
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธาน ส.อ.ท. เปิดเผยผลสำรวจผลกระทบค่าจ้าง 300 บาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 56 (ม.ค.-มี.ค. 56) ว่า ขณะนี้มีธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวน 80% ประสบปัญหาการขาดทุน รองลงมา ขาดสภาพคล่อง 23.33% และ อยู่ระหว่างการพิจารณาการปิดกิจการ 10.42% ดังนั้นหากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นรูปธรรม ขั้นต่อไปธุรกิจจำนวนมากคงต้องพิจารณาลดปริมาณการผลิต การลดจำนวนพนักงาน และการเลิกจ้าง เพื่อประคองกิจการต่อไป
ทั้งนี้หากรัฐบาไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน ตอบแบบสอบถามกลับมาว่า 42.02% จะมีการลดจำนวนคนงาน, ลดกำลังการผลิต 20.28% และ เลิกจ้างงาน 15.94% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่บอกว่าอาจต้องเลิกกิจการหรือย้ายฐานการผลิต 13.04%
“เป็นการสำรวจเอสเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบค่านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันตั้งแต่ที่รัฐบาลได้ประกาศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเวลาครบ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาสแล้ว ส.อ.ท. จำเป็นต้องสำรวจผลกระทบว่าเป็นอย่างไรและต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมบ้าง เบื้องต้นในระยะนี้ปัญหาการว่างงานและการปิดกิจการคงไม่เห็นภาพชัดเจนต้องรอสักระยะหนึ่งก่อน โดยเฉพาะแรงงานที่สามารถเคลื่อนย้ายไปโรงงานขนาดใหญ่หรือกิจการของต่างชาติที่กำลังเข้ามาลงทุนในไทยตามนโยบายสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)”
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบค่าจ้าง 58% ยังสามารถประคองธุรกิจได้ เนื่องจากแต่ละรายมีมาตรการในการปรับตัวของภาคเอกชน เช่น การลดจำนวนพนักงาน, ลดการทำงานล่วงเวลาและลดสวัสดิการ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพแรงงานและปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงการลดขั้นตอนการผลิตและการนำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงาน เป็นต้น.
http://t.co/l9gaKttmkb
ค่าแรง300พ่นพิษทำเอสเอ็มอีเจ๊ง
นายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธาน ส.อ.ท. เปิดเผยผลสำรวจผลกระทบค่าจ้าง 300 บาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 56 (ม.ค.-มี.ค. 56) ว่า ขณะนี้มีธุรกิจเอสเอ็มอีจำนวน 80% ประสบปัญหาการขาดทุน รองลงมา ขาดสภาพคล่อง 23.33% และ อยู่ระหว่างการพิจารณาการปิดกิจการ 10.42% ดังนั้นหากรัฐบาลไม่มีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นรูปธรรม ขั้นต่อไปธุรกิจจำนวนมากคงต้องพิจารณาลดปริมาณการผลิต การลดจำนวนพนักงาน และการเลิกจ้าง เพื่อประคองกิจการต่อไป
ทั้งนี้หากรัฐบาไม่มีมาตรการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากค่าจ้าง 300 บาทต่อวัน ตอบแบบสอบถามกลับมาว่า 42.02% จะมีการลดจำนวนคนงาน, ลดกำลังการผลิต 20.28% และ เลิกจ้างงาน 15.94% นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่บอกว่าอาจต้องเลิกกิจการหรือย้ายฐานการผลิต 13.04%
“เป็นการสำรวจเอสเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบค่านโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันตั้งแต่ที่รัฐบาลได้ประกาศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 56 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นเวลาครบ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาสแล้ว ส.อ.ท. จำเป็นต้องสำรวจผลกระทบว่าเป็นอย่างไรและต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมบ้าง เบื้องต้นในระยะนี้ปัญหาการว่างงานและการปิดกิจการคงไม่เห็นภาพชัดเจนต้องรอสักระยะหนึ่งก่อน โดยเฉพาะแรงงานที่สามารถเคลื่อนย้ายไปโรงงานขนาดใหญ่หรือกิจการของต่างชาติที่กำลังเข้ามาลงทุนในไทยตามนโยบายสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)”
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบค่าจ้าง 58% ยังสามารถประคองธุรกิจได้ เนื่องจากแต่ละรายมีมาตรการในการปรับตัวของภาคเอกชน เช่น การลดจำนวนพนักงาน, ลดการทำงานล่วงเวลาและลดสวัสดิการ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพแรงงานและปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงการลดขั้นตอนการผลิตและการนำเครื่องจักรมาทดแทนแรงงาน เป็นต้น.
http://t.co/l9gaKttmkb