คนที่ว่านั้นคือน้องชายฉันเองค่ะ เราสองคนมีปัญหากันอย่างรุนแรงและได้ประกาศตัดขาดกัน
คนที่ตัดขาดคือฉันเองค่ะ และดุเหมือนฉันถูกตัดขาดจากคนในครอบครัวเหมือนกัน
เรื่องของเรื่องคือ แต่ก่อนพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ฉันอายุมากกว่าน้องชาย 3 ปี เคยส่งเสียน้องช่วยพ่อแม่บ้าง
จนน้องเรียนจบก็มาอยู่กับฉันที่ กทม.ก็ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเรื่อยมา น้องทำงานเป็นเซลส์ของบริษัทชื่อดัง ออกตจว.
แต่จะเข้ากทม.เดือนละ 7 วัน น้องเป้นคนทำงานเก่งจริงจัง ทำให้ก้าวหน้าเร็ว เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว
ตอนนั้นฉันดาวน์คอนโดอยู่ 1 ห้อง ตั้งใจว่าจะเป็นที่พักให้พวกเราพี่น้องและญาติๆ เวลาที่เข้ามา กทม. แต่ตอนยื่นกู้
กุ้ไม่ผ่านเพราะติดกุ้ซื้อรถ น้องชายจึงกู้แทนโดยฉันจะเป็นคนจ่ายค่างวดเอง แต่ต่อมาธุรกิจของฉันล่มทำให้ไม่มีเงินมา
ผ่อน น้องชายจึงรับผิดชอบเรื่องค่างวด เราจึงตกลงกันว่า อีก 3 ปีขาย แล้วแบ่งเงินตามสัดส่วน ระหว่างนี้พ่อ แม่ น้องๆ ญาติ
ก็ได้เข้ามาพักด้วย หากมาเที่ยวที่ กทม.เราอยู่กันเรื่อยมาเข้าปีที่ 4 แฟนน้องชายเรียนจบ ไปเป็นอ.สอนที่ม.แถวๆทะเลใกล้ๆ กทม
น้องชายเกริ่นๆว่า แฟนอยากได้บ้าน ฉันก้เลยเสนอว่างั้นจะขายคอนโดไหม น้องชายบอกว่าไม่ขายจะเอาไว้อย่างนี้ อันนี้ก็จบไป
ต่อมาแค่ 1 เดือนน้องชายก้เปลี่ยน กลับไม่ยอมคุยกับฉัน ทำเหมือนฉันเป็นอากาศ บางวันเห็นฉันอยู่ในห้องก็ทำหงุดหงิดใส่ ด่ากระทบ
เปิดทีวี เสียงดังลั่น โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นเลย ไม่กินข้าวด้วยกัน เป็นอยู่อย่างนี้นานเป็นเดือน วันที่ฉันแน่ใจว่าน้องไม่พอใจฉันคือ
ฉันชวนน้องคุยแต่เขาไม่คุยกับฉัน และนั่งอยู่เขาเดินผ่าน แล้วด่าว่า อี ฉันบอกตามตรงฉันเสียใจอย่างมาก
ฉันก็โทรไปเล่าปัญหาให้แม่ฟัง แล้วฝากแม่ถามน้องว่า จะขายไหมคอนโดอ่ะ แม่บอกฉันว่า น้องจะขาย ฉันเสียความรู้สึกสุดๆ ตรงที่
ทำไมไม่บอกกันดีๆ
ระหว่างนี้ฉันกับน้องไม่คุยกันเลย เขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของห้องและฉันเป็นกาฝาก แต่คนที่ดำเนินการขายก็คือฉัน
ตอนที่ยังขายไม่ได้แม่ก็โทรมาต่อว่า ว่าทำไมฉันถึงยังขายไม่ได้อีก ทำอะไรชักช้า ฉันก็เสียใจนะ ฉันลงประกาศขาย
ก้แล้ว ก็ยังไม่ได้ ฉันก็เลยไปบน ว่าหากขายได้ฉันจะกินมังฯ 6 เดือน ในที่สุดก็ขายได้ แต่ได้ราคาที่ไม่สูงมาก แม่ก็ว่าฉันว่าขายยังไง
ถึงได้แค่นี้ (อ้อ แม่รักน้องชายมากกว่าลูกทุกคน เพราะเป็นลูกชายคนเดียว) ทั้งๆที่ทุกอย่างฉันเขียนรายงานให้น้องและแม่รับรู้มาโดยตลอด
