THE TALENT
จอมคนจุติสวรรค์พันธุ์นักรบ
ศึกแรก ปฐมบทแห่งการพบกันของนักรบผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 5 : ผิวหนังของอสูร
เป็นเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซาโก้ ไวทอน ได้มาอาศัยอยู่ในกองกำลังของนักรบพลัดถิ่น อคาเดีย แต่ความสนิทสนมของซาโก้ที่มีต่อทุกคนรอบตัวที่นี่นั้นราวกับก่อกำเนิดมาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากที่นี่เป็นกองกำลังนักรบที่เป็นกันเองอยู่กันเหมือนบ้าน และเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของซาโก้ที่เป็นคนเข้ากับสังคมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ซาโก้เองนั้นก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้ ด้วยความที่เขามักจะวางท่าเหมือนคนเกเรตั้งแต่ท่าเดินกร่างอย่างนักเลง วิธีการมองหน้าคนอื่น การพูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังโวยวายและตัดเสียงคำสั้นๆ กระนั้นคนที่นี่ก็ยอมรับเขาค่อนข้างมากในฐานะที่ซาโก้เป็นนักรบผู้เป็นความหวังของอคาเดียคนหนึ่ง ความเป็นอยู่ของซาโก้ที่นี่ก็รู้สึกอยู่สบายกว่าที่โดโบร่า รวมถึงการที่ต้องคอยระแวงระวังว่าจะมีใครมาดักท้าตีท้าต่อยหรือเปล่าก็ลดน้อยลงไป มีแต่ความรู้สึกอยากออกไปสู้กับศัตรูข้างนอกนั่นเร็วๆ
ช่วงนี้ซาโก้กำลังกังวลถึงความล่าช้าในการเดินทางของเพื่อนๆ จากทูรูสที่นัดหมายกันไว้ ซาโก้คิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถหาหมู่บ้านของกองกำลังแห่งนี้พบหรือเปล่า แต่หากเดินทางมาในทางที่ถูกต้องในด้านหน้าของกองกำลัง ก็จะมองเห็นทั้งหมู่บ้านได้ไม่ยากอย่างที่ซาโก้เห็นเมื่อนั่งรถบรรทุกของคอนซิลเข้ามาวันแรก เขาจึงคิดอยู่หลายอย่างในใจ ซึ่งความกระวนกระวายนี้ซาโก้ก็ไม่ได้บอกใคร สายตาของเขามองไปที่ทางเข้าด้านหน้าของหมู่บ้านอยู่เสมอ แต่วูฟกลับรู้ถึงความกังวลนี้ได้อย่างไม่ยากนัก ขณะที่ซาโก้กำลังเล่นโยนลูกหินกับเด็กๆ อยู่บนลานใกล้กับหน้าหมู่บ้าน ซึ่งลูกหินของซาโก้โดนเด็กๆ โยนหินของตัวเองใส่ กระเด็นออกไปไกล ซาโก้กลับไม่สนใจเพราะมัวแต่มองไปทางอื่น วูฟเดินเข้ามาในวงเล่นของเด็กๆ ตบหลังซาโก้ไปทีหนึ่ง
“อย่ามัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไป ในสถานการณ์ศึกประชิดเราอย่างนี้ ถ้าเหม่อลอยบ่อยไปจะไม่ดี ไม่สมกับความเป็นนักรบเลยนะ"
ซาโก้มองหน้าวูฟอย่างงงๆ วูฟยิ้มและพยักหน้าให้ก่อนจะเดินจากไป ในตอนนั้นเด็กๆ ก็ตะโกนเรียก "พี่ซาโก้!” ให้กลับมาสนใจกับเกมการละเล่นต่อ
หลังจากวันที่พวกซาโก้ปะทะกับพวกกอยส์ที่ประตูด้านหลัง บริเวณทุ่งเชกาด้า มีการออกลาดตระเวณรอบๆ ประตูทุกวัน แต่พบกอยส์เพียงบางครั้ง ซึ่งก็มีการปะทะกันบ้างแต่ยังไม่มีผู้ใดบาดเจ็บจนถึงตาย
เพราะมาอยู่ที่กองกำลังกอบกู้อคาเดียจนครบเดือนนั่นเอง ซาโก้ก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายในขณะที่เวลาผ่านไปวันๆ อย่างไม่ได้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากนัก สิ่งพิเศษสำหรับซาโก้ในช่วงสองสามวันมานี้คือเขาได้รับสั่งจากองค์ราชินีทีอาร่า อินซาร์ เดอ อคาเดีย ผู้มีพระชนมายุน้อยกว่าซาโก้หนึ่งปี ให้เขาเข้าเฝ้าในเขตพระตำหนักซึ่งเป็นอาคารบ้านพักที่มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ และตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง อาคารพระตำหนักส่วนหน้าเป็นห้องประชุมของนักรบชั้นสูงและเหล่าเสนาธิการฝ่ายในราชวัง ซึ่งห้องนี้ซาโก้เห็นวูฟเข้าไปทุกวันอยู่แล้ว แต่ในส่วนหลังที่เป็นเขตต้องห้ามนั้น ซาโก้ไม่เคยได้เฉียดกรายเข้าไปเลย ไม่เคยแม้แต่จะคิด เนื่องจากเขาได้รับการอบรมมาในครอบครัวและสถาบันนักรบในเรื่องการวางตัวต่อองค์กษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรของเขาเองหรืออาณาจักรไหนๆ ก็ตาม
…...............
