6 ข้อที่อยากเขียนถึง โลกยุคใหม่ ที่ใครๆก็เป็นนักวิจารณ์ (เขียนโดยผู้ไม่มีความรู้โดยตรงเกี่ยวกับการวิจารณ์ แต่ชอบอ่านงานวิจารณ์)
1.ในอดีต นักวิจารณ์ ค่อนข้างถูกจำกัดไว้กับ บุคคลที่วิจารณ์ผลงานให้คนอ่านตามหน้านิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ และเชื่อว่า ควรมีความรู้หรือเรียนมาในสิ่งที่กำลังวิจารณ์
แต่ในโลกยุคใหม่ที่การสื่อสารก้าวไกลให้พื้นที่แก่เราทุกคน ทำให้ เราทุกคนล้วนเป็นนักวิจารณ์ แค่แสดงความเห็น ว่า “กาก ห่วยแตก” “สุดยอด” หรือ ร่ายใส่กระทู้ ใส่บล็อคยาวๆ หรือ เขียนลงนิตยสารประจำ ก็ล้วนทำหน้าที่เดียวกัน นั่นคือ ‘กำลังวิจารณ์’
ต่างกันแค่ วิจารณ์เป็นอาชีพ , วิจารณ์สมัครเล่น , วิจารณ์โดยมี/ไม่มีความรู้ , วิจารณ์แบบ review / critic / analysis ฯลฯ
ทุกความเห็นที่แสดงออกไป จึงล้วนแล้วแต่ต้องมี‘ความรับผิดชอบ’ กับ การแสดงความเห็นของตัวเอง
การนิยามตัวเองว่า “ เป็นคนธรรมดาๆ , เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ฯลฯ” ไม่สามารถใช้เป็นยันต์กันคนด่า ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ให้คนอื่นตอบโต้หรือวิจารณ์กลับ แล้วตัวเองจะเขียนอะไรก็ได้
และหลายคนก็ใช้นิยามข้างต้น ออกตัวเพื่อใช้ด่าคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเอง ก็เพิ่งวิจารณ์ไป
2. หลายคนเลือกที่จะ ‘ไม่อ่านบทวิจารณ์’ เพราะเข้าใจผิดว่า เราจะรู้แค่ว่า หนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็น ความเข้าใจผิดที่น่าเสียดาย เพราะ ปิดกั้นโอกาสในการมอง ผลงาน (หนัง, ละครเวที ฯลฯ) ในมุมที่กว้างออกไป
เพราะ การวิจารณ์ ไม่ใช่แค่บอกว่า ดี กับ ไม่ดี หรือ สนุก กับ ไม่สนุก
แต่ บทวิจารณ์หลายชิ้น แสดงให้เห็น การตีความและนำเสนอผ่านมุมมองของคนเขียนแต่ละคนที่มีเลนส์ที่ใช้มองโลก ต่างกันออกไป เช่น หนังเรื่องหนึ่ง อาจถูกตีความโดยบทวิจารณ์ของคนเขียนที่มีความรู้ด้านภาพยนตร์ , คนเขียนมีความรู้ด้านการเมือง , คนเขียนมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ฯลฯ
สำหรับคนชอบอ่านบทวิจารณ์ หรือ ชอบอ่านนิตยสารภาพยนตร์หลายๆเล่ม ก็จะพบว่า ต่อให้เป็นหนังเรื่องเดียวกัน แต่ละเล่ม แต่ละนักเขียน ก็จะมีลีลา และ การตีความ รวมถึง การพาคนอ่านไปสู่โลกที่กว้างออกไปในคนละมุม
3. เราไม่ควรตัดสิน คุณค่า ของบทวิจารณ์ที่สไตล์ของงานเขียน เช่น “เขียนสุภาพ มีหลักการ เป็นงานวิจารณ์ที่ดีหรือแย่กว่า เขียนจัดจ้าน เร้าอารมณ์” แต่ควรจะดูว่า เหตุผลและแก่นหลักของ บทวิจารณ์นั้น มีคุณค่าหรือน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน และ ให้อะไรกับคนอ่าน
