คุยกันสักนิด
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าจะดอง(บอกไม่อายด้วย) อาจลงช้าไปบ้างแต่จะพยายามให้ไม่เกินเดือน เมื่อก่อนลงควบประจำ ตอนนี้เลยคิดว่าน่าจะทำแบบเดิมได้แล้ว จะได้ลองอะไรหลายๆอย่างได้ในครั้งเดียว(หลายเรื่อง) เคยเอามาลงพันทิปเมื่อนานมาแล้วแต่อย่าไปสนมันเลย เวอร์ชั่นนี้รีไรท์ใหม่(อีกแล้ว) ชื่อใหม่ โครงเรื่องคล้ายๆเดิม ว่าคราวนี้จะพยายามตัดส่วนใบ้ออกให้เดาได้ยากยิ่งขึ้นไม่รู้จะได้ผลยังไงบ้าง
แล้วที่สำคัญที่สุดคือ "เรื่องนี้พระเอกคือเจ้ากาลัน ไม่ใช่ไบรอัน!" ไม่ว่ายังไงก็จะรักษาคำนี้เอาไว้ให้ได้ เรื่องนี้แต่งแล้วต้องกุมขมับจริงๆ พระเอกบทน้อยลงทุกตอน เจ้าตัวที่จะใส่บทให้น้อยหน่อยก็เสนอหน้าเหมือนเป็นตัวเอก ตัวร้ายเจือกเติบโตมีมิติจนเอาไปเขียนเป็นเรื่องอื่นต่อได้อีก แต่เขียนแล้วสนุกล่ะนะ
*************************
บทนำ
บรรยากาศภายในห้องประชุมใหญ่ทำให้ไบรอัน แบล๊คสโตนปวดหัว ในฐานะผู้วิเศษแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความสงบและการอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ใช่การยืนอยู่ใจกลางห้องรูปวงกลมขนาดใหญ่ปูพื้นด้วยหินอ่อนมีลวดลายนกผงาดปีก ผนังเป็นหินชนวนดำสนิทตัดเรียบเหมือนกระจก อากาศร้อนอบอ้าวของเขตร้อนลอยกรุ่นท่ามกลางแสงจากผลึกแสงบนเพดาน รอบด้านเป็นชั้นที่นั่งสูงบรรจุผู้นำจากเมืองน้อยใหญ่
และที่สำคัญคือที่นั่งสองแท่นใหญ่ที่วางตรงข้ามกันพอดีเผง สองจักรวรรดิที่คานอำนาจกันมานานนับร้อยปี เมืองในทวีปใหญ่ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของสองจักรวรรดินี้ เพียรซ์ และซีเนีย
ท่ามกลางเสียงพูดคุยเหมือนนกตีกัน ท่านผู้เป็นประธานในพิธี หรือเจ้าของสถานที่ หากจะให้เรียกเต็มยศคงต้องเรียกว่าจักรพรรดิหนุ่มของเพียรซ์ยกมือขึ้นเหนือหัวเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งส่งรัศมีความร้อนสูงไปทั่วห้อง ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ มองมาทางประธานในพิธีเป็นตาเดียว
“ข้าเข้าใจแล้วว่าพวกท่านต่างก็เห็นด้วยกับงานวิจัยชิ้นนี้ ข้าจึงอยากให้ท่านสรุปอีกครั้งแบล๊คสโตน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน” เสียงของจักรพรรดิหนุ่มก้องอยู่ครู่หนึ่ง แววตาสีพระจันทร์เป็นเอกลักษณ์พุ่งลงมาหาเขาเหมือนยังคลางแคลงใจอยู่
ใช่แล้ว เขามาอยู่ที่นี่เพื่อทำตามความตั้งใจของอาจารย์ให้สำเร็จ เปิดเผยให้สาธารณะชนรับทราบเรื่องหายนะที่เกิดขึ้นในดาวที่เรียกว่าเรมิสต์แห่งนี้ ดวงตาสีเขียวมรกตของไบรอันจ้องกลับอย่างหวาดระแวงแล้วกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น หากเขาต้องเป็นศัตรูกับชายผู้นี้ จะให้มีสักร้อยชีวิตก็ไม่พอใช้
“ในเอกสารแผ่นที่สอง” ไบรอันโค้งเล็กน้อยก่อนพูดอย่างสุภาพ เขาแจกเอกสารก่อนการประชุมเรียบร้อยแล้ว “พวกท่านจะเห็นตารางและแผนภูมิ เส้นทึบสีดำแสดงอัตราการเกิดของมนุษย์ เส้นจุดสีดำแสดงอัตราการฟื้นตัวของป่ากับทะเล เส้นสีดำเป็นขีดสลับฟันปลาแสดงอัตราพลังจากธรณี เส้นทึบสีแดงแสดงอัตราการเกิดธรรมชาติวิบัติ เส้นจุดสีแดงแสดงถึงอัตราความขัดแย้งและการก่อสงคราม เส้นสีแดงสลับฟันปลาแสดงปริมาณการเกิดของสัตว์ฝ่ายมืดที่เรียกว่าปิศาจ
“ในชั่วระยะยี่สิบปีมานี้ เส้นสีดำลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ผิดกับเส้นสีแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในตอนนี้หากเราพิจารณา...”
