คุณคิดว่า..ที่ผ่านมาได้ "ใช้ชีวิต" คุ้มหรือเปล่า?
โดย : TonyMao_NK51
E - Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
" พวกเขาจากไปแล้ว คนแล้ว คนเล่า "
" พวกเขาไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ "
" แต่ละคนย่อมมีหนทางของตนเองเสมอ แม้รู้จักกันวันนี้ วันหน้าใช่จะไม่ลาจาก "
" ทว่า..แม้เข้าใจ แต่ความโดดเดี่ยวกลับมีอานุภาพกัดกินจิตใจอย่างเหลือคณา "
หลายปีมานี้...ผมเฝ้ามองผู้คน ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก วันแล้ว ปีเล่า ด้วยความรู้สึกคล้ายกับตนเองเป็นผู้มีอายุยืน คล้ายอมนุษย์ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ
ทำไมน่ะหรือ?...เขาว่าความทุกข์ของคนอายุยืนก็ดี ผู้เป็นอมตะก็ดี มันคือการที่ต้องดูคนที่รู้จักกัน รายแล้วรายเล่า ค่อยๆ ทยอยจากไป
แต่ผมก็ไม่ใช่คนเป็นอมตะ และก็ยังไม่แก่ขนาดนั้น แล้วอะไรเล่าเป็นสาเหตุ?
---------------------------------
หลายคนมักจะถามผมเสมอว่า "ชีวิตคนจะคิดอะไรนักหนา? แค่เกิดมาครบ 32 ได้เรียนจบตั้งปริญญาตรี มีงานเป็นหลักแหล่งทำก็ดีแ้ล้ว"
บางคนก็อาจจะชมว่า "คุณเป็นคนหัวดีนะ อ่านอะไรแล้วสรุปเรื่องให้เข้าใจได้ง่ายดี"
หรืออะไรอีกต่อหลายประการ แน่นอนว่า คำชมเหล่านี้ ไม่เคยทำให้ผมพอใจได้เลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม..ผมกลับคิดว่ามันคือคมมีด คือหนามแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปส่วนลึกของจิตใจเสียมากกว่า
ทำไมน่ะหรือ?
เพราะผม "ไม่ได้ชอบในสิ่งที่เป็น..หรือสิ่งที่ทำได้อยู่ ณ วันนี้เลยแม้แต่นิดเดียว"
ตรงกันข้าม..ผมโหยหาในสิ่งที่อยากเป็น แต่ "ไม่มีวันได้เป็น" อยู่ตลอด
----------------------------
ผมแค่อยากมีความรู้สึก..ของความเป็น "ลูกผู้ชายเต็มตัว" ก็เท่านั้น จนบางครั้ง อาจจะมองอะไรที่ดูขวางโลกไปบ้าง โดยเฉพาะการชื่นชมพวกที่มีเรื่องชกต่อย ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาท ผมไม่รู้ หรือถึงรู้ แต่บางทีก็ไม่สนใจหรอกว่าใครผิดหรือถูก สมควรหรือไม่สมควร
ผมรู้แค่ว่า "คนเหล่านี้ เป็นผู้ชายเต็มตัว" ตามที่ธรรมชาติพึงสร้าง ให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้ ต้องเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ การล่า การฆ่า ดังนั้นเพศชายจึงเป็นเพศศักดิ์สิทธิ์กว่าเพศอื่นๆ และความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องของอำนาจทางกายที่ได้รับ แต่มันต้องมาพร้อมภาระรับผิดชอบที่ต้องแบกไว้บนบ่าเสมอ
ซึ่งความรู้สึกนี้..ผมไม่เคยสัมผัสถึงมัน นับตั้งแต่จำความได้
-----------------------------
"ผมไม่เคยมีชีวิต อย่างที่คนเกิดเป็นเพศชายควรจะเป็น"
นับตั้งแต่จำความได้ ผมมีปัญหาทางกายภาพ อย่างน้อยก็สามประการ ประการแรก ผมมีอาการสายตาสั้น ต้องสวมแว่นสายตามาโดยตลอด เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ประการที่สอง ในวัยเด็ก ผมมักจะมีอาการหลอดลมหดตัว ทำให้หายใจไม่สะดวกอยู่เสมอ ถึงขนาดที่ต้องกินยาขยายหลอดลม แทบทุกครั้งที่เป็นหวัด ประการที่สาม ผมมีอาการผิดปกติทางสมองบางอย่าง กล่าวคือ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย จะช้ากว่าสมองและสายตาเสมอ ราว 1 - 2 วินาทีได้
เท่านี้ก็จบแล้ว..ว่าไหม?
ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงกลายเป็นเด็กที่อ่อนแอที่สุด ในหมู่เครือญาติเดียวกัน และมักถูกกรอกหูด้วยคำดูหมิ่นมาตลอด
"โตขึ้นมันต้องเป็นกระเทยแน่ๆ"
“หูตาแบบนี้ ไม่มีวันสู้ใครได้หรอก”
ผมไม่อาจยอมรับ แต่ก็ไม่อาจโต้ตอบได้ เพราะสังขารไม่เคยอำนวยให้ผมทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายสามารถทำ
ใช่ครับ "สู้กับใครก็แพ้เขา"
----------------------------
บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นเด็กเรียนก็ดีอยู่แล้ว มีอนาคตดี ความรู้รอบตัวเยอะ
แต่อยากให้รู้ว่า..สิ่งที่เป็นอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ผมเกลียดตัวเองมากที่สุด
ถามว่ามากขนาดไหน?..ครั้งหนึ่ง มีคนที่รู้จักกัน มาขอให้ติวแนวข้อสอบให้ ผมก็ช่วยๆ ไป มันก็ทำได้ ก็บอกผมหัวดี สรุปให้เข้าใจง่าย
"ถ้าเป็นไปได้ มีหัวสมองแบบนี้ก็ดีนะ" เขาว่าเช่นนั้น
แน่นอน ผมตอบว่า "ถ้าสลับร่างได้ จะให้อย่างไม่ลังเลเลย"
ทำไมน่ะหรือ?..ผมแค่อยากได้ร่างกายที่ไม่ต้องมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือสมรรถนะทางพละกำลัง
"ผมแค่อยากต่อสู้ได้ อยากรู้สึกว่าเป็นชายเต็มตัว ก็เท่านั้น"
เพราะถ้าทำไม่ได้?..ก็เป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ในร่างของเพศชายอันศักดิ์สิทธิ์เหนือเพศอื่นๆ เท่านั้นเอง
ผมไม่ต้องการเป็น “สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์” อย่างที่เป็นอยู่แบบนี้
----------------------------
"จะเห็นผิดเป็นถูกอะไรนักหนา คนพวกนั้นก็แค่ซิ่งกวนเมือง จี้ปล้น ฆ่าคนตาย ตีกันไปวันๆ"
ผมรู้อยู่เสมอ ว่าสิ่งที่พวกกวนเมืองเหล่านั้นทำ มันผิดทั้งกฏหมาย และผิดทั้งคุณธรรม แต่สิ่งที่ผมอดหลงไหลในวิถีของพวกเขาไม่ได้..นั่นคือการใช้ชีวิต ที่ผมมองว่าคุ้มค่า กับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะเกิดเป็นเพศชายสักชาติหนึ่ง
"ได้ใช้ชีวิตโลดโผน ใช้แสดงออกถึงความกล้าบ้าบิ่นแบบนักรบ"
นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันทำอย่างพวกเขาได้ แล้วจะแปลกอะไร ที่ลึกๆ แล้ว ผมมักจะมองว่า คนเหล่านี้มีค่ากว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำไป
"อย่างน้อยมีเรื่องมันก็กล้าบวกกล้าสู้ แล้วเราทำอะไร? หนีหรือ?"
ศาสตร์แห่งการหนี สี่เคล็ด "พลิก พลิ้ว ลอด หลบ" แม้จะเป็นสิ่งเีดียวที่พอจะฝึกฝนได้ แต่นั่นกลับกลายเป็นความเจ็บปวดทางใจ ที่มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
-------------------------
"เราจะฝึกไปทำไมกัน?"