….............
ซาโก้ได้เห็นว่าพระตำหนักแห่งนี้ไม่ใช่ที่ดูโอ่อ่าหรูหราอลังการเหมือนในพระราชวังแห่งนครหลวงทูรูสเลย หากแต่เป็นเพียงบ้านที่มีเครื่องเรือนทำด้วยไม้ออกแบบอย่างธรรมดาทั่วไป ทั้งเก้าอี้ที่ทรงนั่งก็เป็นเก้าอี้ธรรมดา ซึ่งซาโก้ก็เข้าใจดีว่าเนื่องจากพลัดจากปราสาทราชวังในถิ่นฐานบ้านเกิด พระองค์จึงจำเป็นต้องอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อย่างที่ซาโก้ไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอจริงๆ และการที่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามกับองค์ราชินีแห่งอคาเดียโดยไม่ต้องย่อเข่าข้างหนึ่งอย่างที่ทำที่ทูรูส ก็เป็นสิ่งแปลกใหม่มากๆ
“ข้าไม่ชอบคุยอย่างพวกกษัตริย์อาณาจักรอื่นเท่าไหร่หรอกนะ ท่านซาโก้" พระองค์เริ่มสนทนา
ห้องที่พระองค์ใช้เป็นห้องสำหรับว่าราชการเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าห้องส่วนกลางของบ้านแต่ละหลัง มีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ทรงกลมและเก้าอี้ไม้ล้อมรอบ หน้าต่างบานสูงเปิดกว้างรับลมแผ่วๆ ในช่วงบ่าย ก่อนที่อากาศจะเริ่มหนาวตามลักษณะภูมิอากาศที่ซาโก้พบเจอมาตลอดทั้งเดือน ภายในห้องมีพระพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้หญิงอ้วนหน้าตาอิ่มเอิบ นั่งอยู่ใกล้ประตูทางที่จะเชื่อมสู่ด้านหลังที่เป็นห้องบรรทมของพระองค์ มีเชย์กัส หนุ่มน้อยผมสีเงินยืนเท้าหน้าต่างโดยลอบมองมาทางองค์ราชินีผู้เยาว์และซาโก้บ้างเป็นบางครั้ง เจนนิเฟอร์ที่ซาโก้เพิ่งรู้ว่าเธอสนิทกับองค์ราชินีและเข้ามาที่นี่ได้บ่อยๆ เดินไปเดินมาเข้าออกห้องครัวของพระตำหนัก มีเสียงแม่ครัววังหลวงซึ่งเป็นหญิงชราเสียงดุดังออกมาจากครัว สภาพในห้องไม่ได้มีการบังคับให้ใครอยู่อย่างเป็นระเบียบนัก เป็นความแตกต่างอีกอย่างของสถานที่ว่าราชการเช่นนี้ของชนชั้นกษัตริย์
“ข้าพระองค์ก็เกรงว่าจะพูดหรือทำอะไรผิดไปพะยะค่ะ" ซาโก้พยายามทบทวนคำพูดที่จำเป็นต้องพูดให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ตามที่เคยได้รับการสั่งสอนมาจากสถาบันนักรบ
“ตามสบายเถอะท่านซาโก้ ท่านอายุเป็นพี่ข้าได้เลยนะ ไม่ต้องพูดอะไรแบบนั้นตลอดเวลาก็ได้ ข้าก็ออกจะเกร็งๆ เหมือนกัน" พระองค์ยิ้มอย่างอ่อนหวานงดงาม จนซาโก้รู้สึกลืมตัวว่ากำลังจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นราชินีอยู่
“แฮ่ม...” เสียงกระแอมหลอกๆ ของเชย์กัสดังมาจากตรงหน้าต่าง
“เชย์... ท่านไม่สบายเหรอ" องค์ราชินีหันไปถามเชิงตำหนิเพราะรู้ว่าเชย์กัสแกล้ง
“เปล่าคร้าบ...ทีอา สงสัยข้าแค่สำลักน่ะครับ" ซาโก้สังเกตว่าเวลาอยู่ในที่ส่วนตัว เชย์กัสคุยกับองค์ราชินีโดยไม่ได้เรียกพระองค์เป็นราชินีแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ซาโก้รู้สึกไม่ค่อยชิน