“ยี่สิบปีเชียวหรือ! เจ้าเพิ่งอายุได้ยี่สิบกระมัง อย่าบอกนะว่าเก็บข้อมูลมาตั้งแต่เกิด” พระราชาเคราดกคนหนึ่งขัดขึ้นอย่างหยาบคาย
ริมฝีปากของไบรอันกระตุกเบาๆ เขาบอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นผู้สืบทอดงานวิจัยชิ้นนี้ ไม่ใช่ผู้เริ่มทำ
“ข้าสืบทอดงานวิจัยนี้มาจากท่านอาจารย์เฟรเดอริค คาร์กิ้นส์ หลังจากท่านตายเมื่อห้าปีก่อนข้าก็เรียบเรียงมันออกมาตามที่ทุกท่านได้เห็น” ตอนนี้ต้องสุภาพเข้าไว้ เขาต้องทำตามแผนให้ถึงที่สุด ไบรอันกัดฟันทนให้อีกฝ่ายกดหัวแล้วร่ายยาวต่อ
“หากเราพิจารณาแล้วจะพบว่าโลกใบนี้ของเราเริ่มเสื่อมถอยอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ทุกท่านยอมรับว่าข้อมูลต่างๆที่ข้านำมาเสนอมีเค้ามูลความจริงทั้งหมด และข้าก็ทราบแล้ว ว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องนี้” แล้วห้องประชุมก็เซ็งแซ่ด้วยเสียงพูดคุยอีกครั้ง
ไบรอันวาดมือไปด้านข้างเบาๆ ออกคำสั่งกับธาตุผ่านเวทมนตร์ที่มีอยู่ น้ำในอากาศที่มีน้อยอยู่แล้วพลันรวมตัวกันเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือหัวของเขา ด้านในฉายภาพชายคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพสัตว์ฝ่ายมืด กะคร่าวๆคงสักสองกองพันเห็นจะได้
“สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดคือความจริง ขอให้ทุกท่านโปรดเชื่อด้วย” น้ำเสียงเป็นงานเป็นการของเขาตรึงผู้นำหลายสิบคนเอาไว้อย่างลืมหายใจ “เรากำลังเผชิญกับตัวตนที่เคยมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้น จอมอสูรปรากฏตัวขึ้นแล้ว!”
แล้วทั้งห้องก็ถูกกลืนด้วยเสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น ผนังห้องสั่นกราวด้วยแรงสะเทือน
“พวกท่านคงจำชื่อนี้ได้ ดัชเชล เฮลเบิร์ต เขากลับมาอีกครั้งแล้ว!”
ทั้งห้องเงียบกริบเหมือนอยู่ใต้น้ำ เมื่อยี่สิบปีก่อน คนชื่อนี้ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในรอบยี่สิบปี ไม่มีใครทราบว่าคนๆนั้นไปรับพลังฝ่ายมืดจากแห่งใดจึงกล้าเป็นปรปักษ์กับจักรวรรดิทั้งสอง
“หากท่านเรียกคนที่เป็นฝ่ายมืดว่าจอมอสูรเขาคนนั้นก็ต้องเป็นจอมอสูรเช่นกัน บัดนี้เขากำลังกลับมาอีกครั้งพร้อมพลังมหาศาลที่เกินหยั่งวัดและกองทัพฝ่ายมืดอีกนับไม่ถ้วน ขอให้ทุกท่านรับฟังและตั้งสติ...”
