เพียงครึ่งใจ (บทที่ 21)
รถยนต์คันงามพลันจอดนิ่งสนิท เปิดสัญญาณไฟกระพริบ จนคนที่รอรถแท็กซี่อยู่ริมถนนต้องมองด้วยความประหลาดใจ
ประตูตอนหลังของรถเปิดออก ร่างสูงก้าวลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่บัดนี้กำลังเปิดประตูของรถแท็กซี่ที่เพิ่งจอดเทียบ
“ดึกแล้ว นั่งแท็กซี่ไปคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย เดี๋ยวผมไปส่ง”
วิธีการพูดของเขา มักให้เหตุผลก่อนบอกความต้องการเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เพียงแต่หลายที การปฏิเสธของหญิงสาวมักไม่ให้เหตุผลใดๆ ครั้งนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“ไม่ต้อง” ว่าแล้วเธอก็ก้มลงบอกสถานที่ปลายทางกับคนขับรถ
“นี่ไม่ใช่เป็นการขอร้อง หรือออกความเห็น”
คำบอกนั่นทำให้นิหล่าหันขวับมองด้วยสายตานิ่งเฉย แล้วจึงหันกลับ เพียงแต่ว่ามือของเขาคว้าข้อมือของเธอ ดึงเบาๆ ให้ถอยห่างจากรถ
“ขอโทษนะครับ” อนรรฆกล่าวเช่นนั้นกับคนขับ
“ไปเคลียร์กันให้จบก่อนไป๊ เสียเวลาคนอื่นทำมาหากิน” คนขับแท็กซี่ส่ายหัวบ่น แล้วกระชากรถออกไปทันทีที่ประตูปิดลง
“ทำแบบนี้ทำไม” หญิงสาวกระแทกเสียงฉุนเฉียว ดวงตาขุ่นวาววับ พลางกระชากมือของตนออกจากการจับกุม
“ถ้ามันยังไม่ดึกขนาดนี้ ผมก็คงไม่ยุ่ง ที่ต้องยุ่งก็ในฐานะที่บริษัทของเราเป็นหุ้นส่วนกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ผมกลัวงานของผมชะงัก ไปกันเถอะ เดี๋ยวไปส่ง”
เพียงแต่ว่าอนรรฆย่อมรู้ คำพูดนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะความรู้สึกของเขาไม่ต่างกับเมื่อหลายปีก่อนที่เคยปล่อยนิหล่าไว้ที่สนามบิน โดยไม่ได้ตั้งใจจะตามหาในตอนแรก จนในที่สุด เพราะวูบความคิดเป็นห่วง และความรู้สึกผิดจนกระทั่งต้องกลับไป
คราวนี้ ไม่ใช่เพราะแค่ความรู้สึกที่คล้ายแบบนั้น หากยังมีความอาวรณ์ที่เกาะติดอยู่ในใจตะโกนลั่น…กลับไป!
ในตอนนี้ เขาทำได้แต่เพียงมองตามร่างเล็กที่เดินนำไปยังรถที่จอดรออยู่ ทว่าเมื่ออดไม่ได้จริงๆ ชายหนุ่มจึงพลั้งปากกระแนะกระแหน ด้วยเสียงค่อนข้างดังที่คนอยู่ข้างหน้าได้ยิน
“หายใจอยู่ในรถคันเดียวกันแค่ไม่กี่นาที คงไม่ถึงกับตายหรอกมั้ง”
เมื่อนั้นคนเดินนำหยุดนิ่งเพียงครู่ มองเขาที่บัดนี้นำลิ่วไปเปิดประตูรถรอ นิหล่าถอนหายใจเมื่อเดินมาถึง มองคนที่ยืนตัวตรงรอเธอให้ขึ้นรถ และเมื่อเธอขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปิดประตูลง และแทนที่จะเดินอ้อมไปนั่งอีกด้าน อนรรฆกลับเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับ แล้วเข้านั่ง ก่อนจะกล่าว
“บอกโนชด้วยว่าจะให้ไปส่งที่ไหน”
นิหล่าบอกชื่อของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์หรูที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นภายในรถก็มีแต่ความเงียบ