เชย์กัสเป็นคนเดียวที่นี่ซาโก้เห็นว่ามีผมสีเงิน และเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเงียบๆ เหมือนคาดัสแต่กลับมีนิสัยกวนประสาทเหมือนแดน อาจารย์ของเชย์กัสเป็นราชองครักษ์ประจำตัวกษัตริย์แห่งอคาเดียแต่เสียชีวิตในการรบกับไชกาเมสเช่นเดียวกับนักรบฝีมือดีของอคาเดียหลายท่าน ตอนนี้เชย์กัสที่ดูยังไม่พร้อมสำหรับการรับตำแหน่งราชองครักษ์ก็ต้องทำหน้าที่รักษาการณ์ตำแหน่งนี้ไปก่อน ซึ่งนอกจากเชย์กัสแล้วยังมีราชองครักษ์ฝ่ายหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งไมได้เป็นทางการเท่าไหร่นั่นก็คือดีอาร์นักรบสาวที่ฝีมือดีที่สุดในหมู่ผู้หญิง โดยตำแหน่งนี้เดิมเป็นของแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง ดีอาร์เป็นคนพาซาโก้เข้ามาในพระตำหนักแต่สักพักเธอขออนุญาตออกไปคุยกับพวกนักรบชั้นสูงคนอื่นๆ ที่ห้องประชุม ทิ้งให้ซาโก้เข้าเฝ้าองค์ราชินีอยู่ตอนนี้
“ขอโทษที่ข้าไม่มีโอกาสได้คุยกับท่านเท่าไหร่นัก จริงๆ ข้าก็อยากพูดคุยเรื่องต่างๆ กับท่าน พี่เจนนี่บอกข้าว่าท่านมีเรื่องสนุกๆ เล่าเยอะแยะเลย ข้าเองก็อยากรู้ว่าที่ทูรูสเป็นยังไงบ้าง" องค์ราชินีตรัส
“เรื่องของข้าไม่สู้จะดีเท่าไหร่หรอกพะยะค่ะ เอ้ย! ครับ.... แต่อาณาจักรทูรูสก็เป็นอาณาจักรที่น่าสนใจอยู่ในเรื่องว่าถ้าอยากจะท่องเที่ยว ก็มีภูมิประเทศที่น่าสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน พวกเราเป็นอาณาจักรการรบ มีป้อมปราการสวยๆ เยอะอยู่ ไม่รู้ว่าข้าจะภูมิใจดีหรือเปล่า" ซาโก้พูดไปยิ้มไป
“ข้าเคยอ่านในหนังสือมากมาย ข้ารู้เรื่องต่างๆ ผ่านทางหนังสือ ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยออกไปไหนนอกอคาเดียเลย จนตอนนี้เอง ในขณะที่ทุกคนที่นี่อาจเข้าไปบัตเตอร์เวิร์ดบ้าง แต่ข้ายังไม่เคยไปเลย" ราชินีน้อยตรัสด้วยน้ำเสียงเหงาๆ ซาโก้รู้สึกว่าพระองค์ก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง อายุเท่ากับมิเชล่าจริงๆ กำลังเป็นวัยรุ่นอยากใช้ชีวิตที่สนุกสนาน แต่ด้วยชะตาที่เกิดมาอยู่ในราชวงศ์ ทำให้พระองค์ไม่สามารถทำอย่างใจต้องการได้เลย
“แล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ให้ผู้ใดพาไปเที่ยวในบัตเตอร์เวิร์ดบ้างล่ะครับ" ซาโก้เริ่มพูดปนเปคำราชาศัพท์กับคำสุภาพธรรมดา ยังไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เหมาะสมดี
“ข้าเคยขอตั้งหลายครั้งแล้ว ท่านจอมพลเกลบอกว่ามันเป็นอันตรายต้องให้นักรบไปคุ้มกันหลายคน ข้าเลยไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบากอะไร ก็อยู่แบบนี้ต่อไปนี่" ราชินีกล่าว
“นักรบทุกคนที่นี่รักพระองค์มาก หากเป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ยิ้มหรือมีความสุข ทุกคนยอมทำอยู่แล้วครับ" ซาโก้พูด "และข้าด้วยเช่นกัน" เขาพูดคำหลังเบาลง แต่เหมือนคำพูดจะเข้าหูองค์ราชินีแห่งอคาเดีย พระองค์ยิ้ม
