อุทาหรณ์ เหตุการณ์ทิ้งเด็กน้อยไว้บนรถตู้....ความเข้าใจผิดๆที่เสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจ...

เราเป็นแม่คนหนึ่ง ตอนลูกเข้าเรียนใหม่ๆ โทรหาครูตลอดค่ะ เราไม่สนใจหรอกว่าครูจะรำคาญไหม แต่เราเป็นห่วงลูก ให้ครูรำคาญ ดีกว่าเสียใจทีหลัง ทุกวันนี้ ยังโทรอยู่ค่ะ แต่ไม่ทุกวัน เหมือนเป็นการกระตุ้นครู ให้สนใจเด็กๆอยู่เสมอ เราคิดว่า ทุกวันนี้คนมักง่ายเยอะมาก ฝากความหวังไว้กับใครไม่ได้เลย แม้แต่จะฝากลูกไว้กับ ปู่ ย่า ตา ยาย ยังต้องคอยโทรถามเลยค่ะ...เราเชื่อว่า น้องเอยไม่ใช่คนแรกที่ต้องรับผลจากการกระทำของคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ และ มักง่าย...สงสารหนูน้อยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ แก้ปัญหาเองไม่ได้ เพราะเขายังเด็กเกินไปนัก วันนี้ เราไปเสริทเจอข้อมูล ที่เกี่ยวข้องการการทิ้งเด็กไว้บนรถตู้ และ วิธีการป้องกันสำหรับปัญหานี้มาให้เพื่อนๆได้ ลองอ่านกันค่ะ จากเว็บ Manager ค่ะ  http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000042630

กรณีของน้องเอย เด็กหญิงมนัสนันท์ ทองภู่ อายุ 3 ขวบ นักเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ  ถูกทิ้งไว้ในรถตู้ของโรงเรียนราว 5-6 ชั่วโมง จนร่างกายขาดออกซิเจน เกิดสมองบวมอาการสาหัสต้องเข้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูโรงพยาบาลกรุงเทพเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกว่าแพทย์ต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดแบบชั่วโมงต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง  เนื่องจากอาการยังไม่คงที่และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
      
       ส่วนกรณีที่ทางครูบอกว่าเด็กลืมกระเป๋าไว้ในรถและกลับไปเอากระเป๋านั้น เป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีใครเชื่อ เพราะหากน้องเอยวัย 3 ขวบลืมกระเป๋าจริง ก็ไม่น่าที่จะเปิดประตูรถตู้เองได้ตามลำพัง และคำให้การของครูและคนขับรถตู้ก็ขัดแย้งกันเพราะพยายามจะหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง แต่ต่างก็รู้ดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความประมาทและสะเพร่าครั้งใหญ่
      
       เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ข่าวในท่วงทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในระยะหลัง เพียงแต่แตกต่างกันที่รายละเอียดและสาเหตุ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความประมาทของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กเล็ก
      
       ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะพบเด็กติดอยู่ในรถและเสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 30-40 ราย ขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีการรวบรวมสถิติที่ชัดเจน แต่ก็มีเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
      
       นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี เคยพูดถึง กรณีเด็กติดอยู่ในรถแล้วเสียชีวิตมาโดยตลอดว่า คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นเพราะขาดอากาศหายใจเนื่องจากประตูหน้าต่างปิดสนิท  แต่ความจริงแล้วอากาศภายในรถสามารถนอนได้นานเป็นชั่วโมง  แต่ส่วนใหญ่ที่เด็กจะเสียชีวิตเป็นเพราะความร้อนภายในที่สูงขึ้น ซึ่งคุณหมอบอกว่า ใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ได้  ยิ่งหากต้องอยู่ในรถผ่านไป 10 นาที  ร่างกายจะแย่  และภายใน 30 นาทีถึงขั้นเสียชีวิต   คำอธิบายก็คือ เพราะปกติร่างกายคนเรา จะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ  แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
      
       สิ่งที่ตามมา เด็กอาจหยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน หากเจอเด็กที่ติดในรถเร็ว  จะพบในสภาพตัวแดง แต่หากนานแล้วเด็กจะตัวซีดและเสียชีวิต
      
       ฉะนั้น สิ่งที่อยากจะฝากเตือนและแนะนำข้อควรระวังที่พ่อแม่ และผู้ดูแลเด็กเล็กต้องตระหนักต่อเรื่องนี้
      
       ประการแรก    ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยลำพังเด็ดขาด ไม่ว่าคุณจะต้องไปทำธุระนอกรถเร็วหรือช้า แต่ควรนำเด็กลงจากรถไปด้วยทุกครั้ง แม้เด็กจะหลับอยู่ ก็อย่ากังวลว่ากลัวเป็นการปลุกลูก กลัวลูกงอแง แต่คุณต้องเอาลูกลงจากรถด้วยทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงความปลอดภัยเท่านั้น แต่เป็นการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่จอดรถ ลูกต้องลงจากรถ
      