บางห้วงเวลา ผมมักจะรู้สึกท้อแท้ จนไม่อยากฝึกเคล็ดดังกล่าวอีกต่อไป เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นว่า..ผมปกป้องใครไม่ได้? จึงต้องฝึกเพื่อหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ไหนๆ ก็เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว..สารภาพไว้อย่าง มีคนบอกว่าผมเป็นพวกชอบเก็บตัว ไม่ค่อยยุ่งกับโลก เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ห่างๆ เท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่ว่ามานี้..มันน่าเจ็บปวดยิ่งกว่า
"ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระให้ใครเท่านั้น"
ผมเคยเป็นขนาดถึงกับฝันร้าย ว่าคนรอบตัวถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ โดยที่เราทำอะไรไม่ได้..บางครั้งแม้ยังไม่หลับ แค่รู้สึกสลึมสะลือ กลับเป็นภาพหลอน คนที่รู้จักกัน กำลังถูกย่ำยี
ผมกลายเป็นหวาดกลัว..ผมอาจกลัวตาย แต่ที่กลัวกว่า คือการมองเห็นคนที่รู้จักกัน สนิทกัน มีอันเป็นไปโดยที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ตัดปัญหาง่ายๆ "ไ่ม่ต้องผูกพัน ไม่ต้ิองสนิทชิดเชื้อ กับใครเลยดีกว่า"
เผลออีกที ผมก็กลายเป็น "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" ไปเสียแล้ว...จะอยู่ก็ไม่ไหว จะตายก็ไม่กล้า
"ถึงคิดดี แต่ไร้ประโยชน์ เพราะไร้ซึ่งความกล้าหาญ ช่างน่าเศร้า"
--------------------------------
มีบางคนบอกกับผมว่า "ไม่เหมาะกับทางโลก ไปบวชซะเถอะ"
แน่นอน..ผมมิใช่ผู้เลื่อมใสในศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมเบื่อหน่ายกระแสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้บนบานศาลกล่าว ผมไม่ชอบการขอที่มากกว่าการลงมือทำ
หรือต่อให้ผมนับถือในคำสอนอันเป็นสาระสำคัญ ผมยิ่งไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปทำความมัวหมองให้ศาสนาเหล่านั้นได้?
ทำไมน่ะหรือ?
ผมขอถามแ่ค่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายในประเทศนี้ "ท่านรักษาศีล 5 ได้ครบไหม?"
ถ้าท่านตอบว่าไม่ครบ แล้วยังบอกว่าเป็นชาวพุทธ..นั่นแหละ ท่านกำลังทำให้ศาสนามัวหมองแล้วครับ
นับประสาอะไร กับคนบวชพระ แล้วยังแอบละเมิดพระธรรมวินัยเล็กๆ น้อยๆ โดยบอกแก้ตัวว่า "แล้วค่อยปลงอาบัติเอา"
สิ่งเหล่านี้แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าศาสนิกชนแต่ละคน นักบวชแต่ละรูปทำกันมากๆ ก็มากพอที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมได้ เพราะคนรุ่นหลังย่อมไม่เชื่อในการสอนอย่าง แต่ทำตัวอีกอย่าง
ผมไม่อยากเป็น "กาฝากศาสนา"
-----------------------------
" พวกเขาจากไปแล้ว คนแล้ว คนเล่า "
" พวกเขาไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ "
" แต่ละคนย่อมมีหนทางของตนเองเสมอ แม้รู้จักกันวันนี้ วันหน้าใช่จะไม่ลาจาก "
" ทว่า..แม้เข้าใจ แต่ความโดดเดี่ยวกลับมีอานุภาพกัดกินจิตใจอย่างเหลือคณา "
ท้ายที่สุด เมื่อผ่านวัยหนุ่มสาว คนส่วนใหญ่ ทั้งที่เคยรู้จัก และไม่รู้จักกัน ต่างก็ต้องทิ้งชีวิตที่สนุกสุดเหวี่ยงไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งหน้าสู่การทำงาน และสร้างครอบครัว เพื่อก่อเกิดชีวิตใหม่ สืบทอดมรดกทางพันธุกรรมและทางสังคม จากรุ่นสู่รุ่นต่อไป
ยกเว้นก็แต่ผมเท่านั้น ที่อาจต้องทำหน้าที่สังเกตการณ์ความเป็นไป ของเหล่ามนุษย์ปกติเช่นนี้ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่?
