ขอสารภาพผิดต่อแกนะดากานดา ฉันรู้จักแกมาตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2548 โน่นแล้วล่ะ
ตอนฉันเจอแกครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่คณะวิจิตรศิลป์ หัวใจของฉันตกเป็นของแกมานับแต่วินาทีที่แกทักทาย “สวัสดี เราชื่อดากานดา”
“ในตอนนั้นฉันไม่คุ้นกับภูเขาเลยจริงๆ แม้กระทั่งไม้อย่างสักซึ่งออกดอกสีขาว ฉันก็แปลกตา บ้านที่ฉันอยู่ไม่มีภูเขาและต้นไม้ที่สง่างามอย่างต้นสัก ทุกตารางนิ้วถูกจับจองด้วยเส้นทางถนนและคอนกรีต ริมถนนมีต้นไม้ยืนเศร้า ฉันแทบไม่เคยมองไปยังขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วฉันก็ได้พบกับแก ณ ที่ซึ่งความสุขของฉันได้ฝังอยู่ อันที่จริงแกย่อมรู้ได้ตั้งแต่วันแรกที่แกกับฉันได้เจอกันที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนแกจะรอให้ฉันพูดอะไรออกมา ซึ่งฉันก็ได้ใช้เวลาถึงห้าปีเต็มก่อนจะบอกรักแก หลังจากสอบตัวสุดท้าย ที่ใต้ต้นชงโคหน้าตึกคณะของเรา และดูเหมือนแกจะรอให้ฉันพูดว่ารักแกเพื่อที่แกจะทำท่าทางแสร้งว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ดากานดา..แกไปดูหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คงนานมาแล้วสินะ ก็แกไม่ค่อยชอบดูหนังนี่นะ ผิดกับฉันที่โหยหาที่จะเข้าโรงหนังตลอดเวลา หนังเรื่องนี้ “พี่มาก...พระโขนง” เป็นหนังที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของฉันไปถึงขนาดนี้ ทันทีที่ฉันได้พบกับเธอคนนี้ “นาค” ดาวิกา ฉันไม่รู้หรอกนะว่า ดาวิกา ความหมายจะเหมือนกับชื่อของแกรึเปล่า ที่หมายถึง “หญิงอันเป็นที่รัก” ในตอนฉันก็ไม่แน่ใจนักว่าการกลับมาของแม่นาคครั้งนี้มันจะดีไหม เพราะมันก็สร้างมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่แล้วฉันก็ต้องกลืนคำพูด เมื่อฉันพบว่าทุกๆคนล้วนหลงรักแม่นาคคนนี้หลังดูจบ ไม่ว่าจะเป็นไอ้ฟุเหยิน นุ้ย หรือแม้กระทั่งสุดสวยของเราพี่แตน
แม่นาคคนนี้มีดวงตาที่สะกดฉันได้ในหลายสถานการณ์ที่ต่างกัน ในครั้งแรกดวงตานั้นทำให้ฉันหลงใหลในความน่ารักน่าเอ็นดู แต่ครั้งต่อมาดวงตานั้นก็ทำให้ฉันก็ต้องหยุดนิ่งกลับดวงตาอันดุดันนั้น ไม่เพียงแต่ดวงตาเท่านั้นรอยยิ้มของเธอก็ทำให้ฉันหลงไม่ใช่น้อย
ฉันสามารถยกคำที่เคยเขียนถึงนุ้ย มาใช้กับแม่นาคคนนี้ได้อย่างไม่ขัดเขินว่า “เมื่อยามเธอเขม้นมองอย่างไม่สบอารมณ์..เมฆหมอกเหนือคลื่นสีเทาก็หม่นมัว ..เมื่อยามเธอยิ้มออกมาได้...ดวงตะวันก็พลันฉายแสงเหนือคลื่นสีฟ้า..”