เงินค่ามัดจำน้องชายก็เอาไปแล้วโกหกแม่ว่าเอาไปผ่อนธนาคาร แต่จริงๆไม่ได้ผ่อนเลย เพราะมันโชว์ตอนที่จนท.มาวันที่โอน ซื้อขาย
น้องเคยแอบติดต่อกับผู้ซื้อเอง ประมาณว่าจะได้ไม่ต้องยืมมือฉัน แต่คนซื้อกลับโทรมาบอกฉันว่าน้องชายโทรคุยแต่คุยไม่รู้เรื่อง
ตกลงยังไงกันแน่ ฉันไม่อยากให้ลูกค้ามองไม่ดี จึงโทรบอกแม่ว่าเรื่องนี้ต้องให้ฉันดูแลไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาการสื่อสารไม่ตรงกัน
หากขายเรียบร้อยแล้วก็ค่อยต่างคนต่างอยู่ ตัดขาดกันไปเลย สุดท้ายก็ผ่านมาได้โดยลุล่วง
หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เหลือเงินก้อนนึง ฉันได้ส่วนแบ่งที่ฉันขอคือ 40000 บาท ฉันเอาเงินก้อนนั้นไปเป็นค่ามัดจำ
เช่าบ้านเพราะแม่เอาหมาของแม่มาให้ฉันเลี้ยงแทน ใจฉันอยากเช่าห้องอยู่คนเดียวแต่พอมีหมา ทำให้เลี้ยงตามหอพักไม่ได้
จึงทำให้มีรายจ่ายมากขึ้น
ฉันบอกตามตรงฉันทำใจไม่ได้ที่ถูกกระทำแบบนั้น เหมือนฉันเป็นตัวอะไรสักอย่าง ไม่ให้เกียรติฉันเลยอย่างน้อยฉันก็เป็นพี่
มิหนำซ้ำแม่ยังเข้าข้างน้องชายเต็มที่โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ แม่โทรมาบอกว่าน้องชายจะบวช ฉันต้องไปเตรียมงาน ซื้อน้ำแข็ง น้ำขวด
จัดโต๊ะ ฯลฯ
ฉันบอกตามตรงฉันไม่อยากไป ฉันผิดมากไหม หากฉันจะไม่ไป?
ผิดไหมที่ฉันจะไม่ไปร่วมงานบวชของคนที่มีสายเลือดเดียวกัน?
คนที่ตัดขาดคือฉันเองค่ะ และดุเหมือนฉันถูกตัดขาดจากคนในครอบครัวเหมือนกัน
เรื่องของเรื่องคือ แต่ก่อนพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ฉันอายุมากกว่าน้องชาย 3 ปี เคยส่งเสียน้องช่วยพ่อแม่บ้าง
จนน้องเรียนจบก็มาอยู่กับฉันที่ กทม.ก็ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเรื่อยมา น้องทำงานเป็นเซลส์ของบริษัทชื่อดัง ออกตจว.
แต่จะเข้ากทม.เดือนละ 7 วัน น้องเป้นคนทำงานเก่งจริงจัง ทำให้ก้าวหน้าเร็ว เป็นที่ภาคภูมิใจของคนในครอบครัว
ตอนนั้นฉันดาวน์คอนโดอยู่ 1 ห้อง ตั้งใจว่าจะเป็นที่พักให้พวกเราพี่น้องและญาติๆ เวลาที่เข้ามา กทม. แต่ตอนยื่นกู้
กุ้ไม่ผ่านเพราะติดกุ้ซื้อรถ น้องชายจึงกู้แทนโดยฉันจะเป็นคนจ่ายค่างวดเอง แต่ต่อมาธุรกิจของฉันล่มทำให้ไม่มีเงินมา
ผ่อน น้องชายจึงรับผิดชอบเรื่องค่างวด เราจึงตกลงกันว่า อีก 3 ปีขาย แล้วแบ่งเงินตามสัดส่วน ระหว่างนี้พ่อ แม่ น้องๆ ญาติ
ก็ได้เข้ามาพักด้วย หากมาเที่ยวที่ กทม.เราอยู่กันเรื่อยมาเข้าปีที่ 4 แฟนน้องชายเรียนจบ ไปเป็นอ.สอนที่ม.แถวๆทะเลใกล้ๆ กทม
น้องชายเกริ่นๆว่า แฟนอยากได้บ้าน ฉันก้เลยเสนอว่างั้นจะขายคอนโดไหม น้องชายบอกว่าไม่ขายจะเอาไว้อย่างนี้ อันนี้ก็จบไป