"เพราะไม่เคยมีชีวิตที่สนุกสนานเหล่านั้น? จึงไม่มีอะไรให้สลัดคราบไปตามวัย"
"เมื่อไม่มี จึงยังคงโหยหา"
"และเมื่อยังโหยหา จึงไม่อาจก้าวข้าม แม้เวลานั้นจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม"
มันเป็นความรู้สึกที่ถมไม่เต็ม..และยากที่คนปกติทั่วไปจะเข้าใจ
ผมถามเพียงคำเดียว "วันนี้คุณคิดว่า..คุณใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวคุ้มค่า พอที่จะไม่อาลัยมัน เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปหรือเปล่า?"
-----------------------------------
ปล.ยาวหน่อย เผอิญคืนนี้ ( 18-4-2013 ) มันท้อๆ เหงาๆ เบื่อๆ พิกล จนไม่อยากออกกำลัง เลยเขียนออกมาแบบนี้แหละครับ
ปล.2 ฝากเพลงตามเคย ( ผมชอบจริงๆ นะ ถึงจะมีข่าวว่า คนที่กราดยิงที่นอร์เวย์ ทำคนตายไป 88 ศพ จะฟังเพลงนี้ขณะก่อเหตุก็เหอะ )
คุณคิดว่า..ที่ผ่านมาได้ใช้ชีวิตอย่าง "คุ้มค่า" โดยไม่ต้องโหยหาอาลัย ยามที่ช่วงเวลานั้นผ่านไปหรือเปล่า?
โดย : TonyMao_NK51
E - Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk
" พวกเขาจากไปแล้ว คนแล้ว คนเล่า "
" พวกเขาไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ "
" แต่ละคนย่อมมีหนทางของตนเองเสมอ แม้รู้จักกันวันนี้ วันหน้าใช่จะไม่ลาจาก "
" ทว่า..แม้เข้าใจ แต่ความโดดเดี่ยวกลับมีอานุภาพกัดกินจิตใจอย่างเหลือคณา "
หลายปีมานี้...ผมเฝ้ามองผู้คน ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก วันแล้ว ปีเล่า ด้วยความรู้สึกคล้ายกับตนเองเป็นผู้มีอายุยืน คล้ายอมนุษย์ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ
ทำไมน่ะหรือ?...เขาว่าความทุกข์ของคนอายุยืนก็ดี ผู้เป็นอมตะก็ดี มันคือการที่ต้องดูคนที่รู้จักกัน รายแล้วรายเล่า ค่อยๆ ทยอยจากไป
แต่ผมก็ไม่ใช่คนเป็นอมตะ และก็ยังไม่แก่ขนาดนั้น แล้วอะไรเล่าเป็นสาเหตุ?
---------------------------------
หลายคนมักจะถามผมเสมอว่า "ชีวิตคนจะคิดอะไรนักหนา? แค่เกิดมาครบ 32 ได้เรียนจบตั้งปริญญาตรี มีงานเป็นหลักแหล่งทำก็ดีแ้ล้ว"
บางคนก็อาจจะชมว่า "คุณเป็นคนหัวดีนะ อ่านอะไรแล้วสรุปเรื่องให้เข้าใจได้ง่ายดี"
หรืออะไรอีกต่อหลายประการ แน่นอนว่า คำชมเหล่านี้ ไม่เคยทำให้ผมพอใจได้เลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม..ผมกลับคิดว่ามันคือคมมีด คือหนามแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปส่วนลึกของจิตใจเสียมากกว่า
ทำไมน่ะหรือ?