ทว่าสายตาของหญิงสาวแลไปข้างหน้า
เบาะหน้ามีเขานั่งอยู่
นั่งนิ่ง เงียบ ไม่ขยับตัว
ส่วนคนขับรถที่นั่งตัวเกร็งตั้งแต่ตอนแรก ก็เริ่มผ่อนคลาย เมื่อหันเหลือบมองผู้เป็นเจ้านายอยู่สองสามที
จนกระทั่งรถยนต์คันงามแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกสูงของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาโนชจึงหันมากระซิบกระซาบบอกหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“นายหลับไปแล้วครับ…” แถมยังต่อด้วยว่า “สงสัยคงเหนื่อย ลงเครื่องเมื่อเช้าก็เข้าทำงานเลย”
“ขอบคุณนะคะ ฝากขอบคุณ คุณอนรรฆด้วย” นิหล่าเพียงยิ้มบางๆ น้ำเสียงนั้นเรียบราบเกือบมีแววเศร้า
เธอมองเบาะหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูลง มองตามจนกระทั่งรถยนต์คันนั้นเคลื่อนตัวหายออกไปในความมืด
เพียงแต่ว่าเมื่อรถแคมรี่แล่นออกมาได้เพียงไม่ถึงนาที คนที่ ‘หลับ’ ก็ขยับตัว กดโทรศัพท์
“อีกไม่เกินสิบนาทีถึงบ้านจ้ะ เมียดเตรียมกับข้าวไว้ได้เลยนะ”
และเมื่อเป็นเช่นนั้น มาโนชจึงเพียงแต่อุทานว่า “อ้าว…”
ทว่าไม่มีคำพูด คำปราม หรือการดุเช่นเคยจากผู้เป็นนาย ทำให้มาโนชอดคิดไม่ได้ที่จะคิดถึงวลีเด็ดของคุณหญิงดิลกา
คุณนนท์…‘เอาหัวใจไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียล่ะเนี่ย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาเสียบ้างเลย’
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้มาโนชเริ่มคิด
หัวใจของคุณนนท์ อาจจะหล่นอยู่แถวๆ นี้ก็เป็นได้
เพราะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรงถึงความตึงเครียดระหว่างผู้เป็นนายกับสาวพม่า ทำให้มาโนชอดไม่ไหวถึงกลับต้องปรึกษากับผู้เป็นป้า
“มันชักจะยังไงๆ นะ”
“คุณนนท์ก็อาจยังอ่อนไหว เพราะเรื่องผู้หญิงพม่าคนโน้น”
“คนโน้น คนไหนก็ช่างเถอะป้า…แต่กับคนนี้ เหมือนว่าคุณนิหล่าเองก็น่าจะมีใจนา”
“โอ๊ย…ใครเห็นคุณนนท์ของข้า ก็ต้องรักต้องหลงทั้งนั้นแหละ เอ็งยังไม่ชินอีกเหรอ”
“แหม…รักหลงน่ะใช่ แต่ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ ทำไมต้องแข็งขัง ต้องงอนด้วยล่ะ มันไม่ใช่ฝ่ายโน้นฝ่ายเดียว แต่คนของเราก็เป็น น่าสงสัยนา ป้าไม่ลองถามคุณนนท์ล่ะ อย่างน้อยถ้ารู้ก็จะได้ช่วยกัน ไม่งั้น คุณนนท์เกิดอกหัก แล้วประชดชีวิต ไม่แต่งงานขึ้นมา ป้าอดเลี้ยงลูกของคุณนนท์นะ”
คนเป็นหลานขู่รู้ดีว่าผู้เป็นป้ารอเพียงอุ้มลูกของคุณนนท์
‘ยังไงข้าก็จะสู้กับยมทูตล่ะวะ’ ละเมียดเคยประกาศเมื่อครั้งป่วยหนักเมื่อหลายปีก่อน และ…ท่านยมทูตก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