สุดท้ายนี้ฉันได้มอบจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนมาถึงแกด้วย หวังว่าแกจะอ่านมันและยกโทษให้ฉันด้วย ที่ฉันแอบแบ่งใจไปให้ดาวิกา อย่างน้อยชื่อของเขาก็คล้ายแกนะดากานดา
คิดถึงแกว่ะ
ไข่ย้วย
************************************************************
เวิ่นเว้อมาเยอะ แค่อยากจะบอกว่านับแต่หนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” ที่เป็นหนังหนึ่งในดวงใจ ที่ให้ความรู้สึกอยากดูซ้ำทุกครั้งที่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก จนกระทั่ง “พี่มาก..พระโขนง” ทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
และนับตั้งแต่ฉากเปิดตัวดากานดา (นุ่น ศิรพันธ์) ผมก็เพิ่งตะลึงฉากเปิดตัวแม่นาค (ดาวิกา) นี่แหละครับทั้งคำพูด ท่าทางสะกดผมได้จริง ๆ
ทั้งนี้ หนังก็ให้แง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อย ทั้งการตั้งคำถามผ่านเพื่อนๆ ตัวแสบของพี่มากว่า คนกับผีจะอยู่ด้วยกันจริงหรือไม่ ความรักที่มีความแตกต่างกันขนาดนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งในท้ายที่สุดหนังก็ได้ตั้งคำถามกับเรามาทางอ้อมว่า ทุกวันนี้เราให้ความสำคัญกับความรักเพราะเราเห็นถึงคุณค่าของความรักนั้นระหว่างคนสองคน หรือเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเหมาะสมมากกว่ากัน และอีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในหัวเลยก็คือว่า ถ้าคนที่เรารักจากเราไปแบบนั้น เราจะมีความรู้สึกอย่างไร และถ้าลักษณะทางกายภาพของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว เราจะยังรู้สึกกับเขาแบบเดิมหรือไม่...
สรุปแล้วผมก็มีหนังที่ผมชอบพอๆกับเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง (ขอให้คะแนนในใจเพื่อนสนิทมากกว่านิดหนึ่งเพราะเป็นรักแรก)
ปล. หนังที่ผมชอบ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด แต่เป็นหนังที่เข้าถึงใจผมได้ดีที่สุดครับ ^^b
ปล.2 ตัดต่อถ้อยคำจากข้อความในหนังสือ กล่องไปรษณีย์สีแดง เพื่อเพิ่มความเวิ่นเว้อครับ
กระทู้สารภาพผิดต่อดากานดา อันเนื่องมาจากพี่มาก...พระโขนง
ตอนฉันเจอแกครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่คณะวิจิตรศิลป์ หัวใจของฉันตกเป็นของแกมานับแต่วินาทีที่แกทักทาย “สวัสดี เราชื่อดากานดา”
“ในตอนนั้นฉันไม่คุ้นกับภูเขาเลยจริงๆ แม้กระทั่งไม้อย่างสักซึ่งออกดอกสีขาว ฉันก็แปลกตา บ้านที่ฉันอยู่ไม่มีภูเขาและต้นไม้ที่สง่างามอย่างต้นสัก ทุกตารางนิ้วถูกจับจองด้วยเส้นทางถนนและคอนกรีต ริมถนนมีต้นไม้ยืนเศร้า ฉันแทบไม่เคยมองไปยังขอบฟ้าเลยด้วยซ้ำ”
“แล้วฉันก็ได้พบกับแก ณ ที่ซึ่งความสุขของฉันได้ฝังอยู่ อันที่จริงแกย่อมรู้ได้ตั้งแต่วันแรกที่แกกับฉันได้เจอกันที่นี่ ตั้งแต่วันนั้นดูเหมือนแกจะรอให้ฉันพูดอะไรออกมา ซึ่งฉันก็ได้ใช้เวลาถึงห้าปีเต็มก่อนจะบอกรักแก หลังจากสอบตัวสุดท้าย ที่ใต้ต้นชงโคหน้าตึกคณะของเรา และดูเหมือนแกจะรอให้ฉันพูดว่ารักแกเพื่อที่แกจะทำท่าทางแสร้งว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