เพราะผม "ไม่ได้ชอบในสิ่งที่เป็น..หรือสิ่งที่ทำได้อยู่ ณ วันนี้เลยแม้แต่นิดเดียว"
ตรงกันข้าม..ผมโหยหาในสิ่งที่อยากเป็น แต่ "ไม่มีวันได้เป็น" อยู่ตลอด
----------------------------
ผมแค่อยากมีความรู้สึก..ของความเป็น "ลูกผู้ชายเต็มตัว" ก็เท่านั้น จนบางครั้ง อาจจะมองอะไรที่ดูขวางโลกไปบ้าง โดยเฉพาะการชื่นชมพวกที่มีเรื่องชกต่อย ตีรันฟันแทง ทะเลาะวิวาท ผมไม่รู้ หรือถึงรู้ แต่บางทีก็ไม่สนใจหรอกว่าใครผิดหรือถูก สมควรหรือไม่สมควร
ผมรู้แค่ว่า "คนเหล่านี้ เป็นผู้ชายเต็มตัว" ตามที่ธรรมชาติพึงสร้าง ให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้ ต้องเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มีสัญชาตญาณในการต่อสู้ การล่า การฆ่า ดังนั้นเพศชายจึงเป็นเพศศักดิ์สิทธิ์กว่าเพศอื่นๆ และความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องของอำนาจทางกายที่ได้รับ แต่มันต้องมาพร้อมภาระรับผิดชอบที่ต้องแบกไว้บนบ่าเสมอ
ซึ่งความรู้สึกนี้..ผมไม่เคยสัมผัสถึงมัน นับตั้งแต่จำความได้
-----------------------------
"ผมไม่เคยมีชีวิต อย่างที่คนเกิดเป็นเพศชายควรจะเป็น"
นับตั้งแต่จำความได้ ผมมีปัญหาทางกายภาพ อย่างน้อยก็สามประการ ประการแรก ผมมีอาการสายตาสั้น ต้องสวมแว่นสายตามาโดยตลอด เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ประการที่สอง ในวัยเด็ก ผมมักจะมีอาการหลอดลมหดตัว ทำให้หายใจไม่สะดวกอยู่เสมอ ถึงขนาดที่ต้องกินยาขยายหลอดลม แทบทุกครั้งที่เป็นหวัด ประการที่สาม ผมมีอาการผิดปกติทางสมองบางอย่าง กล่าวคือ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย จะช้ากว่าสมองและสายตาเสมอ ราว 1 - 2 วินาทีได้
เท่านี้ก็จบแล้ว..ว่าไหม?
ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงกลายเป็นเด็กที่อ่อนแอที่สุด ในหมู่เครือญาติเดียวกัน และมักถูกกรอกหูด้วยคำดูหมิ่นมาตลอด
"โตขึ้นมันต้องเป็นกระเทยแน่ๆ"
“หูตาแบบนี้ ไม่มีวันสู้ใครได้หรอก”
ผมไม่อาจยอมรับ แต่ก็ไม่อาจโต้ตอบได้ เพราะสังขารไม่เคยอำนวยให้ผมทำในสิ่งที่เด็กผู้ชายสามารถทำ
ใช่ครับ "สู้กับใครก็แพ้เขา"
----------------------------
บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นเด็กเรียนก็ดีอยู่แล้ว มีอนาคตดี ความรู้รอบตัวเยอะ
แต่อยากให้รู้ว่า..สิ่งที่เป็นอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ผมเกลียดตัวเองมากที่สุด
ถามว่ามากขนาดไหน?..ครั้งหนึ่ง มีคนที่รู้จักกัน มาขอให้ติวแนวข้อสอบให้ ผมก็ช่วยๆ ไป มันก็ทำได้ ก็บอกผมหัวดี สรุปให้เข้าใจง่าย
"ถ้าเป็นไปได้ มีหัวสมองแบบนี้ก็ดีนะ" เขาว่าเช่นนั้น
แน่นอน ผมตอบว่า "ถ้าสลับร่างได้ จะให้อย่างไม่ลังเลเลย"
ทำไมน่ะหรือ?..ผมแค่อยากได้ร่างกายที่ไม่ต้องมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา หรือสมรรถนะทางพละกำลัง
"ผมแค่อยากต่อสู้ได้ อยากรู้สึกว่าเป็นชายเต็มตัว ก็เท่านั้น"
เพราะถ้าทำไม่ได้?..ก็เป็นได้แค่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ในร่างของเพศชายอันศักดิ์สิทธิ์เหนือเพศอื่นๆ เท่านั้นเอง