ไบรอันต้องอาศัยความเยือกเย็นแทรกเสียงกระซิบกระซาบที่แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างออกรส
ในชั่วขณะนั้นเองผนังห้องเหนือแท่นที่นั่งด้านหนึ่งก็ระเบิดดังครืน! เปลวไฟสีแดงแลบเลียเหมือนลิ้นของมารร้าย ราชาและผู้ติดตามพากันหลบไปอีกด้านด้วยความตระหนกท่ามกลางฝุ่นคลีที่ตลบอบอวลมีเงาร่างหนึ่งลอยเข้ามาทางรอยแตก
ไบรอันรู้จักชายคนนี้ดี ชื่อของเขาคือเวเบอร์ เฟียร์เลส ลูกน้องอันดับหนึ่งของเฮลเบิร์ต หากให้พูดถึงสิ่งที่เห็นครั้งเดียวแล้วจำได้ก็คงเป็นดวงตา ซึ่งเป็นสีแดงเลือดเจือด้วยสีส้มเล็กน้อยเหมือนพระจันทร์แดงอย่างไรอย่างนั้น ดูภายนอกก็รู้ว่าเป็นคนเงียบและเอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง แถมหัวแข็งอีกต่างหาก บางทีอาจแข็งกว่าแท่งเหล็กตันอีกกระมัง
“ข้าบาทมาเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิคริสโทเฟอร์แห่งจักรวรรดิเพียรซ์” ผู้บุกรุกกล่าว เสื้อคลุมสีแสดพลิ้วไหวกลางกลุ่มควัน “ท่านเฮลเบิร์ตให้มากราบทูลว่าจะทำทุกทางเพื่อโค่นฝ่าบาทกับองค์อาร์เชลอสให้ได้ จนกว่าพวกฝ่าบาทจะทรงสำนึกถึงบาปที่ได้ทำไว้เมื่อสี่สิบปีก่อนและทำการชดใช้”
องค์คริสโทเฟอร์แห่งเพียร์ซลุกขึ้นอย่างองอาจไม่หวั่นเกรงต่อคำขู่เลยสักนิด ดวงหน้าอ่อนเยาว์ไม่ละไปจากผู้ที่ลอยนิ่งเหมือนก้อนเมฆ
ไบรอันสบตาผู้บุกรุกอย่างมีนัย แล้วก็แสดงละครต่อไป ผู้วิเศษหนุ่มดีดนิ้ว น้ำในลูกแก้วน้ำเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง กลายเป็นหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ผู้บุกรุกในพริบตา อีกฝ่ายยกมือสร้างกำแพงป้องกันได้ทันท่วงทีแล้วหันหน้าลงมามองอย่างชาเย็น ราวกับต้องการถามว่ามายุ่งอะไรด้วย
“ก็เจ้าบอกว่าตัวเองคือลูกน้องของจอมอสูรนี่นา ข้าก็จะเก็บเจ้าก่อนแล้วค่อยไปตบจอมอสูรนายเจ้าทีหลัง” ว่าแล้วไบรอันก็เอ่ยคำ น้ำส่วนที่เหลือในลูกแก้วกลายเป็นกระสุนน้ำแข็งยิงใส่ร่างลอยนิ่งอย่างแม่นยำ อีกฝ่ายก็กันได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น
“จงออกมา คริสเฟรยา” องค์จักรพรรดิคริสโทเฟอร์เอ่ยคำบ้าง
แหวนทับทิมที่นิ้วของพระองค์ตอบรับกระแสรับสั่งทันควัน เปลวไฟร้อนแรงดุจสามารถหลอมหินได้พวยพุ่งออกมาจากแหวน กลุ่มก้อนเปลวไฟก่อรูปร่างและกลายเป็นวิหคเพลิงอย่างสมบูรณ์ ขนสีส้มแดงประกายทองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเพลิงกาฬ ด้วยขนาดลำตัวที่ใหญ่เท่าช้างที่พ่วงพีที่สุด ทำให้ลมปีกกลายเป็นพายุพัดกรรโชกไปทั่วราวเกิดลมคลั่ง เสียงร้องเสียดแก้วหูสะกดทุกคนให้จ้องมองอย่างไร้ทางต่อต้าน อากาศในห้องร้อนขึ้นท่วมท้นทวีเพราะการปรากฏตัวของนกเพลิงที่เรียกผ่านแหวน
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่าเมื่อกว่าสี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น” จักรพรรดิหนุ่มกล่าว วิหคไฟร่อนลงยืนกับพื้นหินอ่อนรอคำสั่งทันที “แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของทางเรา ฝ่ายนั้นต่างหากที่พยายามทำลายสมดุลที่ง่อนแง่นให้พังลง กลับไปบอกนายของเจ้าว่าให้ล้มเลิกความคิดเสียแต่ตอนนี้ ให้เห็นแก่ลูกของเขาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาอาจตายเพราะสงครามก็ได้”
“ตรัสอย่างกับฝ่าบาทรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนอย่างนั้นละ” ผู้บุกรุกปรามาสกันซึ่งหน้า “แล้วเรียกวิหคเพลิงผ่านแหวนแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เอาเถิดแม้ข้าบาทจะไม่ได้มีสายเลือดของเพียร์ซแต่ก็ทำอย่างฝ่าบาทได้เหมือนกัน”
พูดจบก็เกิดกลุ่มก้อนอากาศสีดำขึ้นข้างร่างของผู้บุกรุก มันขยายตัวใหญ่วนขดเป็นลายก้นหอยสวยงาม “วิหคเพลิง!” ผู้บุกรุกดีดนิ้ว บางสิ่งชำแรกตัวผ่านก้อนอากาศสีดำหมุนวนทิ้งก้อนสีดำๆให้จางหายไปเบื้องหลัง เงาขนาดใหญ่ฉวัดเฉวียนกลางอากาศแล้วหยุดกับที่ให้ผู้ที่อยู่ในห้องได้เห็นรูปลักษณ์
มันคือวิหคเพลิงที่มีขนาดใกล้เคียงกับตัวแรก สีขนและรูปลักษณ์บอกชัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแน่นอน ผู้บุกรุกยิ้มกว้างอย่างมั่นใจแล้วออกคำสั่งเมื่อเห็นพาหนะขององค์คริสโทเฟอร์ขยับตัว นกไฟตัวที่สองกรีดร้องดังสนั่นก่อนพุ่งตัวลงไปหานกตัวแรกอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเส้นสีแดงสด!