คิดว่า สิ่งที่บ้านเรายังขาดอยู่มากในระบบการศึกษาที่ผ่านๆมาคือ การฝึกให้กล้าแสดงความเห็น หรือ กล้าวิจารณ์ ด้วยหลักการและเหตุผล มากกว่าจะเชื่อตาม ‘ตัวบุคคล’ ที่ยกย่อง , การฝึกสังเกต fallacy หรือ ตรรกะวิบัติที่ตัวเองหรือ idol ที่ตัวเองชื่นชมใช้อยู่บ่อยๆ
และ บทเรียนสำคัญที่สุด คือ การยอมรับความผิดพลาด และ การฝึกรับมือกับการถูกวิจารณ์ งานที่ตัวเองวิจารณ์ อีกต่อหนึ่ง
4. ในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบันเทิง , การใช้ชีวิต , การเมือง, ศาสนา ฯลฯ เรามักจะมี idol หรือ ผู้นำทางความคิด โดยที่เราไม่รู้ตัว แถม การมี facebook ก็มักจะทำให้เราเลือก คบคน ที่คิดใกล้เคียงกัน
หลายคนพยายามชอบ พยายามจะใช้ชีวิตตาม idol , ตามคนในกลุ่ม หรือ ตามผู้นำความคิด จนทำให้ ชีวิตมีแต่อินดี้ หรือ ชีวิตมีแต่เมนสตรีม และ ยกให้เส้นทางของตัวเองคือเส้นทางที่ดีที่สุด
และ หลายคนก็รู้สึกแย่ เมื่อมี ผู้นำทางความคิดอีกฝั่ง แสดงความเห็น หรือ แสดงความชอบ ที่ขัดกับตัวเอง เกิดความรู้สึกเสียเซ้ลฟ์ รู้สึกไม่ดี จนเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน พาลไม่พอใจ โดยลืมไปว่า
รสนิยม เป็น ทางเลือกที่ไม่ได้ยกให้ใครเหนือกว่าใคร , อย่าให้ผู้นำความคิด หรือ idol มาเป็นผู้ที่ทำให้เรามีโลกที่แคบลง
ต่อให้เราชอบข้าวผัดหมูที่ขายได้วันละไม่กี่จานและเกลียด MK สุกี้เข้าไส้ ก็ไม่ได้แปลว่า เรามีรสนิยมแย่กว่า คนที่ชอบกิน MK
คนชอบ บ้านผีปอบ , คนที่ชอบ Transformer , คนที่ชอบ Amour , คนที่ชอบ Holy Motors ไม่ได้มีใครฉลาดหรือเหนือกว่าใคร
และเมื่อไหร่ที่เราเปิดรับความหลากหลาย เราก็เปิดโอกาสให้ตัวเองได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
5.ประโยคอมตะนิรันดร์กาล ที่คอยครอบงำคนมาหลายชั่วคน และทำให้ไม่เกิดการต่อยอดทางปัญญา เพราะทุกอย่างจะสิ้นสุดทันทีด้วย ดราม่า หรือ การทะเลาะ เมื่อพบกับคำว่า
"วิจารณ์แบบนี้ ทำได้อย่างเขาหรือเปล่า"
และ
"หนังดี คือ หนังที่เราชอบ"
6. การวิจารณ์ คือ เส้นทางหนึ่ง ในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ดีขึ้นหรือสร้างสรรค์โลก แต่ไม่ใช่ เส้นทางที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เส้นทางที่ใหญ่ที่สุด
การวิจารณ์ผลงานคนอื่น เป็น การสร้าง'ผลงาน'ของตัวเองที่ง่ายที่สุดเส้นทางหนึ่ง ดังนั้น หลายคนจึงอาจเผลอเคยชินกับการวิจารณ์ แล้วปล่อยให้ คำวิจารณ์ยกตัวเองให้สูงโดยไม่รู้ตัว
ความแยบยลของหนังเรื่อง ratatouille ที่ให้นักวิจารณ์ชื่อ Ego เพราะนัยหนึ่ง มันหมายถึง อัตตา
ยิ่งเราวิจารณ์คนหรือผลงานมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เราพองโตในอัตตา เพราะลึกๆแล้ว มันทำให้เรารู้สึก 'อยู่เหนือกว่า'
