สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
อย่างแรกขอให้ตัดประเด็นเรื่อง โดนของ อะไรนั่นไป บ้านเมืองไทยจะงมงายไปถึงไหน ผมว่าก็โดนพระอาจารย์ชั่ว จีบหรืออื่นๆ นั่นแหละ ก็เหมือนมีแฟนก็โหยหาเป็นธรรมดา
อย่างที่สอง save หน้า Facebook ไว้ เป็นหลักฐาน
สาม ร้องเรียนไปเถรสมาคม (ซึ่งก็คงมีเรื่องอย่างนี้มากมาย)
สี่แจ้ง ตร. ไปเลยก็ได้นะ แต่น้องคุณคงโกรธคุณไปนาน
ห้า แจ้งพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงนั่นแหละ บอกว่าต้องทำอะไรกับพระพี่เลี้ยง และปลดปล่อยน้องคุณจากเรื่องอย่างนี้ ไม่งั๊นจะแฉกับสื่อ เพราะดูพระที่มีชื่อเสียงท่านก็ชอบออกสื่ออยู่ คงต้องเกรงเสียชื่ออยู่บ้าง
ผมไม่มีอคติต่อเพศที่สาม แต่การเอาเด็กมาเป็นเหยื่อนี่รับไม่ได้ ไม่ว่าจากเพศใดก็ตาม
อย่างที่สอง save หน้า Facebook ไว้ เป็นหลักฐาน
สาม ร้องเรียนไปเถรสมาคม (ซึ่งก็คงมีเรื่องอย่างนี้มากมาย)
สี่แจ้ง ตร. ไปเลยก็ได้นะ แต่น้องคุณคงโกรธคุณไปนาน
ห้า แจ้งพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงนั่นแหละ บอกว่าต้องทำอะไรกับพระพี่เลี้ยง และปลดปล่อยน้องคุณจากเรื่องอย่างนี้ ไม่งั๊นจะแฉกับสื่อ เพราะดูพระที่มีชื่อเสียงท่านก็ชอบออกสื่ออยู่ คงต้องเกรงเสียชื่ออยู่บ้าง
ผมไม่มีอคติต่อเพศที่สาม แต่การเอาเด็กมาเป็นเหยื่อนี่รับไม่ได้ ไม่ว่าจากเพศใดก็ตาม
ความคิดเห็นที่ 63
ผมเป็นผู้ชายชอบผู้ชายครับ
ผมอ่านแล้วรู้สึกเห็นใจเจ้าของกระทู้ แต่ผมรู้สึกว่าควรจะแยกประเด็นออกจากกันครับ
1. ประเด็นเรื่องพระอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับว่าพระอาจารย์ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม และควรจะมีการสอบสวนและดำเนินการทางกฏหมายให้ถึงที่สุด
2. ประเด็นเรื่องน้อง อันนี้ผมสันนิษฐานว่า ถ้าน้องไม่ชอบเพศเดียวกันตั้งแต่แรก ก็คงจะไม่ติดพระอาจารย์ขนาดนี้ครับ
ถ้าน้องเค้าไม่ชอบเพศเดียวกันแน่ๆ ถึงจะให้โดนกระทำชำเรามาจริง สุดท้ายเค้าก็ตอบความต้องการของเค้าได้เองครับ
ผมเองรู้จักลูกพี่ลูกน้องผ่านประสบการณ์คล้ายๆกัน แต่ในที่สุดเค้าก็รู้ว่าสิ่งที่ตอบโจทย์ในใจแน่ว่าคนที่เค้าต้องการมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นเพศหญิง ไม่ใช่เพศชาย เค้าเองก็ยุติความสัมพันธ์ที่ว่า แล้วเดินตามความต้องการของตัวเองครับ เป็นไปได้ว่าตัวน้องเองอาจจะรู้สึกอยู่ลึกๆ เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครเห็น จนได้พบกับพระอาจารย์และผ่านการพูดคุย, สัมผัสหรืออาจจะถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กันก็เป็นได้ แล้วตอบโจทย์ในใจครับ
หากจะประเมินด้วยพฤติกรรมว่าเป็นผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน เรื่องนี้ค่อนข้างดูได้ยากครับ เพราะคนเราก็มีบุคลิกหลายประเภท และผมเองก็มีเพื่อนที่ต่อให้ดูภายนอกอย่างไรก็ไม่รู้ นอกจากจะรู้จักกันไปนานๆแล้วพบว่าเพื่อนผมไม่สนใจในตัวผู้หญิงเลยซึ่งก็ต้องใช้เวลานานมาก จนถึงประเภทที่เห็นไกลลิบๆเป็นกิโลเมตรก็ยังรู้ได้ว่าไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแน่