“ขอบคุณท่านมาก ทุกคนที่นี่ใจดีกับข้าจริงๆ อย่างที่ท่านเห็น ที่นี่ทุกคนเป็นคนดี ท่านก็เป็นคนดี"
คำว่าคนดีเป็นสิ่งที่ซาโก้แทบไม่เชื่อว่าจะได้ยินใครกล่าวถึงตนเอง เพราะเขาทำตัวเป็นอันธพาลมาตลอดหนึ่งปีที่โดโบร่า แม้ว่าก่อนหน้านั้น สมัยเขายังเรียนอยู่ที่สถาบันอาราเมอิสต์ กลุ่มของเขาก็ได้ชื่อว่าทำตัวเกเรมากจนไม่สามารถเรียกได้ว่านักรบผู้ขาวสะอาด
“เชื่อเถอะท่านซาโก้ ท่านเป็นนักรบที่ดีและเก่งกาจ หากเราสามารถกลับไปอยู่ที่อคาเดียได้ ข้าก็อยากให้ท่านอยู่เป็นนักรบที่นี่ต่อไป แต่ท่านไม่ได้เป็นนักรบผู้ควรจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้นานเท่าใด ข้าได้แต่หวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันนานเท่านาน"
“ถ้าหากที่อคาเดียยังต้องการข้า ข้าก็ยินดีจะอยู่ครับ ทูรูสมีนักรบมากมาย ไม่ได้ต้องการคนอย่างข้าซักเท่าไหร่"
“ท่านจะได้กลับไปยิ่งใหญ่ที่ทูรูสอย่างแน่นอน ข้ารับรอง"
“ถือว่าที่พระองค์พูดเป็นพรแด่ข้าแล้วกัน" ซาโก้รับคำยิ้มๆ
การสนทนาเป็นไปเรื่อยเปื่อยระหว่างองค์ราชินีและซาโก้ เขาเล่าเรื่องที่พระองค์อยากรู้เกี่ยวกับทูรูส และพระองค์ก็พูดถึงชีวิตในวัยเด็กที่อคาเดียบ้าง
“เชย์น่ะ สมัยเด็กๆ เขาร้องไห้เก่งมากเลยนะ" พระองค์อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงชายอีกคนในห้อง
“ทีอา ท่านอย่ามาเผาข้าให้คนอื่นฟังอย่างนี้สิครับ" เชย์กัสรีบหันมาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ" ซาโก้หัวเราะ ทำให้เชย์กัสมีท่าทางจะโกรธมากขึ้น
“เฮ้ย! เจ้าไม่มีสิทธิมาหัวเราะข้านะ"
“เรื่องจริงนี่เชย์... เนี่ยตอนเด็กๆ พวกเราเคยเล่นซ่อนแอบกัน มีข้ากับเชย์แล้วก็มิเชล่า แล้วเชย์ไปติดอยู่ในปล่องควัน ออกมาไม่ได้ น่าสงสารมากที่เขาต้องทนควันจากห้องครัวจนตัวดำด้วยฝุ่นควัน" ในระหว่างเล่าองค์ราชินีทีอามองไปทางเชย์กัสตลอดเวลา
ซาโก้เห็นว่าแววตาของพระองค์นั้นแฝงไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ซับซ้อนต่อหนุ่มน้อยผมสีเงิน เขารู้ว่าทั้งสองได้เติบโตมาด้วยกันและได้ผ่านเรื่องราวเลวร้ายในการล่มสลายของอาณาจักรมาด้วยกัน เมื่อทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็อาจมีความรู้สึกดีต่อกันเกินกว่าฐานะองค์ราชินีแห่งอาณาจักรกับองครักษ์พิทักษ์บัลลังค์ ซึ่งซาโก้นั้นถือว่าหากเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ นั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับหนุ่มน้อยเชย์กัสอย่างมากทีเดียว เพราะนักรบมิอาจเอื้อมต่อราชวงศ์ผู้สูงส่งได้ ตามที่ซาโก้ได้รับการปลูกฝังมาอย่างเคร่งครัด
…....................
….........