ที่น่าเป็นห่วงตามมาคือ ทุกวันนี้ เราทำตัวเป็นนักวิจารณ์ไม่ว่าจะ หนัง , การเมือง , เรื่องชาวบ้าน ฯลฯ โดยไม่ยอมรับบทบาท การวิจารณ์ ของตัวเอง แล้วคิดว่าเป็นแค่ คนแสดงความเห็นธรรมดา
จนสุดท้าย ถ้าเพลิดเพลินกับคำชื่นชมในสังคมเฉพาะกลุ่ม เราก็อาจหลง ไปกับ การตอบสนองทางบวกที่ได้รับ และ เดินเส้นทางนั้นซ้ำๆ ตามที่คนมาชอบ จนอาจไม่ได้ สร้างสรรค์งานอะไรใหม่ๆ หรือ ไม่ได้พัฒนาอะไรตัวเอง นอกจากเปลี่ยนตัวเองให้เป็น idol หรือ ผู้นำทางความคิดของ คนอีกกลุ่มเท่านั้นเอง
********************
ผมชอบท่อนนี้มากอ่ะ
**ตรงทุกความเห็นที่แสดงออกไป จึงล้วนแล้วแต่ต้องมี‘ความรับผิดชอบ’ กับ การแสดงความเห็นของตัวเอง
การนิยามตัวเองว่า “ เป็นคนธรรมดาๆ , เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ฯลฯ” ไม่สามารถใช้เป็นยันต์กันคนด่า ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ให้คนอื่นตอบโต้หรือวิจารณ์กลับ แล้วตัวเองจะเขียนอะไรก็ได้
และหลายคนก็ใช้นิยามข้างต้น ออกตัวเพื่อใช้ด่าคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเอง ก็เพิ่งวิจารณ์ไป****
ฝาก สังคมพันทิปบอร์ดเฉลิมไทยด้วยครับ เพราะที่ได้ยินมาตอนนี้ บอร์ดนี้แหละโดนกระแส-ไปหมดแล้ว.. นักวิจารณ์ที่้ดี (ที่ไม่ใช่พวกใช้ปากด่าวิจารณ์) ยังมีอยู่ใช่ไหมครับ..
ปล.กระทู้ซ้ำขออภัย ^ ^
บทความเกี่ยวกับการ"วิจารณ์"ดีดี จาก "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
1.ในอดีต นักวิจารณ์ ค่อนข้างถูกจำกัดไว้กับ บุคคลที่วิจารณ์ผลงานให้คนอ่านตามหน้านิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ และเชื่อว่า ควรมีความรู้หรือเรียนมาในสิ่งที่กำลังวิจารณ์
แต่ในโลกยุคใหม่ที่การสื่อสารก้าวไกลให้พื้นที่แก่เราทุกคน ทำให้ เราทุกคนล้วนเป็นนักวิจารณ์ แค่แสดงความเห็น ว่า “กาก ห่วยแตก” “สุดยอด” หรือ ร่ายใส่กระทู้ ใส่บล็อคยาวๆ หรือ เขียนลงนิตยสารประจำ ก็ล้วนทำหน้าที่เดียวกัน นั่นคือ ‘กำลังวิจารณ์’
ต่างกันแค่ วิจารณ์เป็นอาชีพ , วิจารณ์สมัครเล่น , วิจารณ์โดยมี/ไม่มีความรู้ , วิจารณ์แบบ review / critic / analysis ฯลฯ
ทุกความเห็นที่แสดงออกไป จึงล้วนแล้วแต่ต้องมี‘ความรับผิดชอบ’ กับ การแสดงความเห็นของตัวเอง
การนิยามตัวเองว่า “ เป็นคนธรรมดาๆ , เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ฯลฯ” ไม่สามารถใช้เป็นยันต์กันคนด่า ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ให้คนอื่นตอบโต้หรือวิจารณ์กลับ แล้วตัวเองจะเขียนอะไรก็ได้
และหลายคนก็ใช้นิยามข้างต้น ออกตัวเพื่อใช้ด่าคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเอง ก็เพิ่งวิจารณ์ไป