เพียงวูบเดียววิหคทรงก็กลายเป็นกองขนเละๆด้วยจะงอยปากแกร่ง ขยุ้มเนื้อที่หักพังด้วยแรงกระแทกกลายเป็นเปลวไฟกลับคืนสู่แหวนอีกครั้ง ตามข้อกำหนดที่ไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไร
ก่อนที่ผู้ติดตามทั้งหลายจะลงมือ ไบรอันผู้รอโอกาสอยู่แล้วก็เริ่มทำตามสิ่งที่นัดหมายไว้ อาวุธวิเศษคู่มือเคลื่อนผ่านความเงียบขึ้นมาจรดริมฝีปาก แล้วก็เริ่มเล่นเพลงทำลายความเงียบงันรอบด้าน เสียงแห่งมนตราดูดซับพลังเวทของเขาเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนก่อกำเนิดปฏิกิริยาแห่งเวทมนตร์
สายลมที่ปั่นป่วนด้วยลมปีกวิหคเพลิงที่ปรากฏขึ้นด้วยวิชาเรียกปิศาจขยับตัวอย่างมีแบบแผนเรียงร้อยกันเหมือนงูยักษ์ล่องหน แล้วกลุ่มก้อนสายลมยาวก็ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างของมังกรตัวยาวเหยียด ลำตัวที่เคยเป็นสายลมแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีขาวสะอาดตา ส่วนหัวอุดมด้วยขนสีเงินพร้อมดวงตาสีมรกต มันคำรามอวดเขี้ยวขาวให้ทุกคนจ้องอย่างตะลึงงัน
ในโลกนี้การเรียกสัตว์วิเศษออกมารับใช้เป็นอภิสิทธิ์สำหรับสองจักรวรรดิเท่านั้น การเรียกวิหคและมังกรออกมาจึงสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนในห้องประชุม รวมถึงองค์คริสโทเฟอร์ด้วย ทุกดวงตาจับจ้องไปที่มังกรขาวที่ลอยวนกลางอากาศ มันกินที่เกือบหนึ่งในสามของห้องเลยทีเดียว
แล้วสัตว์วิเศษทั้งสองก็เข้าประหัตกันกลางอากาศ อากาศทั้งห้องสะเทือนเลือนลั่นดั่งคลื่นลมยามพายุเข้า ลำตัวยาวเหยียดกวาดไปทั่วเหมือนงูเลื้อย ส่วนวิหคเพลิงก็ปัดป้องด้วยปีกใหญ่ ชิ้นส่วนหลายชิ้นพร้อมเลือดปลิวไปทุกทิศทาง
เสียงกรีดร้องและคำรามสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกันแล้วทุกอย่างก็สิ้นสุด มังกรขาวกลับเป็นสายลม ส่วนนกไฟเมื่อสิ้นลมก็กลับสู่โลกปิศาจพร้อมได้รับชีวิตใหม่ ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงสิบนาทีดี ไบรอันลดขลุ่ยผิวแล้วจ้องมองผู้บุกรุกอย่างท้าทาย
“เห็นแบบนี้แต่ข้ายังมีแรงอยู่นะ ต่ออีกยกก็ยังได้” ไบรอันพูดทั้งที่เหนื่อยหอบจากการบรรเลงเพลงต่อเนื่อง การเรียกมังกรธาตุต้องใช้พลังมากโข ครั้งที่สองต้องฝืนตัวเองอย่างมากหากจะเรียกออกมาอีก
“เป้าหมายของข้าคือการมาส่งข้อความเท่านั้น” ผู้บุกรุกกล่าวอย่างมีมาด ทั้งที่การเรียกสัตว์ปิศาจก็กินพลังกายเหมือนกัน “แต่ถ้าเป็นคราวหน้าก็ไม่แน่”
ร่างของผู้บุกรุกเรืองแสงเป็นสีทองเหมือนดวงอาทิตย์แล้วก็พุ่งออกไปทางรอยแตกที่ตนสร้างขึ้น ไบรอันกับผู้ติดตามเกือบทั้งหมดถอนหายใจอย่างโล่งอก ผู้รุกรานอันตรายคงใช้เวทเคลื่อนย้ายกลับไปแล้ว
“เมื่อครู่ คือสมุนของจอมอสูรที่ท่านพูดถึงหรือแบล๊คสโตน” องค์คริสโทเฟอร์ยังคงความสุขุมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเหมือนกับผู้ติดตามสาวในตระกูลนักรบ ไบรอันคุกเข่าทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม “ในดินแดนนี้ไม่มีใครเลย ไม่มีใครที่สามารถเรียกสัตว์วิเศษออกมาจากความว่างเปล่าแบบนั้น ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องมีอาวุธวิเศษ ท่านทราบหรือไม่ว่าชายคนนั้นคือใคร”
(มีต่อ)
นักรบจันทรา บทนำ