ผมไม่ต้องการเป็น “สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์” อย่างที่เป็นอยู่แบบนี้
----------------------------
"จะเห็นผิดเป็นถูกอะไรนักหนา คนพวกนั้นก็แค่ซิ่งกวนเมือง จี้ปล้น ฆ่าคนตาย ตีกันไปวันๆ"
ผมรู้อยู่เสมอ ว่าสิ่งที่พวกกวนเมืองเหล่านั้นทำ มันผิดทั้งกฏหมาย และผิดทั้งคุณธรรม แต่สิ่งที่ผมอดหลงไหลในวิถีของพวกเขาไม่ได้..นั่นคือการใช้ชีวิต ที่ผมมองว่าคุ้มค่า กับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะเกิดเป็นเพศชายสักชาติหนึ่ง
"ได้ใช้ชีวิตโลดโผน ใช้แสดงออกถึงความกล้าบ้าบิ่นแบบนักรบ"
นั่นเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันทำอย่างพวกเขาได้ แล้วจะแปลกอะไร ที่ลึกๆ แล้ว ผมมักจะมองว่า คนเหล่านี้มีค่ากว่าตัวเองเสียด้วยซ้ำไป
"อย่างน้อยมีเรื่องมันก็กล้าบวกกล้าสู้ แล้วเราทำอะไร? หนีหรือ?"
ศาสตร์แห่งการหนี สี่เคล็ด "พลิก พลิ้ว ลอด หลบ" แม้จะเป็นสิ่งเีดียวที่พอจะฝึกฝนได้ แต่นั่นกลับกลายเป็นความเจ็บปวดทางใจ ที่มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
-------------------------
"เราจะฝึกไปทำไมกัน?"
บางห้วงเวลา ผมมักจะรู้สึกท้อแท้ จนไม่อยากฝึกเคล็ดดังกล่าวอีกต่อไป เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นว่า..ผมปกป้องใครไม่ได้? จึงต้องฝึกเพื่อหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ไหนๆ ก็เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว..สารภาพไว้อย่าง มีคนบอกว่าผมเป็นพวกชอบเก็บตัว ไม่ค่อยยุ่งกับโลก เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ห่างๆ เท่านั้น
ซึ่งสิ่งที่ว่ามานี้..มันน่าเจ็บปวดยิ่งกว่า
"ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระให้ใครเท่านั้น"
ผมเคยเป็นขนาดถึงกับฝันร้าย ว่าคนรอบตัวถูกฆ่าตายไปทีละคนๆ โดยที่เราทำอะไรไม่ได้..บางครั้งแม้ยังไม่หลับ แค่รู้สึกสลึมสะลือ กลับเป็นภาพหลอน คนที่รู้จักกัน กำลังถูกย่ำยี
ผมกลายเป็นหวาดกลัว..ผมอาจกลัวตาย แต่ที่กลัวกว่า คือการมองเห็นคนที่รู้จักกัน สนิทกัน มีอันเป็นไปโดยที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ตัดปัญหาง่ายๆ "ไ่ม่ต้องผูกพัน ไม่ต้ิองสนิทชิดเชื้อ กับใครเลยดีกว่า"
เผลออีกที ผมก็กลายเป็น "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" ไปเสียแล้ว...จะอยู่ก็ไม่ไหว จะตายก็ไม่กล้า
"ถึงคิดดี แต่ไร้ประโยชน์ เพราะไร้ซึ่งความกล้าหาญ ช่างน่าเศร้า"
--------------------------------
มีบางคนบอกกับผมว่า "ไม่เหมาะกับทางโลก ไปบวชซะเถอะ"
แน่นอน..ผมมิใช่ผู้เลื่อมใสในศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมเบื่อหน่ายกระแสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้บนบานศาลกล่าว ผมไม่ชอบการขอที่มากกว่าการลงมือทำ
หรือต่อให้ผมนับถือในคำสอนอันเป็นสาระสำคัญ ผมยิ่งไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปทำความมัวหมองให้ศาสนาเหล่านั้นได้?