เรื่องที่จะกีดกันไม่ให้ติดต่อพระอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับ แต่ผมคิดว่าควรจะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับเพศบรรพชิตที่จะมีความสัมพันธ์เชิงรักใคร่กับใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหรือเด็กหนุ่ม แต่สำหรับเรื่องเพศสภาวะของตัวน้องเอง ที่บ้านอาจจะต้องรอดูว่าเค้ารู้สึกพึงใจกับเพศเดียวกันแน่นอนหรือไม่ ซึ่งผลก็อาจจะออกได้หลายแบบ ที่บ้านก็ต้องเตรียมใจรับให้ได้ทุกแบบ
ถ้าถามว่าจะเปลี่ยนน้องเค้าให้กลับมาเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงได้หรือไม่ ถ้าน้องเค้าชอบผู้ชายจริงนะครับ ตอบเลยว่าไม่มีทางกลับมาได้ เรื่องพวกนี้ต่างประเทศเค้ามีบทวิจัยที่ชี้ว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องความแตกต่างในระดับพันธุกรรม พูดง่ายๆว่าเป็นกันตั้งแต่เกิด และเชื่อผมเถอะ การพยายามผลักดันให้เค้ากลับมาชอบเพศหญิงหรือกลับมาเป็นอย่างที่ที่บ้านอยากให้เค้าเป็นไม่เป็นผลดีหรอกครับ ลองคิดดูเล่นๆว่า การที่คนในบ้านที่เป็นคนที่ใกล้ชิดน้องเค้าที่สุด กลับไม่ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น มันจะทรมานมากแค่ไหน และนั่นสามารถผลักดันให้น้องเค้าทำอะไรได้บ้าง หรือต่อให้เค้ายอมกลับมาแสดงตัวเป็นผู้ชาย มีความสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่งงาน มีลูก ผมเชื่อว่าสุดท้ายเค้าต้องหาทางระบายความต้องการลึกๆในจิตใจแน่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และผลของการกระทำนั้นอาจจะทำให้เกิดทั้งปัญหาชีวิตและครอบครัวของน้องเค้าก็ได้นะครับ
สำหรับท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับทรรศนะของผม หรือรังเกียจผู้ชายที่ชอบผู้ชาย ก่อนจะ comment อะไร ขอให้ตระหนักไว้ว่าอย่างไรเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ขอบคุณครับ
PS. ควรจะพาน้องไปตรวจเลือดนะครับ หลังจากไปค่ายประมาณ 3 เดือน ผลเลือดถึงระบุได้ว่าเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่
(แก้ไขเนื้อความเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นครับ)
ผมอ่านแล้วรู้สึกเห็นใจเจ้าของกระทู้ แต่ผมรู้สึกว่าควรจะแยกประเด็นออกจากกันครับ
1. ประเด็นเรื่องพระอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับว่าพระอาจารย์ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม และควรจะมีการสอบสวนและดำเนินการทางกฏหมายให้ถึงที่สุด
2. ประเด็นเรื่องน้อง อันนี้ผมสันนิษฐานว่า ถ้าน้องไม่ชอบเพศเดียวกันตั้งแต่แรก ก็คงจะไม่ติดพระอาจารย์ขนาดนี้ครับ
ถ้าน้องเค้าไม่ชอบเพศเดียวกันแน่ๆ ถึงจะให้โดนกระทำชำเรามาจริง สุดท้ายเค้าก็ตอบความต้องการของเค้าได้เองครับ
ผมเองรู้จักลูกพี่ลูกน้องผ่านประสบการณ์คล้ายๆกัน แต่ในที่สุดเค้าก็รู้ว่าสิ่งที่ตอบโจทย์ในใจแน่ว่าคนที่เค้าต้องการมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นเพศหญิง ไม่ใช่เพศชาย เค้าเองก็ยุติความสัมพันธ์ที่ว่า แล้วเดินตามความต้องการของตัวเองครับ เป็นไปได้ว่าตัวน้องเองอาจจะรู้สึกอยู่ลึกๆ เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยให้ใครเห็น จนได้พบกับพระอาจารย์และผ่านการพูดคุย, สัมผัสหรืออาจจะถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กันก็เป็นได้ แล้วตอบโจทย์ในใจครับ
