ที่หมายพระนิพพานในใจ ถ้าบุคคลใดไม่มี พระ ในใจแล้ว นิพพานก็ย่อมไม่มีในใจของผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายให้จงนำไปคิดพิจารณาศึกษเอา คำว่าพระคำนี้ เรามีครบแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ครบ ก็ปฏิบัติให้ครบตัวอักษรเสีย นิพพานก็จะเป็นของท่าน .... ต่อแต่นี้ให้ตั้งใจกรวดน้ำรับพร โดยพร้อมเพรียงกัน...”
ภาพ: องค์หลวงพ่อท่ามกลางหมู่สงฆ์ จ. ชัยภูมิ ก่อนเดินทางกลับสำนักปฏิบัติอัญญาวิโมกข์ฯ ปากช่อง
ไม่ใช่พระ ... นิพพานไม่ได้
พระนิพพาน ... ไม่ใช่พระ นิพพานไม่ได้!
"... บุคคลในพระพุทธศาสนา ที่มีศรัทธาแรงกล้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อปรารถนา มรรคผลพระนิพพาน ความปรารถนามรรคผลพระนิพพานของนักปฏิบัตินั้น จะต้องพึงรู้ว่า บุคคลที่เข้าสู่พระนิพพานได้นั้น มีคำว่าพระนำคำว่านิพพาน พระนิพพาน ... ไม่ใช่พระ นิพพานไม่ได้! ... ต้องเป็นพระเท่านั้นจึงจะนิพพานได้ ฉะนั้นเราต้องทำตัวของเราให้เป็นพระ จึงจะนิพพานได้ พระคำนี้ไม่ใช่อยู่ในวัดในวา แต่อยู่ในใจ
ฆราวาสผู้ครองเรือนมีศีลห้า ก็เป็นพระได้ ผู้อยู่อุโบสถศีล ศีลแปดก็เป็นพระได้ สามเณรรักษาศีลสิบก็เป็นพระได้ พระรักษาศีล สองร้อยยี่สิบเจ็ดข้อ อยู่วัดอยู่วาอยู่ป่าอยู่เขา ก็เป็นพระได้ พระโสดาบันกับพระสกทาคามี มีศีลห้าบริสุทธิ์ พระอนาคามีมีศีลแปดบริสุทธิ์ พระอรหันต์มีศีลสิบบริสุทธิ์ ศีลสิบนี้หมายถึง กรรมบถศีลสิบ ฉะนั้นคำว่าพระคำนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้โกนหัวห่มเหลืองอยู่วัดเท่านั้น แต่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของพระ เพื่อจะถึงความสิ้นสุดแห่งการเดินทาง คือยุติแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เรียกว่านิพพานแปลว่าดับสนิทนั่นเอง
คำว่า “พระ” คำนี้ มีตัวอักษรอยู่สามตัว มี พ พาน มี ร เรือ มีสระอะ ถ้าตีความหมายแล้ว คำว่า พ พอพาน แปลว่าพอ หรืออ่านว่า พอ แปลว่าไม่เอา เอาเท่านี้ คือ พอดี ถ้าเกินพอดีมันก็ไม่ดี ถ้าต่ำว่าเกณฑ์พอดีมันก็ไม่พอ ต้องคำว่าพอดี ต้องพอดีจริงๆ ไม่มากไม่น้อย คำว่าพอคำนี้หมายถึงอะไร หมายถึงการทำตัวของเรา การทำตัวของเราให้รู้จักความพอดี ไม่มากไม่น้อย ให้พอดิบพอดี การนึกการคิดในวันๆ หนึ่ง ก็ให้มันรู้จักคำว่าพอดี รู้จักการคิดให้พอดีบ้าง อย่าคิดเกินพอดี แม้กระทั่งการใช้สอยในชีวิตๆ เราหนึ่งชิวิต ที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ก็รู้จักชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง ให้มันเกิดความพอดี ไม่มาก ไม่เกินไม่น้อย คำว่าพอดีคำนี้หมายถึงคำว่า กลางๆ เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เรียกว่าทางสายกลาง เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ต้องรู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา ถ้าเราไม่รู้จักกรรมฐานที่พอดีกับจิตเรา จิตเราก็ไม่พอดี จิตเราก็ไม่เป็นมัชฌิมา ต้องรู้จักอัธยาศัยของจิตของใจตัวเองว่ากรรมฐานแบบไหนถึงจะพอดีแก่จิต เมื่อได้กรรมฐานพอดีแก่จิตแล้ว จิตมันพอดีมันก็ไม่เป็นอะไร มีแต่ความสงบพอดี ฌานก็พอดีไม่เหลื่อมไม่ล้ำ เป็นเหมือนกับว่าน้ำไม่เต็มถ้วย มันก็พอดี ไม่เต็มเกินไป ไม่ล้นเกินไป ไม่พร่องเกินไป คือพอดี พอดี คำว่าเต็มมันไม่ใช่พอดี มันต้องพอดี คำนี้ละเอียดลออ มากถ้าอธิบายวันนี้ก็คงไม่จบ เอาเป็นว่าประมาณย่อๆ ให้ท่านไปใช้สติปัญญาคิดคำว่าพอเอา ว่าคำว่าพอตรงนี้มีความหมายต่อไปว่าอย่างไรอีก แต่ในที่นี้หมายถึงจิตใจ ให้รู้จักความพอดี ให้รู้จักการรักษาศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนา ให้รู้จักการเลือกเฟ้นกรรมฐานประพฤติปฏิบัติให้รู้จักความพอดี ความพอดีตัวนี้แหละเป็นมรรค เป็นมรรคปฏิปทา เป็นทางดำเนินอันหนึ่ง ...