2. หลายคนเลือกที่จะ ‘ไม่อ่านบทวิจารณ์’ เพราะเข้าใจผิดว่า เราจะรู้แค่ว่า หนังเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็น ความเข้าใจผิดที่น่าเสียดาย เพราะ ปิดกั้นโอกาสในการมอง ผลงาน (หนัง, ละครเวที ฯลฯ) ในมุมที่กว้างออกไป
เพราะ การวิจารณ์ ไม่ใช่แค่บอกว่า ดี กับ ไม่ดี หรือ สนุก กับ ไม่สนุก
แต่ บทวิจารณ์หลายชิ้น แสดงให้เห็น การตีความและนำเสนอผ่านมุมมองของคนเขียนแต่ละคนที่มีเลนส์ที่ใช้มองโลก ต่างกันออกไป เช่น หนังเรื่องหนึ่ง อาจถูกตีความโดยบทวิจารณ์ของคนเขียนที่มีความรู้ด้านภาพยนตร์ , คนเขียนมีความรู้ด้านการเมือง , คนเขียนมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ฯลฯ
สำหรับคนชอบอ่านบทวิจารณ์ หรือ ชอบอ่านนิตยสารภาพยนตร์หลายๆเล่ม ก็จะพบว่า ต่อให้เป็นหนังเรื่องเดียวกัน แต่ละเล่ม แต่ละนักเขียน ก็จะมีลีลา และ การตีความ รวมถึง การพาคนอ่านไปสู่โลกที่กว้างออกไปในคนละมุม
3. เราไม่ควรตัดสิน คุณค่า ของบทวิจารณ์ที่สไตล์ของงานเขียน เช่น “เขียนสุภาพ มีหลักการ เป็นงานวิจารณ์ที่ดีหรือแย่กว่า เขียนจัดจ้าน เร้าอารมณ์” แต่ควรจะดูว่า เหตุผลและแก่นหลักของ บทวิจารณ์นั้น มีคุณค่าหรือน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน และ ให้อะไรกับคนอ่าน
คิดว่า สิ่งที่บ้านเรายังขาดอยู่มากในระบบการศึกษาที่ผ่านๆมาคือ การฝึกให้กล้าแสดงความเห็น หรือ กล้าวิจารณ์ ด้วยหลักการและเหตุผล มากกว่าจะเชื่อตาม ‘ตัวบุคคล’ ที่ยกย่อง , การฝึกสังเกต fallacy หรือ ตรรกะวิบัติที่ตัวเองหรือ idol ที่ตัวเองชื่นชมใช้อยู่บ่อยๆ
และ บทเรียนสำคัญที่สุด คือ การยอมรับความผิดพลาด และ การฝึกรับมือกับการถูกวิจารณ์ งานที่ตัวเองวิจารณ์ อีกต่อหนึ่ง
4. ในโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบันเทิง , การใช้ชีวิต , การเมือง, ศาสนา ฯลฯ เรามักจะมี idol หรือ ผู้นำทางความคิด โดยที่เราไม่รู้ตัว แถม การมี facebook ก็มักจะทำให้เราเลือก คบคน ที่คิดใกล้เคียงกัน
หลายคนพยายามชอบ พยายามจะใช้ชีวิตตาม idol , ตามคนในกลุ่ม หรือ ตามผู้นำความคิด จนทำให้ ชีวิตมีแต่อินดี้ หรือ ชีวิตมีแต่เมนสตรีม และ ยกให้เส้นทางของตัวเองคือเส้นทางที่ดีที่สุด
และ หลายคนก็รู้สึกแย่ เมื่อมี ผู้นำทางความคิดอีกฝั่ง แสดงความเห็น หรือ แสดงความชอบ ที่ขัดกับตัวเอง เกิดความรู้สึกเสียเซ้ลฟ์ รู้สึกไม่ดี จนเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน พาลไม่พอใจ โดยลืมไปว่า
รสนิยม เป็น ทางเลือกที่ไม่ได้ยกให้ใครเหนือกว่าใคร , อย่าให้ผู้นำความคิด หรือ idol มาเป็นผู้ที่ทำให้เรามีโลกที่แคบลง