“คราวนี้ป้าก็ไปทะเลาะกับท่านยมทูตเองก็แล้วกัน”
กำลังจะหันไปเอ็ดหลานชายอยู่แล้วเชียว แต่คุณนนท์ก็เดินลงมาจากข้างบนเสียก่อน
ร่างสูงในกางเกงและเสื้อเชิ้ตทำงานมีเคล้าอิดโรยเพียงเล็กน้อย หากดวงหน้าคมคายดูนิ่งเฉย
จนสองคนป้าหลานต้องมองกันเลิ่กลั่ก โดยผู้เป็นหลานพยักเพยิกหน้าส่งสัญญาณให้ผู้เป็นป้า
“เอ…คุณนนท์ขา เห็นไอ้โนชว่า เมื่อคืนแวะไปส่งคุณนิหล่าเหรอคะ” คำถามของละเมียด ได้คำตอบแต่เพียงการพยักหน้าแบบไม่ใส่ใจจากคนถูกถาม “ไม่เห็นคุณเขาจะแวะมาบ้างเลย”
“แล้วเมียดจะถามถึงทำไม ไม่มาก็ช่าง จะไปบังคับเขาได้ยังไง ปล่อยเขา ไปยุ่งให้ปวดหัว เสียเวร่ำ เวลา”
การบอกด้วยคิ้วขมวดหน้าตรงแกมหงุดหงิดเช่นนี้ ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก จนมาโนชกระซิบกับผู้เป็นป้า
“มาเป็นชุดเลยไหมล่ะ”
“ว่าแต่เย็นนี้เมียดไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะ โนชก็ไม่ต้องไปรับ”
“แล้วคุณนนท์จะกลับยังไงคะ”
“เดี๋ยวแพทไปรับ”
คำบอกสั้นๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไป ทำให้สองคนป้าหลานได้แต่ร้อง…อ้าว
“เห็นไหมล่ะ พูดผิดซะที่ไหน” มาโนชทำเสียงกระซิบกระซาบ ด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจะได้ยิน “ผิดหวังจากสาวพม่า เพราะว่าคุณนิหล่ามีคนรักอยู่แล้ว เทียวรับเทียวส่งกันหลายทีอยู่หรอก ตอนนี้คุณนนท์ก็เลยเอาถ่านไฟเก่ามาคลุกเล่น แล้วไหนยังมีของใหม่ๆ ซิงๆ เช่นน้องทราย ที่คุณหญิงแนะนำอีก”
“เฮ้ย…พูดให้มันดีๆ คุณนนท์ของข้าไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้น เดี๋ยวเหอะ…”
“ไม่เคยเป็น ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ คุณนนท์สุดรักสุดดวงใจของป้าน่ะ เกิดมาเคยโดนผู้หญิงปฏิเสธ เชิดใส่แบบนี้เหรอ อย่างมากก็เล่นตัวพอเป็นพิธี แต่ก็เสร็จทุกราย ล่าสุดก็คุณน้องทราย แต่รายนี้…คุณนิหล่า” มาโนชส่ายหัว ถอนหายใจ “คนรักเธอก็มี ตาก็แทบไม่มองคุณนนท์ และต่อให้รักนะ…พอมาเจอทั้งคุณแพท คุณอ้อ คุณโอ๋ คุณนา แล้วยังคุณหญิง แค่นี้ก็จอดไม่แจวแล้ว นี่ยังไม่รวมคุณละเมียดนะ”
“ไอ้โนช!”
เสียงของผู้เป็นนายที่ตะโกนเรียกจากหน้าบ้าน ดังพร้อมกันกับเสียงของผู้เป็นป้า
มาโนชรีบวิ่งแจ้นออกไป
“ไปส่งคุณนนท์แล้วนะป้า แต่ป้าก็ควรหาทางเริ่มคิดนะ ว่าจะทำยังไงให้สาวพม่าใจอ่อน ไม่เช่นนั้นก็เตรียมยกขันหมากไปสู่ขอนางวันทองสองใจได้เลย รายนั้นน่าจะเข้าวินสุด ถ่านไฟเก่าร้อนแรง”
เสียงสบถดังลั่นตามหลังมาอีกยกใหญ่ จนมาโนชวิ่งหายออกไปนั่นแหละ ละเมียดจึงตีหน้ากลุ้ม เมื่อนึก
สายสวาทมัดสิ้นซึ่งสายใจ
สายเกินไปสุดคว้าไว้มาครอบครอง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว
พ่อโฉมงาม จะไปคว้าเขามาได้อย่างไร