ทำไมน่ะหรือ?
ผมขอถามแ่ค่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายในประเทศนี้ "ท่านรักษาศีล 5 ได้ครบไหม?"
ถ้าท่านตอบว่าไม่ครบ แล้วยังบอกว่าเป็นชาวพุทธ..นั่นแหละ ท่านกำลังทำให้ศาสนามัวหมองแล้วครับ
นับประสาอะไร กับคนบวชพระ แล้วยังแอบละเมิดพระธรรมวินัยเล็กๆ น้อยๆ โดยบอกแก้ตัวว่า "แล้วค่อยปลงอาบัติเอา"
สิ่งเหล่านี้แม้เป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้าศาสนิกชนแต่ละคน นักบวชแต่ละรูปทำกันมากๆ ก็มากพอที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมได้ เพราะคนรุ่นหลังย่อมไม่เชื่อในการสอนอย่าง แต่ทำตัวอีกอย่าง
ผมไม่อยากเป็น "กาฝากศาสนา"
-----------------------------
" พวกเขาจากไปแล้ว คนแล้ว คนเล่า "
" พวกเขาไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่บนโลกใบนี้ "
" แต่ละคนย่อมมีหนทางของตนเองเสมอ แม้รู้จักกันวันนี้ วันหน้าใช่จะไม่ลาจาก "
" ทว่า..แม้เข้าใจ แต่ความโดดเดี่ยวกลับมีอานุภาพกัดกินจิตใจอย่างเหลือคณา "
ท้ายที่สุด เมื่อผ่านวัยหนุ่มสาว คนส่วนใหญ่ ทั้งที่เคยรู้จัก และไม่รู้จักกัน ต่างก็ต้องทิ้งชีวิตที่สนุกสุดเหวี่ยงไว้เบื้องหลัง เพื่อมุ่งหน้าสู่การทำงาน และสร้างครอบครัว เพื่อก่อเกิดชีวิตใหม่ สืบทอดมรดกทางพันธุกรรมและทางสังคม จากรุ่นสู่รุ่นต่อไป
ยกเว้นก็แต่ผมเท่านั้น ที่อาจต้องทำหน้าที่สังเกตการณ์ความเป็นไป ของเหล่ามนุษย์ปกติเช่นนี้ รุ่นแล้วรุ่นเล่า ตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่?
"เพราะไม่เคยมีชีวิตที่สนุกสนานเหล่านั้น? จึงไม่มีอะไรให้สลัดคราบไปตามวัย"
"เมื่อไม่มี จึงยังคงโหยหา"
"และเมื่อยังโหยหา จึงไม่อาจก้าวข้าม แม้เวลานั้นจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม"
มันเป็นความรู้สึกที่ถมไม่เต็ม..และยากที่คนปกติทั่วไปจะเข้าใจ
ผมถามเพียงคำเดียว "วันนี้คุณคิดว่า..คุณใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวคุ้มค่า พอที่จะไม่อาลัยมัน เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปหรือเปล่า?"
-----------------------------------
ปล.ยาวหน่อย เผอิญคืนนี้ ( 18-4-2013 ) มันท้อๆ เหงาๆ เบื่อๆ พิกล จนไม่อยากออกกำลัง เลยเขียนออกมาแบบนี้แหละครับ
ปล.2 ฝากเพลงตามเคย ( ผมชอบจริงๆ นะ ถึงจะมีข่าวว่า คนที่กราดยิงที่นอร์เวย์ ทำคนตายไป 88 ศพ จะฟังเพลงนี้ขณะก่อเหตุก็เหอะ )