หากจะประเมินด้วยพฤติกรรมว่าเป็นผู้ชายที่ชอบเพศเดียวกัน เรื่องนี้ค่อนข้างดูได้ยากครับ เพราะคนเราก็มีบุคลิกหลายประเภท และผมเองก็มีเพื่อนที่ต่อให้ดูภายนอกอย่างไรก็ไม่รู้ นอกจากจะรู้จักกันไปนานๆแล้วพบว่าเพื่อนผมไม่สนใจในตัวผู้หญิงเลยซึ่งก็ต้องใช้เวลานานมาก จนถึงประเภทที่เห็นไกลลิบๆเป็นกิโลเมตรก็ยังรู้ได้ว่าไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแน่
เรื่องที่จะกีดกันไม่ให้ติดต่อพระอาจารย์ ผมเห็นด้วยครับ แต่ผมคิดว่าควรจะชี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมสำหรับเพศบรรพชิตที่จะมีความสัมพันธ์เชิงรักใคร่กับใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาวหรือเด็กหนุ่ม แต่สำหรับเรื่องเพศสภาวะของตัวน้องเอง ที่บ้านอาจจะต้องรอดูว่าเค้ารู้สึกพึงใจกับเพศเดียวกันแน่นอนหรือไม่ ซึ่งผลก็อาจจะออกได้หลายแบบ ที่บ้านก็ต้องเตรียมใจรับให้ได้ทุกแบบ
ถ้าถามว่าจะเปลี่ยนน้องเค้าให้กลับมาเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงได้หรือไม่ ถ้าน้องเค้าชอบผู้ชายจริงนะครับ ตอบเลยว่าไม่มีทางกลับมาได้ เรื่องพวกนี้ต่างประเทศเค้ามีบทวิจัยที่ชี้ว่าการเป็นเกย์เป็นเรื่องความแตกต่างในระดับพันธุกรรม พูดง่ายๆว่าเป็นกันตั้งแต่เกิด และเชื่อผมเถอะ การพยายามผลักดันให้เค้ากลับมาชอบเพศหญิงหรือกลับมาเป็นอย่างที่ที่บ้านอยากให้เค้าเป็นไม่เป็นผลดีหรอกครับ ลองคิดดูเล่นๆว่า การที่คนในบ้านที่เป็นคนที่ใกล้ชิดน้องเค้าที่สุด กลับไม่ยอมรับในสิ่งที่เค้าเป็น มันจะทรมานมากแค่ไหน และนั่นสามารถผลักดันให้น้องเค้าทำอะไรได้บ้าง หรือต่อให้เค้ายอมกลับมาแสดงตัวเป็นผู้ชาย มีความสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่งงาน มีลูก ผมเชื่อว่าสุดท้ายเค้าต้องหาทางระบายความต้องการลึกๆในจิตใจแน่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และผลของการกระทำนั้นอาจจะทำให้เกิดทั้งปัญหาชีวิตและครอบครัวของน้องเค้าก็ได้นะครับ
สำหรับท่านใดที่ไม่เห็นด้วยกับทรรศนะของผม หรือรังเกียจผู้ชายที่ชอบผู้ชาย ก่อนจะ comment อะไร ขอให้ตระหนักไว้ว่าอย่างไรเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ขอบคุณครับ
PS. ควรจะพาน้องไปตรวจเลือดนะครับ หลังจากไปค่ายประมาณ 3 เดือน ผลเลือดถึงระบุได้ว่าเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่
(แก้ไขเนื้อความเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นครับ)
ความคิดเห็นที่ 50
สวัสดีครับ
เด็กควรได้รับการพบจิตแพทย์เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่เด็กกำลังเผชิญอยู่ครับ เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่หลงไหลอะไรได้ง่ายครับ และเป็นวัยที่หายออกจากบ้านมากที่สุดครับ การพบจิตแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่งครับ ทั้งนี้ การพบจิตแพทย์มิได้หมายความว่าเด็กเป็นจิตเภทนะครับ
สู้ๆ ครับ.