ต่อให้มีรูปเป็นทรัพย์ แต่ถ้าเขาไม่รัก แล้วจะทำฉันใดได้ละหนอ
(ต่อ)
เพียงครึ่งใจ (บทที่ 21) โดย มานัส
รถยนต์คันงามพลันจอดนิ่งสนิท เปิดสัญญาณไฟกระพริบ จนคนที่รอรถแท็กซี่อยู่ริมถนนต้องมองด้วยความประหลาดใจ
ประตูตอนหลังของรถเปิดออก ร่างสูงก้าวลงมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่บัดนี้กำลังเปิดประตูของรถแท็กซี่ที่เพิ่งจอดเทียบ
“ดึกแล้ว นั่งแท็กซี่ไปคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย เดี๋ยวผมไปส่ง”
วิธีการพูดของเขา มักให้เหตุผลก่อนบอกความต้องการเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เพียงแต่หลายที การปฏิเสธของหญิงสาวมักไม่ให้เหตุผลใดๆ ครั้งนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
“ไม่ต้อง” ว่าแล้วเธอก็ก้มลงบอกสถานที่ปลายทางกับคนขับรถ
“นี่ไม่ใช่เป็นการขอร้อง หรือออกความเห็น”
คำบอกนั่นทำให้นิหล่าหันขวับมองด้วยสายตานิ่งเฉย แล้วจึงหันกลับ เพียงแต่ว่ามือของเขาคว้าข้อมือของเธอ ดึงเบาๆ ให้ถอยห่างจากรถ
“ขอโทษนะครับ” อนรรฆกล่าวเช่นนั้นกับคนขับ
“ไปเคลียร์กันให้จบก่อนไป๊ เสียเวลาคนอื่นทำมาหากิน” คนขับแท็กซี่ส่ายหัวบ่น แล้วกระชากรถออกไปทันทีที่ประตูปิดลง
“ทำแบบนี้ทำไม” หญิงสาวกระแทกเสียงฉุนเฉียว ดวงตาขุ่นวาววับ พลางกระชากมือของตนออกจากการจับกุม
“ถ้ามันยังไม่ดึกขนาดนี้ ผมก็คงไม่ยุ่ง ที่ต้องยุ่งก็ในฐานะที่บริษัทของเราเป็นหุ้นส่วนกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ผมกลัวงานของผมชะงัก ไปกันเถอะ เดี๋ยวไปส่ง”
เพียงแต่ว่าอนรรฆย่อมรู้ คำพูดนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะความรู้สึกของเขาไม่ต่างกับเมื่อหลายปีก่อนที่เคยปล่อยนิหล่าไว้ที่สนามบิน โดยไม่ได้ตั้งใจจะตามหาในตอนแรก จนในที่สุด เพราะวูบความคิดเป็นห่วง และความรู้สึกผิดจนกระทั่งต้องกลับไป
คราวนี้ ไม่ใช่เพราะแค่ความรู้สึกที่คล้ายแบบนั้น หากยังมีความอาวรณ์ที่เกาะติดอยู่ในใจตะโกนลั่น…กลับไป!
ในตอนนี้ เขาทำได้แต่เพียงมองตามร่างเล็กที่เดินนำไปยังรถที่จอดรออยู่ ทว่าเมื่ออดไม่ได้จริงๆ ชายหนุ่มจึงพลั้งปากกระแนะกระแหน ด้วยเสียงค่อนข้างดังที่คนอยู่ข้างหน้าได้ยิน
“หายใจอยู่ในรถคันเดียวกันแค่ไม่กี่นาที คงไม่ถึงกับตายหรอกมั้ง”
เมื่อนั้นคนเดินนำหยุดนิ่งเพียงครู่ มองเขาที่บัดนี้นำลิ่วไปเปิดประตูรถรอ นิหล่าถอนหายใจเมื่อเดินมาถึง มองคนที่ยืนตัวตรงรอเธอให้ขึ้นรถ และเมื่อเธอขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ปิดประตูลง และแทนที่จะเดินอ้อมไปนั่งอีกด้าน อนรรฆกลับเปิดประตูด้านที่นั่งข้างคนขับ แล้วเข้านั่ง ก่อนจะกล่าว
“บอกโนชด้วยว่าจะให้ไปส่งที่ไหน”