THE TALENT บทที่ 5 : ผิวหนังของอสูร
จอมคนจุติสวรรค์พันธุ์นักรบ
ศึกแรก ปฐมบทแห่งการพบกันของนักรบผู้ยิ่งใหญ่
บทที่ 5 : ผิวหนังของอสูร
เป็นเวลาหนึ่งเดือนเท่านั้นที่ซาโก้ ไวทอน ได้มาอาศัยอยู่ในกองกำลังของนักรบพลัดถิ่น อคาเดีย แต่ความสนิทสนมของซาโก้ที่มีต่อทุกคนรอบตัวที่นี่นั้นราวกับก่อกำเนิดมาเป็นเวลาหลายปี เนื่องจากที่นี่เป็นกองกำลังนักรบที่เป็นกันเองอยู่กันเหมือนบ้าน และเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของซาโก้ที่เป็นคนเข้ากับสังคมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ซาโก้เองนั้นก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขนาดนี้ ด้วยความที่เขามักจะวางท่าเหมือนคนเกเรตั้งแต่ท่าเดินกร่างอย่างนักเลง วิธีการมองหน้าคนอื่น การพูดจาด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังโวยวายและตัดเสียงคำสั้นๆ กระนั้นคนที่นี่ก็ยอมรับเขาค่อนข้างมากในฐานะที่ซาโก้เป็นนักรบผู้เป็นความหวังของอคาเดียคนหนึ่ง ความเป็นอยู่ของซาโก้ที่นี่ก็รู้สึกอยู่สบายกว่าที่โดโบร่า รวมถึงการที่ต้องคอยระแวงระวังว่าจะมีใครมาดักท้าตีท้าต่อยหรือเปล่าก็ลดน้อยลงไป มีแต่ความรู้สึกอยากออกไปสู้กับศัตรูข้างนอกนั่นเร็วๆ
ช่วงนี้ซาโก้กำลังกังวลถึงความล่าช้าในการเดินทางของเพื่อนๆ จากทูรูสที่นัดหมายกันไว้ ซาโก้คิดว่าพวกเขาคงไม่สามารถหาหมู่บ้านของกองกำลังแห่งนี้พบหรือเปล่า แต่หากเดินทางมาในทางที่ถูกต้องในด้านหน้าของกองกำลัง ก็จะมองเห็นทั้งหมู่บ้านได้ไม่ยากอย่างที่ซาโก้เห็นเมื่อนั่งรถบรรทุกของคอนซิลเข้ามาวันแรก เขาจึงคิดอยู่หลายอย่างในใจ ซึ่งความกระวนกระวายนี้ซาโก้ก็ไม่ได้บอกใคร สายตาของเขามองไปที่ทางเข้าด้านหน้าของหมู่บ้านอยู่เสมอ แต่วูฟกลับรู้ถึงความกังวลนี้ได้อย่างไม่ยากนัก ขณะที่ซาโก้กำลังเล่นโยนลูกหินกับเด็กๆ อยู่บนลานใกล้กับหน้าหมู่บ้าน ซึ่งลูกหินของซาโก้โดนเด็กๆ โยนหินของตัวเองใส่ กระเด็นออกไปไกล ซาโก้กลับไม่สนใจเพราะมัวแต่มองไปทางอื่น วูฟเดินเข้ามาในวงเล่นของเด็กๆ ตบหลังซาโก้ไปทีหนึ่ง
“อย่ามัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไป ในสถานการณ์ศึกประชิดเราอย่างนี้ ถ้าเหม่อลอยบ่อยไปจะไม่ดี ไม่สมกับความเป็นนักรบเลยนะ"
ซาโก้มองหน้าวูฟอย่างงงๆ วูฟยิ้มและพยักหน้าให้ก่อนจะเดินจากไป ในตอนนั้นเด็กๆ ก็ตะโกนเรียก "พี่ซาโก้!” ให้กลับมาสนใจกับเกมการละเล่นต่อ
หลังจากวันที่พวกซาโก้ปะทะกับพวกกอยส์ที่ประตูด้านหลัง บริเวณทุ่งเชกาด้า มีการออกลาดตระเวณรอบๆ ประตูทุกวัน แต่พบกอยส์เพียงบางครั้ง ซึ่งก็มีการปะทะกันบ้างแต่ยังไม่มีผู้ใดบาดเจ็บจนถึงตาย
เพราะมาอยู่ที่กองกำลังกอบกู้อคาเดียจนครบเดือนนั่นเอง ซาโก้ก็ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมายในขณะที่เวลาผ่านไปวันๆ อย่างไม่ได้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากนัก สิ่งพิเศษสำหรับซาโก้ในช่วงสองสามวันมานี้คือเขาได้รับสั่งจากองค์ราชินีทีอาร่า อินซาร์ เดอ อคาเดีย ผู้มีพระชนมายุน้อยกว่าซาโก้หนึ่งปี ให้เขาเข้าเฝ้าในเขตพระตำหนักซึ่งเป็นอาคารบ้านพักที่มีขนาดใหญ่กว่าหลังอื่นๆ และตั้งอยู่เป็นศูนย์กลาง อาคารพระตำหนักส่วนหน้าเป็นห้องประชุมของนักรบชั้นสูงและเหล่าเสนาธิการฝ่ายในราชวัง ซึ่งห้องนี้ซาโก้เห็นวูฟเข้าไปทุกวันอยู่แล้ว แต่ในส่วนหลังที่เป็นเขตต้องห้ามนั้น ซาโก้ไม่เคยได้เฉียดกรายเข้าไปเลย ไม่เคยแม้แต่จะคิด เนื่องจากเขาได้รับการอบรมมาในครอบครัวและสถาบันนักรบในเรื่องการวางตัวต่อองค์กษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรของเขาเองหรืออาณาจักรไหนๆ ก็ตาม
…...............