แนะนำ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ครับ http://www.smartteen.net/contact_address.php
เด็กควรได้รับการพบจิตแพทย์เพื่อวิเคราะห์สิ่งที่เด็กกำลังเผชิญอยู่ครับ เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่หลงไหลอะไรได้ง่ายครับ และเป็นวัยที่หายออกจากบ้านมากที่สุดครับ การพบจิตแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยคลี่คลายปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่งครับ ทั้งนี้ การพบจิตแพทย์มิได้หมายความว่าเด็กเป็นจิตเภทนะครับ
สู้ๆ ครับ.
แนะนำ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ครับ http://www.smartteen.net/contact_address.php
ความคิดเห็นที่ 1
อันดับแรกก็ควรพาน้องไปตรวจร่างกายก่อน
เผื่อกรณีเลวร้ายสุด ๆ คือโดนกระทำชำเรา จะได้แจ้งความแล้วหาทางป้องกันโรคติดต่อ
แล้วก็ควรพาไปพบจิตแพทย์ เพราะบอกตรง ๆ ดูจากการกระทำของครอบครัวคุณ
ยิ่งจะทำให้เด็กเตลิดไปไกลมากกว่า พวกคุณเอาแต่ห้าม แต่ไม่ยอมทำความเข้าใจเลย
สุดท้ายถ้าน้องเค้าก็เบี่ยงเบนจริงก็อย่าไปฝืนครับ
สังคมเด๋วนี้เปิดกว้าง เพศที่สามมีความสามารถและเป็นคนดีเยอะแยะครับ
เผื่อกรณีเลวร้ายสุด ๆ คือโดนกระทำชำเรา จะได้แจ้งความแล้วหาทางป้องกันโรคติดต่อ
แล้วก็ควรพาไปพบจิตแพทย์ เพราะบอกตรง ๆ ดูจากการกระทำของครอบครัวคุณ
ยิ่งจะทำให้เด็กเตลิดไปไกลมากกว่า พวกคุณเอาแต่ห้าม แต่ไม่ยอมทำความเข้าใจเลย
สุดท้ายถ้าน้องเค้าก็เบี่ยงเบนจริงก็อย่าไปฝืนครับ
สังคมเด๋วนี้เปิดกว้าง เพศที่สามมีความสามารถและเป็นคนดีเยอะแยะครับ
ความคิดเห็นที่ 12
ผมแนะนำจิตแพทย์เลยครับ รีบจัดการเลยยิ่งดี ยิ่งปล่อยไว้นานจะแก้ยากนะผมว่า
ขอติดเรทนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอติดเรทนิดนึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
ทำยังไงดี น้องชายมีแนวโน้มเบี่ยงเบนทางเพศ
ก่อนอื่น อยากขอเล่าเกริ่นเรื่องราวความเป็นมาก่อน
คือดิฉันมีน้องชาย อายุ 12 ปี กำลังขึ้นชั้นม.1 ก่อนหน้านี้ เป็นเด็กร่าเริงช่างพูด ค่อนข้างเซี้ยว ซน
ชอบเล่นกีฬา ชอบเล่นเกมส์ต่อสู้ มีชอบเด็กผู้หญิงร่วมชั้น พูดได้ว่าเป็นเด็กผู้ชายปกติทั่วไป
แต่ช่วงปิดภาคเรียนที่ผ่านมา ดิฉันบังเอิญได้เห็นโครงการหนึ่ง นั่นคือ โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน 2556 ของโรงเรียนวัดครึ่งใต้วิทยา จ.เชียงราย
http://www.ktwschool.com/NP-6751-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99.html
และเนื่องด้วยเป็นโรงเรียนที่พระที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับถือ เป็นหนึ่งในผู้ดูแลจัดการ จึงสนใจ
อีกทั้งเป็นการบวชเรียนช่วงสั้นๆ คือประมาณ 15 วัน ( 29 มี.ค- 11 เม.ย. 2556)
ดิฉันจึงพาน้องชายไปสมัคร และวางแผนไปรับกลับวันที่ 12 เม.ย.