ร เรือ ร อะ ระ “ร” เรือ หมายถึงพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ เราพึงมีพระรัตนตรัยไว้ในจิตที่มีความพอดีแล้ว พระรัตนตรัยคือ ผู้รู้ คือผู้ตื่น คือผู้เบิกบาน คือผู้นำบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ คือผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว รวมเรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะนั่นเอง ให้มีในจิตในใจของเรา ในขณะที่เรามีสติกำหนดรู้ลมหายใจอยู่ก็ตาม ภาวนาพุทโธอยู่ก็ตาม กำหนดร่างกายอยู่ตาม ในขณะที่เรามีสติกำหนดอยู่นั้น ไม่หลงลืมไป ระลึกได้อยู่นั้น เรียกว่า พุทโธ คือผู้รู้ ผู้รู้อยู่ในใจเรา พระรัตนะ คือ พระพุทธรัตนะ ก็มาประดิษฐานในใจเรา เมื่อเรากำหนดไปๆ ไม่ขาดวรรคขาดตอน เกิดปีติ เกิดความอิ่ม เกิดความสงบ เกิดสมาธิ อย่างนี้เรียกว่าธรรมรัตนะ พระธรรมก็มาประดิษฐานในใจของเรา การปฏิบัติต่อเนื่องไม่หยุดไม่หย่อนให้ภาวนาอย่างต่อเนื่องเพื่อความสิ้นทุกข์ ความหมดจด ความบริสุทธิ์ของจิต จนถึงที่สุดคือ บริสุทธิ์อันผ่องใส เพราะอาศัยคือการประพฤติปฏิบัติตามความรู้ความเห็นนั้น เรียกว่า สังฆรัตนะมาประดิษฐานในจิตใจของเราแล้ว จึงหมายถึงว่า ร เรือ คือรัตนตรัย “ร” อะ ก่อนจะถึงคำว่าละ คำว่า “อะ” คำนี้แปลว่ายิ่งใหญ่ มีด้วยกันสามประการในพระพุทธศาสนาเรา อะที่หนึ่งเรียกว่า อธิศีล คือมากไปด้วยศีล ยิ่งใหญ่ไปด้วยศีล อะตัวที่สองเรียกว่า อธิจิต แปลว่าจิตยิ่งใหญ่ อะตัวที่สามเรียกว่า อธิปัญญา แปลว่า ความรู้ความเห็น การขจัดสิ่งมืดมนไป ทั้งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ก็รวมลงไปในมรรคนั่นเอง ....
เมื่อปฏิบัติตามวิถีของมรรคแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง จึงละได้ พระ จึง ละได้ ละสิ่งพอใจทั้งหลาย ละสิ่งที่เคยยึดติดผูกพันธ์ทั้งหลาย จึงพ้นไปจากความยึดความหมายความมั่น ไม่มีในจิตในใจของเรา ... รวมแล้วคือ “พระ” คำนี้ต้องมีในจิตในใจของผู้ที่หมายพระนิพพานในใจ ถ้าบุคคลใดไม่มี พระ ในใจแล้ว นิพพานก็ย่อมไม่มีในใจของผู้นั้นเช่นกัน ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายให้จงนำไปคิดพิจารณาศึกษเอา คำว่าพระคำนี้ เรามีครบแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่ครบ ก็ปฏิบัติให้ครบตัวอักษรเสีย นิพพานก็จะเป็นของท่าน .... ต่อแต่นี้ให้ตั้งใจกรวดน้ำรับพร โดยพร้อมเพรียงกัน...”
ภาพ: องค์หลวงพ่อท่ามกลางหมู่สงฆ์ จ. ชัยภูมิ ก่อนเดินทางกลับสำนักปฏิบัติอัญญาวิโมกข์ฯ ปากช่อง