….............
ซาโก้ได้เห็นว่าพระตำหนักแห่งนี้ไม่ใช่ที่ดูโอ่อ่าหรูหราอลังการเหมือนในพระราชวังแห่งนครหลวงทูรูสเลย หากแต่เป็นเพียงบ้านที่มีเครื่องเรือนทำด้วยไม้ออกแบบอย่างธรรมดาทั่วไป ทั้งเก้าอี้ที่ทรงนั่งก็เป็นเก้าอี้ธรรมดา ซึ่งซาโก้ก็เข้าใจดีว่าเนื่องจากพลัดจากปราสาทราชวังในถิ่นฐานบ้านเกิด พระองค์จึงจำเป็นต้องอยู่อย่างสามัญชนคนธรรมดา เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อย่างที่ซาโก้ไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอจริงๆ และการที่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามกับองค์ราชินีแห่งอคาเดียโดยไม่ต้องย่อเข่าข้างหนึ่งอย่างที่ทำที่ทูรูส ก็เป็นสิ่งแปลกใหม่มากๆ
“ข้าไม่ชอบคุยอย่างพวกกษัตริย์อาณาจักรอื่นเท่าไหร่หรอกนะ ท่านซาโก้" พระองค์เริ่มสนทนา
ห้องที่พระองค์ใช้เป็นห้องสำหรับว่าราชการเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าห้องส่วนกลางของบ้านแต่ละหลัง มีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ทรงกลมและเก้าอี้ไม้ล้อมรอบ หน้าต่างบานสูงเปิดกว้างรับลมแผ่วๆ ในช่วงบ่าย ก่อนที่อากาศจะเริ่มหนาวตามลักษณะภูมิอากาศที่ซาโก้พบเจอมาตลอดทั้งเดือน ภายในห้องมีพระพี่เลี้ยงซึ่งเป็นผู้หญิงอ้วนหน้าตาอิ่มเอิบ นั่งอยู่ใกล้ประตูทางที่จะเชื่อมสู่ด้านหลังที่เป็นห้องบรรทมของพระองค์ มีเชย์กัส หนุ่มน้อยผมสีเงินยืนเท้าหน้าต่างโดยลอบมองมาทางองค์ราชินีผู้เยาว์และซาโก้บ้างเป็นบางครั้ง เจนนิเฟอร์ที่ซาโก้เพิ่งรู้ว่าเธอสนิทกับองค์ราชินีและเข้ามาที่นี่ได้บ่อยๆ เดินไปเดินมาเข้าออกห้องครัวของพระตำหนัก มีเสียงแม่ครัววังหลวงซึ่งเป็นหญิงชราเสียงดุดังออกมาจากครัว สภาพในห้องไม่ได้มีการบังคับให้ใครอยู่อย่างเป็นระเบียบนัก เป็นความแตกต่างอีกอย่างของสถานที่ว่าราชการเช่นนี้ของชนชั้นกษัตริย์
“ข้าพระองค์ก็เกรงว่าจะพูดหรือทำอะไรผิดไปพะยะค่ะ" ซาโก้พยายามทบทวนคำพูดที่จำเป็นต้องพูดให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ตามที่เคยได้รับการสั่งสอนมาจากสถาบันนักรบ
“ตามสบายเถอะท่านซาโก้ ท่านอายุเป็นพี่ข้าได้เลยนะ ไม่ต้องพูดอะไรแบบนั้นตลอดเวลาก็ได้ ข้าก็ออกจะเกร็งๆ เหมือนกัน" พระองค์ยิ้มอย่างอ่อนหวานงดงาม จนซาโก้รู้สึกลืมตัวว่ากำลังจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นราชินีอยู่
“แฮ่ม...” เสียงกระแอมหลอกๆ ของเชย์กัสดังมาจากตรงหน้าต่าง
“เชย์... ท่านไม่สบายเหรอ" องค์ราชินีหันไปถามเชิงตำหนิเพราะรู้ว่าเชย์กัสแกล้ง
“เปล่าคร้าบ...ทีอา สงสัยข้าแค่สำลักน่ะครับ" ซาโก้สังเกตว่าเวลาอยู่ในที่ส่วนตัว เชย์กัสคุยกับองค์ราชินีโดยไม่ได้เรียกพระองค์เป็นราชินีแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่ซาโก้รู้สึกไม่ค่อยชิน