ต่อให้เราชอบข้าวผัดหมูที่ขายได้วันละไม่กี่จานและเกลียด MK สุกี้เข้าไส้ ก็ไม่ได้แปลว่า เรามีรสนิยมแย่กว่า คนที่ชอบกิน MK
คนชอบ บ้านผีปอบ , คนที่ชอบ Transformer , คนที่ชอบ Amour , คนที่ชอบ Holy Motors ไม่ได้มีใครฉลาดหรือเหนือกว่าใคร
และเมื่อไหร่ที่เราเปิดรับความหลากหลาย เราก็เปิดโอกาสให้ตัวเองได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
5.ประโยคอมตะนิรันดร์กาล ที่คอยครอบงำคนมาหลายชั่วคน และทำให้ไม่เกิดการต่อยอดทางปัญญา เพราะทุกอย่างจะสิ้นสุดทันทีด้วย ดราม่า หรือ การทะเลาะ เมื่อพบกับคำว่า
"วิจารณ์แบบนี้ ทำได้อย่างเขาหรือเปล่า"
และ
"หนังดี คือ หนังที่เราชอบ"
6. การวิจารณ์ คือ เส้นทางหนึ่ง ในการช่วยสร้างสรรค์ผลงานที่ดีขึ้นหรือสร้างสรรค์โลก แต่ไม่ใช่ เส้นทางที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เส้นทางที่ใหญ่ที่สุด
การวิจารณ์ผลงานคนอื่น เป็น การสร้าง'ผลงาน'ของตัวเองที่ง่ายที่สุดเส้นทางหนึ่ง ดังนั้น หลายคนจึงอาจเผลอเคยชินกับการวิจารณ์ แล้วปล่อยให้ คำวิจารณ์ยกตัวเองให้สูงโดยไม่รู้ตัว
ความแยบยลของหนังเรื่อง ratatouille ที่ให้นักวิจารณ์ชื่อ Ego เพราะนัยหนึ่ง มันหมายถึง อัตตา
ยิ่งเราวิจารณ์คนหรือผลงานมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เราพองโตในอัตตา เพราะลึกๆแล้ว มันทำให้เรารู้สึก 'อยู่เหนือกว่า'
ที่น่าเป็นห่วงตามมาคือ ทุกวันนี้ เราทำตัวเป็นนักวิจารณ์ไม่ว่าจะ หนัง , การเมือง , เรื่องชาวบ้าน ฯลฯ โดยไม่ยอมรับบทบาท การวิจารณ์ ของตัวเอง แล้วคิดว่าเป็นแค่ คนแสดงความเห็นธรรมดา
จนสุดท้าย ถ้าเพลิดเพลินกับคำชื่นชมในสังคมเฉพาะกลุ่ม เราก็อาจหลง ไปกับ การตอบสนองทางบวกที่ได้รับ และ เดินเส้นทางนั้นซ้ำๆ ตามที่คนมาชอบ จนอาจไม่ได้ สร้างสรรค์งานอะไรใหม่ๆ หรือ ไม่ได้พัฒนาอะไรตัวเอง นอกจากเปลี่ยนตัวเองให้เป็น idol หรือ ผู้นำทางความคิดของ คนอีกกลุ่มเท่านั้นเอง
********************
ผมชอบท่อนนี้มากอ่ะ
**ตรงทุกความเห็นที่แสดงออกไป จึงล้วนแล้วแต่ต้องมี‘ความรับผิดชอบ’ กับ การแสดงความเห็นของตัวเอง
การนิยามตัวเองว่า “ เป็นคนธรรมดาๆ , เป็นแค่ความเห็นส่วนตัว ฯลฯ” ไม่สามารถใช้เป็นยันต์กันคนด่า ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ให้คนอื่นตอบโต้หรือวิจารณ์กลับ แล้วตัวเองจะเขียนอะไรก็ได้
และหลายคนก็ใช้นิยามข้างต้น ออกตัวเพื่อใช้ด่าคนอื่น ทั้งๆที่ตัวเอง ก็เพิ่งวิจารณ์ไป****
ฝาก สังคมพันทิปบอร์ดเฉลิมไทยด้วยครับ เพราะที่ได้ยินมาตอนนี้ บอร์ดนี้แหละโดนกระแส-ไปหมดแล้ว.. นักวิจารณ์ที่้ดี (ที่ไม่ใช่พวกใช้ปากด่าวิจารณ์) ยังมีอยู่ใช่ไหมครับ..
ปล.กระทู้ซ้ำขออภัย ^ ^