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าจะดอง(บอกไม่อายด้วย) อาจลงช้าไปบ้างแต่จะพยายามให้ไม่เกินเดือน เมื่อก่อนลงควบประจำ ตอนนี้เลยคิดว่าน่าจะทำแบบเดิมได้แล้ว จะได้ลองอะไรหลายๆอย่างได้ในครั้งเดียว(หลายเรื่อง) เคยเอามาลงพันทิปเมื่อนานมาแล้วแต่อย่าไปสนมันเลย เวอร์ชั่นนี้รีไรท์ใหม่(อีกแล้ว) ชื่อใหม่ โครงเรื่องคล้ายๆเดิม ว่าคราวนี้จะพยายามตัดส่วนใบ้ออกให้เดาได้ยากยิ่งขึ้นไม่รู้จะได้ผลยังไงบ้าง
แล้วที่สำคัญที่สุดคือ "เรื่องนี้พระเอกคือเจ้ากาลัน ไม่ใช่ไบรอัน!" ไม่ว่ายังไงก็จะรักษาคำนี้เอาไว้ให้ได้ เรื่องนี้แต่งแล้วต้องกุมขมับจริงๆ พระเอกบทน้อยลงทุกตอน เจ้าตัวที่จะใส่บทให้น้อยหน่อยก็เสนอหน้าเหมือนเป็นตัวเอก ตัวร้ายเจือกเติบโตมีมิติจนเอาไปเขียนเป็นเรื่องอื่นต่อได้อีก แต่เขียนแล้วสนุกล่ะนะ
*************************
บทนำ
บรรยากาศภายในห้องประชุมใหญ่ทำให้ไบรอัน แบล๊คสโตนปวดหัว ในฐานะผู้วิเศษแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือความสงบและการอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ใช่การยืนอยู่ใจกลางห้องรูปวงกลมขนาดใหญ่ปูพื้นด้วยหินอ่อนมีลวดลายนกผงาดปีก ผนังเป็นหินชนวนดำสนิทตัดเรียบเหมือนกระจก อากาศร้อนอบอ้าวของเขตร้อนลอยกรุ่นท่ามกลางแสงจากผลึกแสงบนเพดาน รอบด้านเป็นชั้นที่นั่งสูงบรรจุผู้นำจากเมืองน้อยใหญ่
และที่สำคัญคือที่นั่งสองแท่นใหญ่ที่วางตรงข้ามกันพอดีเผง สองจักรวรรดิที่คานอำนาจกันมานานนับร้อยปี เมืองในทวีปใหญ่ส่วนมากล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งของสองจักรวรรดินี้ เพียรซ์ และซีเนีย
ท่ามกลางเสียงพูดคุยเหมือนนกตีกัน ท่านผู้เป็นประธานในพิธี หรือเจ้าของสถานที่ หากจะให้เรียกเต็มยศคงต้องเรียกว่าจักรพรรดิหนุ่มของเพียรซ์ยกมือขึ้นเหนือหัวเป็นสัญญาณอย่างหนึ่ง ทันใดนั้นก็เกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งส่งรัศมีความร้อนสูงไปทั่วห้อง ทั้งห้องประชุมเงียบกริบ มองมาทางประธานในพิธีเป็นตาเดียว
“ข้าเข้าใจแล้วว่าพวกท่านต่างก็เห็นด้วยกับงานวิจัยชิ้นนี้ ข้าจึงอยากให้ท่านสรุปอีกครั้งแบล๊คสโตน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน” เสียงของจักรพรรดิหนุ่มก้องอยู่ครู่หนึ่ง แววตาสีพระจันทร์เป็นเอกลักษณ์พุ่งลงมาหาเขาเหมือนยังคลางแคลงใจอยู่
ใช่แล้ว เขามาอยู่ที่นี่เพื่อทำตามความตั้งใจของอาจารย์ให้สำเร็จ เปิดเผยให้สาธารณะชนรับทราบเรื่องหายนะที่เกิดขึ้นในดาวที่เรียกว่าเรมิสต์แห่งนี้ ดวงตาสีเขียวมรกตของไบรอันจ้องกลับอย่างหวาดระแวงแล้วกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น หากเขาต้องเป็นศัตรูกับชายผู้นี้ จะให้มีสักร้อยชีวิตก็ไม่พอใช้
“ในเอกสารแผ่นที่สอง” ไบรอันโค้งเล็กน้อยก่อนพูดอย่างสุภาพ เขาแจกเอกสารก่อนการประชุมเรียบร้อยแล้ว “พวกท่านจะเห็นตารางและแผนภูมิ เส้นทึบสีดำแสดงอัตราการเกิดของมนุษย์ เส้นจุดสีดำแสดงอัตราการฟื้นตัวของป่ากับทะเล เส้นสีดำเป็นขีดสลับฟันปลาแสดงอัตราพลังจากธรณี เส้นทึบสีแดงแสดงอัตราการเกิดธรรมชาติวิบัติ เส้นจุดสีแดงแสดงถึงอัตราความขัดแย้งและการก่อสงคราม เส้นสีแดงสลับฟันปลาแสดงปริมาณการเกิดของสัตว์ฝ่ายมืดที่เรียกว่าปิศาจ
“ในชั่วระยะยี่สิบปีมานี้ เส้นสีดำลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ผิดกับเส้นสีแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในตอนนี้หากเราพิจารณา...”