เชย์กัสเป็นคนเดียวที่นี่ซาโก้เห็นว่ามีผมสีเงิน และเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะเงียบๆ เหมือนคาดัสแต่กลับมีนิสัยกวนประสาทเหมือนแดน อาจารย์ของเชย์กัสเป็นราชองครักษ์ประจำตัวกษัตริย์แห่งอคาเดียแต่เสียชีวิตในการรบกับไชกาเมสเช่นเดียวกับนักรบฝีมือดีของอคาเดียหลายท่าน ตอนนี้เชย์กัสที่ดูยังไม่พร้อมสำหรับการรับตำแหน่งราชองครักษ์ก็ต้องทำหน้าที่รักษาการณ์ตำแหน่งนี้ไปก่อน ซึ่งนอกจากเชย์กัสแล้วยังมีราชองครักษ์ฝ่ายหญิงที่ได้รับการแต่งตั้งไมได้เป็นทางการเท่าไหร่นั่นก็คือดีอาร์นักรบสาวที่ฝีมือดีที่สุดในหมู่ผู้หญิง โดยตำแหน่งนี้เดิมเป็นของแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง ดีอาร์เป็นคนพาซาโก้เข้ามาในพระตำหนักแต่สักพักเธอขออนุญาตออกไปคุยกับพวกนักรบชั้นสูงคนอื่นๆ ที่ห้องประชุม ทิ้งให้ซาโก้เข้าเฝ้าองค์ราชินีอยู่ตอนนี้
“ขอโทษที่ข้าไม่มีโอกาสได้คุยกับท่านเท่าไหร่นัก จริงๆ ข้าก็อยากพูดคุยเรื่องต่างๆ กับท่าน พี่เจนนี่บอกข้าว่าท่านมีเรื่องสนุกๆ เล่าเยอะแยะเลย ข้าเองก็อยากรู้ว่าที่ทูรูสเป็นยังไงบ้าง" องค์ราชินีตรัส
“เรื่องของข้าไม่สู้จะดีเท่าไหร่หรอกพะยะค่ะ เอ้ย! ครับ.... แต่อาณาจักรทูรูสก็เป็นอาณาจักรที่น่าสนใจอยู่ในเรื่องว่าถ้าอยากจะท่องเที่ยว ก็มีภูมิประเทศที่น่าสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน พวกเราเป็นอาณาจักรการรบ มีป้อมปราการสวยๆ เยอะอยู่ ไม่รู้ว่าข้าจะภูมิใจดีหรือเปล่า" ซาโก้พูดไปยิ้มไป
“ข้าเคยอ่านในหนังสือมากมาย ข้ารู้เรื่องต่างๆ ผ่านทางหนังสือ ตั้งแต่เด็กข้าไม่เคยออกไปไหนนอกอคาเดียเลย จนตอนนี้เอง ในขณะที่ทุกคนที่นี่อาจเข้าไปบัตเตอร์เวิร์ดบ้าง แต่ข้ายังไม่เคยไปเลย" ราชินีน้อยตรัสด้วยน้ำเสียงเหงาๆ ซาโก้รู้สึกว่าพระองค์ก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง อายุเท่ากับมิเชล่าจริงๆ กำลังเป็นวัยรุ่นอยากใช้ชีวิตที่สนุกสนาน แต่ด้วยชะตาที่เกิดมาอยู่ในราชวงศ์ ทำให้พระองค์ไม่สามารถทำอย่างใจต้องการได้เลย
“แล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ให้ผู้ใดพาไปเที่ยวในบัตเตอร์เวิร์ดบ้างล่ะครับ" ซาโก้เริ่มพูดปนเปคำราชาศัพท์กับคำสุภาพธรรมดา ยังไม่รู้จะพูดอย่างไรให้เหมาะสมดี
“ข้าเคยขอตั้งหลายครั้งแล้ว ท่านจอมพลเกลบอกว่ามันเป็นอันตรายต้องให้นักรบไปคุ้มกันหลายคน ข้าเลยไม่อยากให้ทุกคนต้องลำบากอะไร ก็อยู่แบบนี้ต่อไปนี่" ราชินีกล่าว
“นักรบทุกคนที่นี่รักพระองค์มาก หากเป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ยิ้มหรือมีความสุข ทุกคนยอมทำอยู่แล้วครับ" ซาโก้พูด "และข้าด้วยเช่นกัน" เขาพูดคำหลังเบาลง แต่เหมือนคำพูดจะเข้าหูองค์ราชินีแห่งอคาเดีย พระองค์ยิ้ม