นิหล่าบอกชื่อของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์หรูที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นภายในรถก็มีแต่ความเงียบ
ทว่าสายตาของหญิงสาวแลไปข้างหน้า
เบาะหน้ามีเขานั่งอยู่
นั่งนิ่ง เงียบ ไม่ขยับตัว
ส่วนคนขับรถที่นั่งตัวเกร็งตั้งแต่ตอนแรก ก็เริ่มผ่อนคลาย เมื่อหันเหลือบมองผู้เป็นเจ้านายอยู่สองสามที
จนกระทั่งรถยนต์คันงามแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกสูงของเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาโนชจึงหันมากระซิบกระซาบบอกหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหลัง
“นายหลับไปแล้วครับ…” แถมยังต่อด้วยว่า “สงสัยคงเหนื่อย ลงเครื่องเมื่อเช้าก็เข้าทำงานเลย”
“ขอบคุณนะคะ ฝากขอบคุณ คุณอนรรฆด้วย” นิหล่าเพียงยิ้มบางๆ น้ำเสียงนั้นเรียบราบเกือบมีแววเศร้า
เธอมองเบาะหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูลง มองตามจนกระทั่งรถยนต์คันนั้นเคลื่อนตัวหายออกไปในความมืด
เพียงแต่ว่าเมื่อรถแคมรี่แล่นออกมาได้เพียงไม่ถึงนาที คนที่ ‘หลับ’ ก็ขยับตัว กดโทรศัพท์
“อีกไม่เกินสิบนาทีถึงบ้านจ้ะ เมียดเตรียมกับข้าวไว้ได้เลยนะ”
และเมื่อเป็นเช่นนั้น มาโนชจึงเพียงแต่อุทานว่า “อ้าว…”
ทว่าไม่มีคำพูด คำปราม หรือการดุเช่นเคยจากผู้เป็นนาย ทำให้มาโนชอดคิดไม่ได้ที่จะคิดถึงวลีเด็ดของคุณหญิงดิลกา
คุณนนท์…‘เอาหัวใจไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียล่ะเนี่ย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาเสียบ้างเลย’
เหตุการณ์วันนี้ ทำให้มาโนชเริ่มคิด
หัวใจของคุณนนท์ อาจจะหล่นอยู่แถวๆ นี้ก็เป็นได้
เพราะเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรงถึงความตึงเครียดระหว่างผู้เป็นนายกับสาวพม่า ทำให้มาโนชอดไม่ไหวถึงกลับต้องปรึกษากับผู้เป็นป้า
“มันชักจะยังไงๆ นะ”
“คุณนนท์ก็อาจยังอ่อนไหว เพราะเรื่องผู้หญิงพม่าคนโน้น”
“คนโน้น คนไหนก็ช่างเถอะป้า…แต่กับคนนี้ เหมือนว่าคุณนิหล่าเองก็น่าจะมีใจนา”
“โอ๊ย…ใครเห็นคุณนนท์ของข้า ก็ต้องรักต้องหลงทั้งนั้นแหละ เอ็งยังไม่ชินอีกเหรอ”
“แหม…รักหลงน่ะใช่ แต่ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่ ทำไมต้องแข็งขัง ต้องงอนด้วยล่ะ มันไม่ใช่ฝ่ายโน้นฝ่ายเดียว แต่คนของเราก็เป็น น่าสงสัยนา ป้าไม่ลองถามคุณนนท์ล่ะ อย่างน้อยถ้ารู้ก็จะได้ช่วยกัน ไม่งั้น คุณนนท์เกิดอกหัก แล้วประชดชีวิต ไม่แต่งงานขึ้นมา ป้าอดเลี้ยงลูกของคุณนนท์นะ”
คนเป็นหลานขู่รู้ดีว่าผู้เป็นป้ารอเพียงอุ้มลูกของคุณนนท์
‘ยังไงข้าก็จะสู้กับยมทูตล่ะวะ’ ละเมียดเคยประกาศเมื่อครั้งป่วยหนักเมื่อหลายปีก่อน และ…ท่านยมทูตก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