       ประการที่สอง    แง้มหน้าต่างรถก็ไม่ได้ ด้วยความเข้าใจผิดๆ ที่ว่าการเปิดแง้มหน้าต่างไว้ในรถแล้วปล่อยให้เด็กอยู่ภายในจะทำให้เด็กไม่ขาดอากาศหายใจแล้วจะปลอดภัย แต่ความจริงแล้วเด็กเสียชีวิตเพราะความร้อนสูง ไม่ว่าจะจอดกลางแดดหรือในที่ร่ม แต่เนื่องจากสภาพอากาศร้อนในปัจจุบันเหมือนในช่วงนี้ ไม่กี่นาทีเด็กต้องแย่แน่ๆ นี่ยังไม่นับรวมการปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถลำพังก็อาจถูกลักพาตัวได้เช่นกัน
      
       ประการที่สาม    กรณีที่ต้องให้ลูกติดรถไปกับผู้อื่น หมั่นตรวจสอบด้วยการโทรศัพท์ไปสอบถามเป็นระยะว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนอย่างไร เพราะการที่ต้องฝากลูกไว้กับผู้อื่น ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาไม่ได้ดูแลลูกเราเป็นประจำ อาจทำให้หลงลืมหรือเผลอเลอได้ และถ้าเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกันก็ควรจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่าอยู่กับเด็กเล็กต้องระมัดระวังด้วย แต่ทางที่ดีไม่ควรปล่อยลูกวัยเด็กเล็กฝากไว้กับผู้อื่น ควรจะต้องมีพ่อแม่หรือคนในครอบครัวประกบเด็กเล็กด้วยทุกครั้ง
      
       ประการที่สี่    กรณีที่เป็นรถโรงเรียน พ่อแม่ต้องมั่นใจก่อนว่าจะตัดสินใจใช้บริการรถโรงเรียนของโรงเรียนหรือไม่ ความจริงไม่อยากแนะนำให้ลูกวัยเด็กเล็กใช้บริการรถโรงเรียน แต่ก็เข้าใจดีว่าด้วยสภาพการจราจรและวิถีชีวิตอาจทำให้ต้องตัดสินใจใช้บริการรถโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถตู้ทึบ ฉะนั้น พ่อแม่ต้องดูถึงมาตรการความปลอดภัยของรถโรงเรียนด้วย ไม่ใช่ดูเฉพาะสภาพรถว่าเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่ต้องดูถึงเรื่องผู้ที่ต้องเป็นคนไปรับส่งลูกว่ามีใครบ้าง คนขับรถเป็นอย่างไร คนที่ติดรถเป็นคุณครูระดับปฐมวัย มีความเข้าใจเรื่องเด็กเล็กไหม เวลารับส่งเด็กขึ้นรถลงรถมีการเช็คชื่อเด็กหรือไม่ แล้วมาตรการของโรงเรียนเป็นอย่างไร เมื่อเด็กถึงโรงเรียนแล้วมีการดับเบิ้ลเช็คอีกครั้งหรือไม่
      
       สิ่งที่ต้องตระหนักอย่างยิ่งก็คือ ผู้ที่ใกล้ชิดเด็กเล็กทั้งหลายต้องมีความระมัดระวังมากกว่าปกติหลายเท่า เพราะต้องคิดเสมอว่าเด็กเล็กยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองเรื่องความปลอดภัยได้ เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องไม่ประมาทแม้เพียงเสี้ยววินาที
      
       ไม่อยากได้ยินข่าวคราวเรื่องเด็กต้องเสียชีวิตเพราะความประมาทของผู้ใหญ่แบบนี้อีกเลย จริงอยู่ว่าเวลาเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เรามักได้ยินประโยคของผู้ที่เกี่ยวข้องประมาณว่า “ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้หรอก”
      
       แต่บ่อยเหลือเกินมิใช่หรือที่เราได้ยินประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมผู้ใหญ่ไม่ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใช้ประโยคใหม่ซะว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก”
      
       เพราะจะทำให้คุณระมัดระวัง และสร้างมาตรการความปลอดภัยอย่างรอบด้านมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อแม่ คุณครู หรือผู้ดูแลเด็กเล็กก็ตาม..!!!

หวังอย่างยิ่งว่า ในอนาคต หลายๆโรงเรียน จะมีมาตรการป้องกัน ให้ดีกว่านี้...ขอให้น้องเอยเป็นคนสุดท้ายที่ต้องพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยเถอะนะคะ ครูเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเด็กๆ และยิ่งเป็นเด็กเล็ก ครูควรจะรักเขา เหมือน เช่นลูกของตัวเอง....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่