“ขอบคุณท่านมาก ทุกคนที่นี่ใจดีกับข้าจริงๆ อย่างที่ท่านเห็น ที่นี่ทุกคนเป็นคนดี ท่านก็เป็นคนดี"
คำว่าคนดีเป็นสิ่งที่ซาโก้แทบไม่เชื่อว่าจะได้ยินใครกล่าวถึงตนเอง เพราะเขาทำตัวเป็นอันธพาลมาตลอดหนึ่งปีที่โดโบร่า แม้ว่าก่อนหน้านั้น สมัยเขายังเรียนอยู่ที่สถาบันอาราเมอิสต์ กลุ่มของเขาก็ได้ชื่อว่าทำตัวเกเรมากจนไม่สามารถเรียกได้ว่านักรบผู้ขาวสะอาด
“เชื่อเถอะท่านซาโก้ ท่านเป็นนักรบที่ดีและเก่งกาจ หากเราสามารถกลับไปอยู่ที่อคาเดียได้ ข้าก็อยากให้ท่านอยู่เป็นนักรบที่นี่ต่อไป แต่ท่านไม่ได้เป็นนักรบผู้ควรจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้นานเท่าใด ข้าได้แต่หวังว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันนานเท่านาน"
“ถ้าหากที่อคาเดียยังต้องการข้า ข้าก็ยินดีจะอยู่ครับ ทูรูสมีนักรบมากมาย ไม่ได้ต้องการคนอย่างข้าซักเท่าไหร่"
“ท่านจะได้กลับไปยิ่งใหญ่ที่ทูรูสอย่างแน่นอน ข้ารับรอง"
“ถือว่าที่พระองค์พูดเป็นพรแด่ข้าแล้วกัน" ซาโก้รับคำยิ้มๆ
การสนทนาเป็นไปเรื่อยเปื่อยระหว่างองค์ราชินีและซาโก้ เขาเล่าเรื่องที่พระองค์อยากรู้เกี่ยวกับทูรูส และพระองค์ก็พูดถึงชีวิตในวัยเด็กที่อคาเดียบ้าง
“เชย์น่ะ สมัยเด็กๆ เขาร้องไห้เก่งมากเลยนะ" พระองค์อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงชายอีกคนในห้อง
“ทีอา ท่านอย่ามาเผาข้าให้คนอื่นฟังอย่างนี้สิครับ" เชย์กัสรีบหันมาอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ" ซาโก้หัวเราะ ทำให้เชย์กัสมีท่าทางจะโกรธมากขึ้น
“เฮ้ย! เจ้าไม่มีสิทธิมาหัวเราะข้านะ"
“เรื่องจริงนี่เชย์... เนี่ยตอนเด็กๆ พวกเราเคยเล่นซ่อนแอบกัน มีข้ากับเชย์แล้วก็มิเชล่า แล้วเชย์ไปติดอยู่ในปล่องควัน ออกมาไม่ได้ น่าสงสารมากที่เขาต้องทนควันจากห้องครัวจนตัวดำด้วยฝุ่นควัน" ในระหว่างเล่าองค์ราชินีทีอามองไปทางเชย์กัสตลอดเวลา
ซาโก้เห็นว่าแววตาของพระองค์นั้นแฝงไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ซับซ้อนต่อหนุ่มน้อยผมสีเงิน เขารู้ว่าทั้งสองได้เติบโตมาด้วยกันและได้ผ่านเรื่องราวเลวร้ายในการล่มสลายของอาณาจักรมาด้วยกัน เมื่อทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็อาจมีความรู้สึกดีต่อกันเกินกว่าฐานะองค์ราชินีแห่งอาณาจักรกับองครักษ์พิทักษ์บัลลังค์ ซึ่งซาโก้นั้นถือว่าหากเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ นั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับหนุ่มน้อยเชย์กัสอย่างมากทีเดียว เพราะนักรบมิอาจเอื้อมต่อราชวงศ์ผู้สูงส่งได้ ตามที่ซาโก้ได้รับการปลูกฝังมาอย่างเคร่งครัด
…....................
….........