ดากานดา..แกไปดูหนังครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ คงนานมาแล้วสินะ ก็แกไม่ค่อยชอบดูหนังนี่นะ ผิดกับฉันที่โหยหาที่จะเข้าโรงหนังตลอดเวลา หนังเรื่องนี้ “พี่มาก...พระโขนง” เป็นหนังที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเปลี่ยนแปลงความคิดของฉันไปถึงขนาดนี้ ทันทีที่ฉันได้พบกับเธอคนนี้ “นาค” ดาวิกา ฉันไม่รู้หรอกนะว่า ดาวิกา ความหมายจะเหมือนกับชื่อของแกรึเปล่า ที่หมายถึง “หญิงอันเป็นที่รัก” ในตอนฉันก็ไม่แน่ใจนักว่าการกลับมาของแม่นาคครั้งนี้มันจะดีไหม เพราะมันก็สร้างมาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่แล้วฉันก็ต้องกลืนคำพูด เมื่อฉันพบว่าทุกๆคนล้วนหลงรักแม่นาคคนนี้หลังดูจบ ไม่ว่าจะเป็นไอ้ฟุเหยิน นุ้ย หรือแม้กระทั่งสุดสวยของเราพี่แตน
แม่นาคคนนี้มีดวงตาที่สะกดฉันได้ในหลายสถานการณ์ที่ต่างกัน ในครั้งแรกดวงตานั้นทำให้ฉันหลงใหลในความน่ารักน่าเอ็นดู แต่ครั้งต่อมาดวงตานั้นก็ทำให้ฉันก็ต้องหยุดนิ่งกลับดวงตาอันดุดันนั้น ไม่เพียงแต่ดวงตาเท่านั้นรอยยิ้มของเธอก็ทำให้ฉันหลงไม่ใช่น้อย
ฉันสามารถยกคำที่เคยเขียนถึงนุ้ย มาใช้กับแม่นาคคนนี้ได้อย่างไม่ขัดเขินว่า “เมื่อยามเธอเขม้นมองอย่างไม่สบอารมณ์..เมฆหมอกเหนือคลื่นสีเทาก็หม่นมัว ..เมื่อยามเธอยิ้มออกมาได้...ดวงตะวันก็พลันฉายแสงเหนือคลื่นสีฟ้า..”
สุดท้ายนี้ฉันได้มอบจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันเขียนมาถึงแกด้วย หวังว่าแกจะอ่านมันและยกโทษให้ฉันด้วย ที่ฉันแอบแบ่งใจไปให้ดาวิกา อย่างน้อยชื่อของเขาก็คล้ายแกนะดากานดา
คิดถึงแกว่ะ
ไข่ย้วย
************************************************************
เวิ่นเว้อมาเยอะ แค่อยากจะบอกว่านับแต่หนังเรื่อง “เพื่อนสนิท” ที่เป็นหนังหนึ่งในดวงใจ ที่ให้ความรู้สึกอยากดูซ้ำทุกครั้งที่มีโอกาสเกิดขึ้นอีก จนกระทั่ง “พี่มาก..พระโขนง” ทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
และนับตั้งแต่ฉากเปิดตัวดากานดา (นุ่น ศิรพันธ์) ผมก็เพิ่งตะลึงฉากเปิดตัวแม่นาค (ดาวิกา) นี่แหละครับทั้งคำพูด ท่าทางสะกดผมได้จริง ๆ
ทั้งนี้ หนังก็ให้แง่มุมที่น่าสนใจไม่น้อย ทั้งการตั้งคำถามผ่านเพื่อนๆ ตัวแสบของพี่มากว่า คนกับผีจะอยู่ด้วยกันจริงหรือไม่ ความรักที่มีความแตกต่างกันขนาดนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งในท้ายที่สุดหนังก็ได้ตั้งคำถามกับเรามาทางอ้อมว่า ทุกวันนี้เราให้ความสำคัญกับความรักเพราะเราเห็นถึงคุณค่าของความรักนั้นระหว่างคนสองคน หรือเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเหมาะสมมากกว่ากัน และอีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในหัวเลยก็คือว่า ถ้าคนที่เรารักจากเราไปแบบนั้น เราจะมีความรู้สึกอย่างไร และถ้าลักษณะทางกายภาพของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว เราจะยังรู้สึกกับเขาแบบเดิมหรือไม่...
สรุปแล้วผมก็มีหนังที่ผมชอบพอๆกับเพื่อนสนิทเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง (ขอให้คะแนนในใจเพื่อนสนิทมากกว่านิดหนึ่งเพราะเป็นรักแรก)
ปล. หนังที่ผมชอบ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุด แต่เป็นหนังที่เข้าถึงใจผมได้ดีที่สุดครับ ^^b
ปล.2 ตัดต่อถ้อยคำจากข้อความในหนังสือ กล่องไปรษณีย์สีแดง เพื่อเพิ่มความเวิ่นเว้อครับ