“คราวนี้ป้าก็ไปทะเลาะกับท่านยมทูตเองก็แล้วกัน”
กำลังจะหันไปเอ็ดหลานชายอยู่แล้วเชียว แต่คุณนนท์ก็เดินลงมาจากข้างบนเสียก่อน
ร่างสูงในกางเกงและเสื้อเชิ้ตทำงานมีเคล้าอิดโรยเพียงเล็กน้อย หากดวงหน้าคมคายดูนิ่งเฉย
จนสองคนป้าหลานต้องมองกันเลิ่กลั่ก โดยผู้เป็นหลานพยักเพยิกหน้าส่งสัญญาณให้ผู้เป็นป้า
“เอ…คุณนนท์ขา เห็นไอ้โนชว่า เมื่อคืนแวะไปส่งคุณนิหล่าเหรอคะ” คำถามของละเมียด ได้คำตอบแต่เพียงการพยักหน้าแบบไม่ใส่ใจจากคนถูกถาม “ไม่เห็นคุณเขาจะแวะมาบ้างเลย”
“แล้วเมียดจะถามถึงทำไม ไม่มาก็ช่าง จะไปบังคับเขาได้ยังไง ปล่อยเขา ไปยุ่งให้ปวดหัว เสียเวร่ำ เวลา”
การบอกด้วยคิ้วขมวดหน้าตรงแกมหงุดหงิดเช่นนี้ ไม่มีให้เห็นบ่อยนัก จนมาโนชกระซิบกับผู้เป็นป้า
“มาเป็นชุดเลยไหมล่ะ”
“ว่าแต่เย็นนี้เมียดไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อนะ โนชก็ไม่ต้องไปรับ”
“แล้วคุณนนท์จะกลับยังไงคะ”
“เดี๋ยวแพทไปรับ”
คำบอกสั้นๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกไป ทำให้สองคนป้าหลานได้แต่ร้อง…อ้าว
“เห็นไหมล่ะ พูดผิดซะที่ไหน” มาโนชทำเสียงกระซิบกระซาบ ด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจะได้ยิน “ผิดหวังจากสาวพม่า เพราะว่าคุณนิหล่ามีคนรักอยู่แล้ว เทียวรับเทียวส่งกันหลายทีอยู่หรอก ตอนนี้คุณนนท์ก็เลยเอาถ่านไฟเก่ามาคลุกเล่น แล้วไหนยังมีของใหม่ๆ ซิงๆ เช่นน้องทราย ที่คุณหญิงแนะนำอีก”
“เฮ้ย…พูดให้มันดีๆ คุณนนท์ของข้าไม่ใช่เป็นคนอย่างนั้น เดี๋ยวเหอะ…”
“ไม่เคยเป็น ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ คุณนนท์สุดรักสุดดวงใจของป้าน่ะ เกิดมาเคยโดนผู้หญิงปฏิเสธ เชิดใส่แบบนี้เหรอ อย่างมากก็เล่นตัวพอเป็นพิธี แต่ก็เสร็จทุกราย ล่าสุดก็คุณน้องทราย แต่รายนี้…คุณนิหล่า” มาโนชส่ายหัว ถอนหายใจ “คนรักเธอก็มี ตาก็แทบไม่มองคุณนนท์ และต่อให้รักนะ…พอมาเจอทั้งคุณแพท คุณอ้อ คุณโอ๋ คุณนา แล้วยังคุณหญิง แค่นี้ก็จอดไม่แจวแล้ว นี่ยังไม่รวมคุณละเมียดนะ”
“ไอ้โนช!”
เสียงของผู้เป็นนายที่ตะโกนเรียกจากหน้าบ้าน ดังพร้อมกันกับเสียงของผู้เป็นป้า
มาโนชรีบวิ่งแจ้นออกไป
“ไปส่งคุณนนท์แล้วนะป้า แต่ป้าก็ควรหาทางเริ่มคิดนะ ว่าจะทำยังไงให้สาวพม่าใจอ่อน ไม่เช่นนั้นก็เตรียมยกขันหมากไปสู่ขอนางวันทองสองใจได้เลย รายนั้นน่าจะเข้าวินสุด ถ่านไฟเก่าร้อนแรง”
เสียงสบถดังลั่นตามหลังมาอีกยกใหญ่ จนมาโนชวิ่งหายออกไปนั่นแหละ ละเมียดจึงตีหน้ากลุ้ม เมื่อนึก
สายสวาทมัดสิ้นซึ่งสายใจ
สายเกินไปสุดคว้าไว้มาครอบครอง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว พ่อโฉมงาม จะไปคว้าเขามาได้อย่างไร
ต่อให้มีรูปเป็นทรัพย์ แต่ถ้าเขาไม่รัก แล้วจะทำฉันใดได้ละหนอ
(ต่อ)