แต่ประมาณวันที่ 6 ทางโรงเรียนติดต่อกลับมาว่า สามเณรรุ่นนี้จะสึกก่อนกำหนดโครงการ นั่นคือจะปิดโครงการในวันที่ 7 มี.ค
แต่พอคุยกับน้องชาย น้องบอกจะขอบวชต่อ และตามพระอาจารย์ (หรือพระพี่เลี้ยง) ไปอยู่อีกวัดหนึ่ง
ทางดิฉันและครอบครัวก็เห็นว่า ไปอยู่กับพระอาจารย์ก็คงไม่เป็นไร เลยให้เป็นไปตามกำหนดเดิม
เย็นวันที่ 11 เมษายน ดิฉันและคุณพ่อ ก็ขับรถจากกรุงเทพขึ้นไปเชียงราย เพื่อไปรับน้องกลับ
เพราะช่วงสงกรานต์ วางแผนจะไปเที่ยวสงกรานต์ที่หัวหินพร้อมกันทั้งครอบครัว
พอไปถึงวัด ปรากฏน้องชายของดิฉัน ไม่ได้แสดงอาการดีใจที่เห็นหน้าพวกเราที่ขึ้นไปรับ แต่กลับทำหน้าซึม เหมือนจะร้องไห้
ซ้ำยังมีการขอจะอยู่ต่อจนถึงหลังสงกรานต์ แต่คุณพ่อยืนกรานจะรับกลับ
เค้าเริ่มร้องไห้ และซึมเศร้า
ตลอดช่วงการไปเที่ยวหัวหิน ไม่ว่าจะพาไปทานอาหารอร่อย พาไปล่องเรือ เข้าถ้ำ หรือไปเที่ยวที่ไหนๆ ก็ดูไม่ร่าเริงเหมือนก่อน
เหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ และพยายามขอโทรศัพท์หาพระอาจารย์ตลอด
แต่ทางดิฉันและครอบครัวก็คิดว่า คงเพราะเหงาที่ต้องจากเพื่อน หรือพระอาจารย์ที่ดูแล เลยชะล่าใจ และคิดว่าไม่นานก็หาย
หากนั่นคือความคิดที่ตื้นเกินไป
เพราะยิ่งกลับมา ก็ยิ่งซึมหนัก และร่ำร้องอยากกลับไปบวชต่อ อยากกลับไปหาพระอาจารย์
บางครั้งก็หลบไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า สิ่งที่เคยชอบก็ไม่ชอบ
เพื่อนๆนักเรียนที่สนิท ก็ไม่ติดต่อ ไม่ไปเจอ ทั้งๆที่ แต่ก่อนจะต้องนัดเจอ หรือขอไปเล่นบ้านเพื่อนคนนั้น คนนี้ตลอด
แถมพฤติกรรมก็เปลี่ยน จากเคยเชื่อฟัง ก็กลายเป็นก้าวร้าว ท้าทายผู้ใหญ่
แถมมีอาการเป็นไข้อ่อนๆ ตลอด
ดิฉันเลยริบมือถือเพื่อกันไม่ให้เขาติดต่อกับหระอาจารย์
(ที่ผิดวิสัยคือ ตัวพระอาจารย์ก็ติดต่อกลับมาหาน้องชายดิฉันตลอด
คืนที่ริบโทรศัพท์ เขาก็โทรมาหา แต่ดิฉันบอกปัดว่าน้องนอนแล้วให้ติดต่อมาทีหลัง)
โดยตอนแรกก็เพื่อให้เขาเลิกติด สักพักก็คิดว่าหาย แต่กลับยิ่งเป็นหนัก โวยวาย และร้องห่มร้องไห้ว่าริบของเขาทำไม
อาการดูจะแย่ขึ้นเรื่อยๆ จนพ่อดิฉันดัดสินใจสั่งห้ามติดต่อพระอาจารย์ ห้ามเจอเด็ดขาด และจะไม่พาไปหาอีกเลย
และโทรไปหาพระอาจารย์ท่านนั้นต่อหน้าน้องชาย และบอกห้ามติดต่อกลับมาอีกเด็ดขาด
ปฏิกิริยาที่น้องแสดงออกมาทำให้พวกเราช็อคมาก
เขาตะโกนว่า พ่อดิฉันใจร้าย มากีดกันเขาทำไม แล้วร้องห่มร้องไห้ปาดจะขาดใจ
ดิฉันกับพ่อรู้สึกทะ
ถ้าขาดเขาไปจะตายไหม จะอยู่ไม่ได้เลยใช่ไหม
น้องดิฉันพยักหน้า ทั้งน้ำตานองหน้า
ดิฉันงงมาก มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว แต่เนื่องด้วยอีกฝ่ายเป็นพระ จึงพยายามไม่คิดในทางอกุศล
แต่ก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ และตกลงกันในครอบครัว ที่จะพยายามกันให้น้องชายหลุดออกมาให้ได้
จนกระทั่งวันนี้ ดิฉันลองเช็คเฟสบุ๊คของน้องชาย และปรากฏได้เห็นเฟสบุ๊คของพระอาจารย์รูปนั้น
เขาไม่ใช่ผู้ชายแท้!!!