“ยี่สิบปีเชียวหรือ! เจ้าเพิ่งอายุได้ยี่สิบกระมัง อย่าบอกนะว่าเก็บข้อมูลมาตั้งแต่เกิด” พระราชาเคราดกคนหนึ่งขัดขึ้นอย่างหยาบคาย
ริมฝีปากของไบรอันกระตุกเบาๆ เขาบอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นผู้สืบทอดงานวิจัยชิ้นนี้ ไม่ใช่ผู้เริ่มทำ
“ข้าสืบทอดงานวิจัยนี้มาจากท่านอาจารย์เฟรเดอริค คาร์กิ้นส์ หลังจากท่านตายเมื่อห้าปีก่อนข้าก็เรียบเรียงมันออกมาตามที่ทุกท่านได้เห็น” ตอนนี้ต้องสุภาพเข้าไว้ เขาต้องทำตามแผนให้ถึงที่สุด ไบรอันกัดฟันทนให้อีกฝ่ายกดหัวแล้วร่ายยาวต่อ
“หากเราพิจารณาแล้วจะพบว่าโลกใบนี้ของเราเริ่มเสื่อมถอยอย่างเห็นได้ชัด ดังที่ทุกท่านยอมรับว่าข้อมูลต่างๆที่ข้านำมาเสนอมีเค้ามูลความจริงทั้งหมด และข้าก็ทราบแล้ว ว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องนี้” แล้วห้องประชุมก็เซ็งแซ่ด้วยเสียงพูดคุยอีกครั้ง
ไบรอันวาดมือไปด้านข้างเบาๆ ออกคำสั่งกับธาตุผ่านเวทมนตร์ที่มีอยู่ น้ำในอากาศที่มีน้อยอยู่แล้วพลันรวมตัวกันเป็นลูกแก้วขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือหัวของเขา ด้านในฉายภาพชายคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพสัตว์ฝ่ายมืด กะคร่าวๆคงสักสองกองพันเห็นจะได้
“สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดคือความจริง ขอให้ทุกท่านโปรดเชื่อด้วย” น้ำเสียงเป็นงานเป็นการของเขาตรึงผู้นำหลายสิบคนเอาไว้อย่างลืมหายใจ “เรากำลังเผชิญกับตัวตนที่เคยมีอยู่แค่ในนิยายเท่านั้น จอมอสูรปรากฏตัวขึ้นแล้ว!”
แล้วทั้งห้องก็ถูกกลืนด้วยเสียงหัวเราะประสานกันดังลั่น ผนังห้องสั่นกราวด้วยแรงสะเทือน
“พวกท่านคงจำชื่อนี้ได้ ดัชเชล เฮลเบิร์ต เขากลับมาอีกครั้งแล้ว!”
ทั้งห้องเงียบกริบเหมือนอยู่ใต้น้ำ เมื่อยี่สิบปีก่อน คนชื่อนี้ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในรอบยี่สิบปี ไม่มีใครทราบว่าคนๆนั้นไปรับพลังฝ่ายมืดจากแห่งใดจึงกล้าเป็นปรปักษ์กับจักรวรรดิทั้งสอง
“หากท่านเรียกคนที่เป็นฝ่ายมืดว่าจอมอสูรเขาคนนั้นก็ต้องเป็นจอมอสูรเช่นกัน บัดนี้เขากำลังกลับมาอีกครั้งพร้อมพลังมหาศาลที่เกินหยั่งวัดและกองทัพฝ่ายมืดอีกนับไม่ถ้วน ขอให้ทุกท่านรับฟังและตั้งสติ...”
