Review|เกรียนฟิคชั่น|โดยคุณทรายเจริญปุระ

บังเอิญ เพื่อนเราแชร์รีวิวของคุณทรายมาทางเฟสบุคเราเลยได้อ่าน

หากคุณทรายบอกว่า ดูจบแล้วน้ำตาไหล แม้ตอนไฟในโรงเปิด
เราอ่านปุ๊ป น้ำตาก็ไหลเป็นไขก๊อก แม้คนเป็นร้อยบนบีทีเอสเช่นกัน

ขออนุญาตคุณทราย มาแล้ว อยากให้อ่านกัน แหวกกระแสคู่กรรมและพี่มาก สักหน่อย


========================================
เกรียนฟิคชั่น
-จะกอดเธอจนสว่าง และทุกทุกอย่าง จะอยู่ไปจนนิรันดร์-


หลายคนบอกว่า, ช่วงชีวิตวัยรุ่นคือช่วงที่ดีที่สุด เป็นช่วงสำคัญที่สุดที่จะก่อร่างสร้างชีวิต
ผู้ใหญ่มักบอกให้เราตั้งใจกับช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เสมอ
เพราะในช่วงวัยนี้ โลกมันน่าสนใจ มันนำเสนอเราด้วยสีเทคนิคคัลเลอร์
เราหัวเราะง่าย ยิ้มง่าย
และโลกก็ดูเป็นแค่เรื่องง่ายๆ
แม้แต่กับฉัน, ซึ่งไม่มีชีวิตวัยรุ่น ไม่มีกลุ่มเพื่อน ไม่มีกิจกรรมโรงเรียน ไม่มีการปิ๊งปั๊งกันกับใคร
แม้ฉันจะใช้วัยวันแบบนั้นไปกับงาน แต่ฉันก็มองงานแบบนั้น รับมือกับมันด้วยควาทพลุ่งพล่านที่ชีวิตมีให้เราเพียงครั้งเดียว

อย่าตีความหนังจากชื่อของมัน
เอ๊ะ
หรือจริงๆชื่อหนังมันก็ตั้งมาถูกแล้ว?
หนังมีความเป็นตัวผู้กำกับสูงมาก แต่ไม่ได้มากถึงขนาดเป็นโฮมวีดีโอที่ผู้กำกับควรทำไว้ดูเอง
แม้แต่ชะนีไม่มีเพื่อน ไม่มีชีวิตวัยรุ่นอย่างฉันยังเชื่อมโยงกับมันได้
เพราะอะไรน่ะเหรอ
เพราะเราต่างก็มีชีวิต
เราต่่างมีวันที่เจ็บปวด และไม่ว่าเราจะผ่านวันแบบนั้นมาได้หรือไม่ หรือผ่านมันมาได้อย่างไร มันก็ต้องผ่านและเราก็จะโตขึ้น

ไม่มีใครสมควรเป็นแผลเป็นในชีวิตใคร, ก็จริงอย่างที่หนังว่าไว้
คนทุกคนมีความสำคัญกันทั้งนั้น ไม่ควรมีใครถูกลดค่าลงเหลือแค่แผลเป็น ที่สมควรจะถูกลืม ถูกทำให้เลือนลาง
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นแผลนั้นแบบไหน
เรามองเห็นที่มาที่ทำให้เกิดแผลนั้น
หรือเราจัดความสำคัญมันเป็นแค่แผลๆหนึ่ง เพื่อที่จะลืมมัน แล้วหาแผลใหม่ๆมาใส่ชีวิต

การมีอยู่ของตี๋และความสัมพันธ์ใน'ครอบครัว'ที่ตี๋บอกว่า'กูไม่มีพ่อแม่'นั้นจี๊ดมากในตอนท้าย

เราชอบตัวละครหนุ่มผมทองและกิ๊บซี่ที่สุด
ในความแรง ในความบ้า ในความสุดทาง มันก็เป็นแค่การแสดงออกถึงวิธีรับมือกับชีวิตอย่างหนึ่ง
การหันหน้าเข้าหาธรรมะอาจเป็นทางเลือกของใครหลายๆคน ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคต
แต่การย้อมผมทอง การไม่กล้าออกจากบ้าน การไม่อยากถามเพราะกลัวคำตอบ มันก็เป็นอีกหนึ่งวิธีรับมือกับชีวิตเหมือนกัน
ใช่, มันไม่ถูก เวลามีคนมองเข้ามา
แต่ชีวิตมันก็เป็นของเราไม่ใช่หรือ

มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับ'การแสดง'จริงๆ เราไม่รู้ว่ามะเดี่ยวแปรเรื่องในใจไปใส่ในตัวคนอื่นแล้วให้คนอื่นเล่าขนาดนี้ได้อย่างไร
(มะเดี่ยวทำให้โบ๊ท เดอะเยอรส์ลดขนาดจากหุ่นโคมไฟจื้อกง มาขยับตัวได้เท่าเฟอร์บี้อ่ะ คิดดูละกัน!!)
เราชอบหนังเรื่องนี้
ชอบความเหมือนจะเล่าเรื่อยๆของมัน
ชอบที่มันหมุนวนเปลี่ยนไป
ชอบที่มันทำให้เราร้องไห้ได้
แม้เมื่อแสงไฟในโรงจะเปิดแล้วก็ตาม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่