ดิฉันเห็นรูปมากมาย ที่ใส่วิกผมผู้หญิง หรือแม้กระทั่งสวมใส่ชุดผู้หญิง
มีทั้งรูปโอบกอดเด็กผู้ชาย (ที่น่าจะเคยไปบวชที่วัดนั้น)
แม้กระทั่งคำพูดจากที่พิมพ์ ก็ส่อชัด
ซ้ำร้าย มีการโพสรูปน้องชายดิฉัน สี่ห้ารูปติดๆ และพิมพ์ข้อความว่า "คิดถึงเด็กคนนี้จัง"
และโพสสเตตัส ทำนอง คิดถึงคนไกล ห่วงหา รอเธอจนกว่าจะกลับมา...อะไรเทือกนี้
!!!!!!!!!!!!!?????????????
คนแบบนี้ได้รับคัดเลือกให้มาเป็นพระอาจารย์ หรือพระพี่เลี้ยงสอนสามเณรเด็กได้อย่างไร??!!!
ซ้ำร้าย ตอนที่ดิฉันและครอบครัวขึ้นไปรับน้อง เขาบอกว่าตัวเองเป็นรองเจ้าอาวาส ที่วัดนั้นด้วย
ดิฉันผิดหวัง เสียใจ ช็อค และกลุ้มใจมาก
ไม่รู้จริงๆ ว่าตลอดเวลาที่น้องชายดิฉันอยู่ที่นั่น โดนอะไรบ้าง
เคยลองถามๆ ก็บอกว่านอนห้องเดียวกับพระอาจารย์ตลอด!!
เวลาอยู่ที่วัด(ของพระอาจารย์รูปนี้) ก็ไม่ต้องตื่นไปบิณฑบาต ฉันข้าวเย็น เล่นเกมส์ ดูทีวีได้ และพระอาจารย์พาไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ตลอด)???!!
ดิฉันเสียใจ และโทษตัวเองอย่างมาก และคิดว่าส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของตัวเองที่ไว้วางใจเกินไป
คิดว่าสถานที่ที่จะช่วยขัดเกลาน้องของเราให้เป็นเด็กดี รู้จักช่วยตัวเอง และมีสติมีสมาธิมากขึ้น กลับให้ผลหน้ามือเป็นหลังเท้า
ตอนนี้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้
เด็กอายุสิบสอง
ที่ตอนนี้เหมือนคนโดนของ...
โดนยา...
หรือโดนล้างสมอง...
เอาแต่ร่ำร้องอยากไปหาเขาคนนั้น อยากไปเจอเขาคนนั้น
ที่แย่ที่สุดคือ เขาคนนั้นจะลงมากรุงเทพพรุ่งนี้
และน้องดิฉัน ก็ใจจดจ่อ ร่ำร้องอยากไปเจอ
ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ
น้องชายดิฉันจะยังกลับมาเป็นแบบเดิมได้ไหม
รบกวนผู้รู้ หรือผู้สามารถให้คำแนะนำได้ช่วยแนะทีเถอะค่ะ
ทั้งครอบครัวกลุ้มใจมากๆ จริงๆ
ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