ไบรอันต้องอาศัยความเยือกเย็นแทรกเสียงกระซิบกระซาบที่แลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างออกรส
ในชั่วขณะนั้นเองผนังห้องเหนือแท่นที่นั่งด้านหนึ่งก็ระเบิดดังครืน! เปลวไฟสีแดงแลบเลียเหมือนลิ้นของมารร้าย ราชาและผู้ติดตามพากันหลบไปอีกด้านด้วยความตระหนกท่ามกลางฝุ่นคลีที่ตลบอบอวลมีเงาร่างหนึ่งลอยเข้ามาทางรอยแตก
ไบรอันรู้จักชายคนนี้ดี ชื่อของเขาคือเวเบอร์ เฟียร์เลส ลูกน้องอันดับหนึ่งของเฮลเบิร์ต หากให้พูดถึงสิ่งที่เห็นครั้งเดียวแล้วจำได้ก็คงเป็นดวงตา ซึ่งเป็นสีแดงเลือดเจือด้วยสีส้มเล็กน้อยเหมือนพระจันทร์แดงอย่างไรอย่างนั้น ดูภายนอกก็รู้ว่าเป็นคนเงียบและเอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง แถมหัวแข็งอีกต่างหาก บางทีอาจแข็งกว่าแท่งเหล็กตันอีกกระมัง
“ข้าบาทมาเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิคริสโทเฟอร์แห่งจักรวรรดิเพียรซ์” ผู้บุกรุกกล่าว เสื้อคลุมสีแสดพลิ้วไหวกลางกลุ่มควัน “ท่านเฮลเบิร์ตให้มากราบทูลว่าจะทำทุกทางเพื่อโค่นฝ่าบาทกับองค์อาร์เชลอสให้ได้ จนกว่าพวกฝ่าบาทจะทรงสำนึกถึงบาปที่ได้ทำไว้เมื่อสี่สิบปีก่อนและทำการชดใช้”
องค์คริสโทเฟอร์แห่งเพียร์ซลุกขึ้นอย่างองอาจไม่หวั่นเกรงต่อคำขู่เลยสักนิด ดวงหน้าอ่อนเยาว์ไม่ละไปจากผู้ที่ลอยนิ่งเหมือนก้อนเมฆ
ไบรอันสบตาผู้บุกรุกอย่างมีนัย แล้วก็แสดงละครต่อไป ผู้วิเศษหนุ่มดีดนิ้ว น้ำในลูกแก้วน้ำเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง กลายเป็นหอกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่ผู้บุกรุกในพริบตา อีกฝ่ายยกมือสร้างกำแพงป้องกันได้ทันท่วงทีแล้วหันหน้าลงมามองอย่างชาเย็น ราวกับต้องการถามว่ามายุ่งอะไรด้วย
“ก็เจ้าบอกว่าตัวเองคือลูกน้องของจอมอสูรนี่นา ข้าก็จะเก็บเจ้าก่อนแล้วค่อยไปตบจอมอสูรนายเจ้าทีหลัง” ว่าแล้วไบรอันก็เอ่ยคำ น้ำส่วนที่เหลือในลูกแก้วกลายเป็นกระสุนน้ำแข็งยิงใส่ร่างลอยนิ่งอย่างแม่นยำ อีกฝ่ายก็กันได้อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น
“จงออกมา คริสเฟรยา” องค์จักรพรรดิคริสโทเฟอร์เอ่ยคำบ้าง
แหวนทับทิมที่นิ้วของพระองค์ตอบรับกระแสรับสั่งทันควัน เปลวไฟร้อนแรงดุจสามารถหลอมหินได้พวยพุ่งออกมาจากแหวน กลุ่มก้อนเปลวไฟก่อรูปร่างและกลายเป็นวิหคเพลิงอย่างสมบูรณ์ ขนสีส้มแดงประกายทองเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเพลิงกาฬ ด้วยขนาดลำตัวที่ใหญ่เท่าช้างที่พ่วงพีที่สุด ทำให้ลมปีกกลายเป็นพายุพัดกรรโชกไปทั่วราวเกิดลมคลั่ง เสียงร้องเสียดแก้วหูสะกดทุกคนให้จ้องมองอย่างไร้ทางต่อต้าน อากาศในห้องร้อนขึ้นท่วมท้นทวีเพราะการปรากฏตัวของนกเพลิงที่เรียกผ่านแหวน
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่าเมื่อกว่าสี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น” จักรพรรดิหนุ่มกล่าว วิหคไฟร่อนลงยืนกับพื้นหินอ่อนรอคำสั่งทันที “แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของทางเรา ฝ่ายนั้นต่างหากที่พยายามทำลายสมดุลที่ง่อนแง่นให้พังลง กลับไปบอกนายของเจ้าว่าให้ล้มเลิกความคิดเสียแต่ตอนนี้ ให้เห็นแก่ลูกของเขาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาอาจตายเพราะสงครามก็ได้”
“ตรัสอย่างกับฝ่าบาทรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนอย่างนั้นละ” ผู้บุกรุกปรามาสกันซึ่งหน้า “แล้วเรียกวิหคเพลิงผ่านแหวนแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เอาเถิดแม้ข้าบาทจะไม่ได้มีสายเลือดของเพียร์ซแต่ก็ทำอย่างฝ่าบาทได้เหมือนกัน”
พูดจบก็เกิดกลุ่มก้อนอากาศสีดำขึ้นข้างร่างของผู้บุกรุก มันขยายตัวใหญ่วนขดเป็นลายก้นหอยสวยงาม “วิหคเพลิง!” ผู้บุกรุกดีดนิ้ว บางสิ่งชำแรกตัวผ่านก้อนอากาศสีดำหมุนวนทิ้งก้อนสีดำๆให้จางหายไปเบื้องหลัง เงาขนาดใหญ่ฉวัดเฉวียนกลางอากาศแล้วหยุดกับที่ให้ผู้ที่อยู่ในห้องได้เห็นรูปลักษณ์
มันคือวิหคเพลิงที่มีขนาดใกล้เคียงกับตัวแรก สีขนและรูปลักษณ์บอกชัดว่าเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแน่นอน ผู้บุกรุกยิ้มกว้างอย่างมั่นใจแล้วออกคำสั่งเมื่อเห็นพาหนะขององค์คริสโทเฟอร์ขยับตัว นกไฟตัวที่สองกรีดร้องดังสนั่นก่อนพุ่งตัวลงไปหานกตัวแรกอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเส้นสีแดงสด!