ต่อมาแค่ 1 เดือนน้องชายก้เปลี่ยน กลับไม่ยอมคุยกับฉัน ทำเหมือนฉันเป็นอากาศ บางวันเห็นฉันอยู่ในห้องก็ทำหงุดหงิดใส่ ด่ากระทบ
เปิดทีวี เสียงดังลั่น โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นเลย ไม่กินข้าวด้วยกัน เป็นอยู่อย่างนี้นานเป็นเดือน วันที่ฉันแน่ใจว่าน้องไม่พอใจฉันคือ
ฉันชวนน้องคุยแต่เขาไม่คุยกับฉัน และนั่งอยู่เขาเดินผ่าน แล้วด่าว่า อี ฉันบอกตามตรงฉันเสียใจอย่างมาก
ฉันก็โทรไปเล่าปัญหาให้แม่ฟัง แล้วฝากแม่ถามน้องว่า จะขายไหมคอนโดอ่ะ แม่บอกฉันว่า น้องจะขาย ฉันเสียความรู้สึกสุดๆ ตรงที่
ทำไมไม่บอกกันดีๆ
ระหว่างนี้ฉันกับน้องไม่คุยกันเลย เขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของห้องและฉันเป็นกาฝาก แต่คนที่ดำเนินการขายก็คือฉัน
ตอนที่ยังขายไม่ได้แม่ก็โทรมาต่อว่า ว่าทำไมฉันถึงยังขายไม่ได้อีก ทำอะไรชักช้า ฉันก็เสียใจนะ ฉันลงประกาศขาย
ก้แล้ว ก็ยังไม่ได้ ฉันก็เลยไปบน ว่าหากขายได้ฉันจะกินมังฯ 6 เดือน ในที่สุดก็ขายได้ แต่ได้ราคาที่ไม่สูงมาก แม่ก็ว่าฉันว่าขายยังไง
ถึงได้แค่นี้ (อ้อ แม่รักน้องชายมากกว่าลูกทุกคน เพราะเป็นลูกชายคนเดียว) ทั้งๆที่ทุกอย่างฉันเขียนรายงานให้น้องและแม่รับรู้มาโดยตลอด
เงินค่ามัดจำน้องชายก็เอาไปแล้วโกหกแม่ว่าเอาไปผ่อนธนาคาร แต่จริงๆไม่ได้ผ่อนเลย เพราะมันโชว์ตอนที่จนท.มาวันที่โอน ซื้อขาย
น้องเคยแอบติดต่อกับผู้ซื้อเอง ประมาณว่าจะได้ไม่ต้องยืมมือฉัน แต่คนซื้อกลับโทรมาบอกฉันว่าน้องชายโทรคุยแต่คุยไม่รู้เรื่อง
ตกลงยังไงกันแน่ ฉันไม่อยากให้ลูกค้ามองไม่ดี จึงโทรบอกแม่ว่าเรื่องนี้ต้องให้ฉันดูแลไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาการสื่อสารไม่ตรงกัน
หากขายเรียบร้อยแล้วก็ค่อยต่างคนต่างอยู่ ตัดขาดกันไปเลย สุดท้ายก็ผ่านมาได้โดยลุล่วง
หลังจากหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว เหลือเงินก้อนนึง ฉันได้ส่วนแบ่งที่ฉันขอคือ 40000 บาท ฉันเอาเงินก้อนนั้นไปเป็นค่ามัดจำ
เช่าบ้านเพราะแม่เอาหมาของแม่มาให้ฉันเลี้ยงแทน ใจฉันอยากเช่าห้องอยู่คนเดียวแต่พอมีหมา ทำให้เลี้ยงตามหอพักไม่ได้
จึงทำให้มีรายจ่ายมากขึ้น
ฉันบอกตามตรงฉันทำใจไม่ได้ที่ถูกกระทำแบบนั้น เหมือนฉันเป็นตัวอะไรสักอย่าง ไม่ให้เกียรติฉันเลยอย่างน้อยฉันก็เป็นพี่
มิหนำซ้ำแม่ยังเข้าข้างน้องชายเต็มที่โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ แม่โทรมาบอกว่าน้องชายจะบวช ฉันต้องไปเตรียมงาน ซื้อน้ำแข็ง น้ำขวด
จัดโต๊ะ ฯลฯ
ฉันบอกตามตรงฉันไม่อยากไป ฉันผิดมากไหม หากฉันจะไม่ไป?