เพียงวูบเดียววิหคทรงก็กลายเป็นกองขนเละๆด้วยจะงอยปากแกร่ง ขยุ้มเนื้อที่หักพังด้วยแรงกระแทกกลายเป็นเปลวไฟกลับคืนสู่แหวนอีกครั้ง ตามข้อกำหนดที่ไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไร
ก่อนที่ผู้ติดตามทั้งหลายจะลงมือ ไบรอันผู้รอโอกาสอยู่แล้วก็เริ่มทำตามสิ่งที่นัดหมายไว้ อาวุธวิเศษคู่มือเคลื่อนผ่านความเงียบขึ้นมาจรดริมฝีปาก แล้วก็เริ่มเล่นเพลงทำลายความเงียบงันรอบด้าน เสียงแห่งมนตราดูดซับพลังเวทของเขาเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนก่อกำเนิดปฏิกิริยาแห่งเวทมนตร์
สายลมที่ปั่นป่วนด้วยลมปีกวิหคเพลิงที่ปรากฏขึ้นด้วยวิชาเรียกปิศาจขยับตัวอย่างมีแบบแผนเรียงร้อยกันเหมือนงูยักษ์ล่องหน แล้วกลุ่มก้อนสายลมยาวก็ปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างของมังกรตัวยาวเหยียด ลำตัวที่เคยเป็นสายลมแปรเปลี่ยนเป็นเกล็ดสีขาวสะอาดตา ส่วนหัวอุดมด้วยขนสีเงินพร้อมดวงตาสีมรกต มันคำรามอวดเขี้ยวขาวให้ทุกคนจ้องอย่างตะลึงงัน
ในโลกนี้การเรียกสัตว์วิเศษออกมารับใช้เป็นอภิสิทธิ์สำหรับสองจักรวรรดิเท่านั้น การเรียกวิหคและมังกรออกมาจึงสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนในห้องประชุม รวมถึงองค์คริสโทเฟอร์ด้วย ทุกดวงตาจับจ้องไปที่มังกรขาวที่ลอยวนกลางอากาศ มันกินที่เกือบหนึ่งในสามของห้องเลยทีเดียว
แล้วสัตว์วิเศษทั้งสองก็เข้าประหัตกันกลางอากาศ อากาศทั้งห้องสะเทือนเลือนลั่นดั่งคลื่นลมยามพายุเข้า ลำตัวยาวเหยียดกวาดไปทั่วเหมือนงูเลื้อย ส่วนวิหคเพลิงก็ปัดป้องด้วยปีกใหญ่ ชิ้นส่วนหลายชิ้นพร้อมเลือดปลิวไปทุกทิศทาง
เสียงกรีดร้องและคำรามสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกันแล้วทุกอย่างก็สิ้นสุด มังกรขาวกลับเป็นสายลม ส่วนนกไฟเมื่อสิ้นลมก็กลับสู่โลกปิศาจพร้อมได้รับชีวิตใหม่ ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงสิบนาทีดี ไบรอันลดขลุ่ยผิวแล้วจ้องมองผู้บุกรุกอย่างท้าทาย
“เห็นแบบนี้แต่ข้ายังมีแรงอยู่นะ ต่ออีกยกก็ยังได้” ไบรอันพูดทั้งที่เหนื่อยหอบจากการบรรเลงเพลงต่อเนื่อง การเรียกมังกรธาตุต้องใช้พลังมากโข ครั้งที่สองต้องฝืนตัวเองอย่างมากหากจะเรียกออกมาอีก
“เป้าหมายของข้าคือการมาส่งข้อความเท่านั้น” ผู้บุกรุกกล่าวอย่างมีมาด ทั้งที่การเรียกสัตว์ปิศาจก็กินพลังกายเหมือนกัน “แต่ถ้าเป็นคราวหน้าก็ไม่แน่”
ร่างของผู้บุกรุกเรืองแสงเป็นสีทองเหมือนดวงอาทิตย์แล้วก็พุ่งออกไปทางรอยแตกที่ตนสร้างขึ้น ไบรอันกับผู้ติดตามเกือบทั้งหมดถอนหายใจอย่างโล่งอก ผู้รุกรานอันตรายคงใช้เวทเคลื่อนย้ายกลับไปแล้ว
“เมื่อครู่ คือสมุนของจอมอสูรที่ท่านพูดถึงหรือแบล๊คสโตน” องค์คริสโทเฟอร์ยังคงความสุขุมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเหมือนกับผู้ติดตามสาวในตระกูลนักรบ ไบรอันคุกเข่าทำความเคารพอย่างอ่อนน้อม “ในดินแดนนี้ไม่มีใครเลย ไม่มีใครที่สามารถเรียกสัตว์วิเศษออกมาจากความว่างเปล่าแบบนั้น ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องมีอาวุธวิเศษ ท่านทราบหรือไม่ว่าชายคนนั้นคือใคร”
(มีต่อ)