วันนี้ ( 23 มี.ค.) นายวิทยา ตัฒทวณิช หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวองค์การบริหารส่วน จ.ภูเก็ต ได้รับแจ้งจากประชาชนบ้านเกาะโหลน ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต มีชาวโรฮิงญา อพยพเข้ามาติดที่เกาะ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชานายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นายกองค์การบริหารส่วน.จ.ภูเก็ต นายสำราญ จินดาพล นายกเทศมนตรีตำบลฉลอง นายสรธรรม จินดา รองนายกองคืการบริหารส่วน จ.ภูเก็ต นางสาวชุติมา จันทรมี ผอ.การท่องเที่ยวและกีฬา ทราบและประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ จ.ภูเก็ต นำเรือตรวจการณ์พร้อมนายสวัสด์ อานัติ หัวหน้าฝ่ายเจ้าหน้าที่ตรวจการณ์
เดินทางออกไปทำการตรวจสอบ ปรากฎว่าพบชาวโรฮิงญาทั้งชาย หญิง และเด็ก จำนวน 89 คน ที่บนท่าเทียบนเรือบ้านเเกาะโหลน หมู่ 3 ต.ราไวย์ องเมือง จ.ภูเก็ต ห่างจากฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร โดยทางชาวบ้านได้ให้การช่วยเหลือให้น้ำ อาหาร ไว้ในเบื้องต้น เนื่องจากเรือชำรุดและใกล้จะจมแล้วจึงนำขึ้นมาบนท่าเทียบเรือ จากสอบถามนายซุบาดิน อายุ 35 ปี ทราบว่าได้เดินทางออกจากเมืองซิตุย รัฐยะไข่ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากบ้านเรือนถูกเผาไม่มีที่อยู่และต้องปะทะกับทั้งชาวพุทธแชะเจ้าหน้าที่พม่า จึงได้รวมตัวกันซื้อเรือไม้ 2 ชั้นสีดำ ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 12 เมตร เพื่อเดินไปยัง อ.โกลก จ.นราธิวาส เพื่อเดินทางต่อไปประเทศมาเซีย แต่ได้หลงไปที่เกาะนิโคบา ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา และทางทหารเรือประเทศอินเดียได้ทำการช่วยเหลือซ่อมเรือและให้อาหาร จึงเดินทางออกจากเกาะนิโคบา มาในวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา และหลงเข้ามาในที่เกาะโหลน จ.ภูเก็ต เมื่อเทียงคืนที่ผ่านมาเนื่องจากเรือหมดน้ำมันและหมดเสบียงอาหาร จึ่งหันหัวเรือเข้าฝั่งใน จ.ภูเก็ต และคิดว่าเกาะโหลนคือ จ.ภูเก็ต จึ่งจอดเรือ โดยเพื่อนอีก 11 ได้กระโดดลงน้ำที่อ่าวยนต์ เพื่อว่ายน้ำขึ้นฝั่งไปอีกเกาะหนึ่ง แต่จากการตรวจสอบพบว่าชาวบ้านที่ ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ทำการควบคุมตัวไว้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต มารับตัวได้ที่ สภ.แล้ว
ในเบื้องต้นจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.ภูเก็ต ทหารเรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล และฝ่ายความั่นคงของ จ.ภูเก็ต ลงมาดำเนินการนำชาวโรฮิงญาทั้งหมดส่งเจ้าด่านตรวจคนเข้าเมืองผลักดันออกนอกประเทศต่อไป แต่เนื่องจากในขณะนี้ที่ห้องขังของด่านตรวจคนเข้าเมืองสามารถรองรับผู้ต้องหาได้เพียง 40 คน จึงจำเป็นต้องของฝากขังไว้ตามสถานีตำรวจต่างๆ ใน จ.ภูเก็ต และที่ผ่านมานั้นมาตราการในการป้องกันไม่การลักลอบเข้าเมืองทางทะเลของ จ.ภูเก็ต นั้นไม่ได้ผลเนื่องจากชาวโรฮิงญาสามารถล่องเรือเข้ามาถึงฝั่ง จ.ภูเก็ต ได้ทุกครั้ง และจากการสอบถามชาวโรฮิงญาคนหนึ่งทราบว่าได้รับการติดต่อจากนายหน้าที่ จ.ภูเก็ต และที่ อ.โกลก จ.นราธิวาส ว่ามีความต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงได้ซื้อเรือและล่องเรือกันมาส่วนหนึ่งต้องการลงที่ จ.ภูเก็ต และส่วนหนึ่งต้องการเดินทางต่อไปที่ อ.โกลก เพื่อเตรียมเข้าประเทศมาเซียต้องไป
และระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการให้การช่วยเหลือเบื้องต้นให้น้ำให้อาหารอยู่นั้นได้มีโทรจากนายหน้าโทรเข้ามาหาผู้นำชาวบ้านว่าสามารถกักชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งออกได้ไหมคิดหัวละเท่าไหร่จะจ่ายเงินให้ แต่ผู้นำท้องถิ่นปฎิเสธไปว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการแล้วไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงทำให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบว่าที่ผ่านมานั้นที่ชาวโรฮิงญาระบุว่าหลงทางเข้ามานั้นไม่ใช่ แต่ส่วนหนึ่งต้องการมาส่งพวกที่จ่ายค่าหัวแล้วใน จ.ภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงเนื่องจากมีขบวนการค้ามนุษย์เป็นนายหน้าติดต่อไป แต่นำชาวโรฮิงญาที่ไม่มีเงินมาเป็นโล่มนุษย์ และเมื่อส่วนที่จ่ายเงินแล้วได้ขึ้นฝั่งที่เหลือจึงถูกลอยแพเสี่ยงตายอยู่กลางทะเล หรือถูกจับกุม ในครั้งนี้เส้นกันทราบว่าเข้ามา 120 คน แต่ที่พบมีเพียง 106 คนเท่านั้น หายไป 14 คน และการที่ชาวโรฮิงญาสามารถทะลักเข้าถึง จ.ภูเก็ต หรือ จังหวัดต่างๆ ในชายฝั่งทะเลอันดามันได้เนื่องจากทางเรือประมงที่เคยเป็นแหล่งข่าวค่อยแจ้งข่าวให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือตลอดมาได้เกิดความไม่พอใจทหารเรือจนมีการปิดอ่าวและมีมติร่วมกันจะไม่แจ้งข่าวให้ทหารเรือทัพภาค 3 ทราบ จึ่งปรากฎว่ามีชาวโรฮิงญาทะลุถึงฝั่งได้ทุกครั้งจนชาวบ้านพบเห็นและแจ้งเจ้าหน้าที่
นายสำราญ จินดาพล กล่าวว่าเบื้องต้น ได้นำสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นเบื้องต้น อาหารและน้ำ มาแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ เนื่องจากผู้ลี้ภัยมีความจำเป็นเพราะต้องอยู่ในทะเล นานๆ และอยู๋ด้วยความลำบากและอดยาก จึงได้นำสิ่งของ เข้าช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนที่จะมีหน่วยงานต่างๆมารับผิดชอบต่อ
http://www.dailynews.co.th/thailand/192551
โผล่อีกแล้วโรฮิงญาทะลักขึ้นเกาะโหลน-ภูเก็ตอื้อซ่า
เดินทางออกไปทำการตรวจสอบ ปรากฎว่าพบชาวโรฮิงญาทั้งชาย หญิง และเด็ก จำนวน 89 คน ที่บนท่าเทียบนเรือบ้านเเกาะโหลน หมู่ 3 ต.ราไวย์ องเมือง จ.ภูเก็ต ห่างจากฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร โดยทางชาวบ้านได้ให้การช่วยเหลือให้น้ำ อาหาร ไว้ในเบื้องต้น เนื่องจากเรือชำรุดและใกล้จะจมแล้วจึงนำขึ้นมาบนท่าเทียบเรือ จากสอบถามนายซุบาดิน อายุ 35 ปี ทราบว่าได้เดินทางออกจากเมืองซิตุย รัฐยะไข่ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากบ้านเรือนถูกเผาไม่มีที่อยู่และต้องปะทะกับทั้งชาวพุทธแชะเจ้าหน้าที่พม่า จึงได้รวมตัวกันซื้อเรือไม้ 2 ชั้นสีดำ ขนาดกว้าง 3.5 เมตร ยาว 12 เมตร เพื่อเดินไปยัง อ.โกลก จ.นราธิวาส เพื่อเดินทางต่อไปประเทศมาเซีย แต่ได้หลงไปที่เกาะนิโคบา ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา และทางทหารเรือประเทศอินเดียได้ทำการช่วยเหลือซ่อมเรือและให้อาหาร จึงเดินทางออกจากเกาะนิโคบา มาในวันที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา และหลงเข้ามาในที่เกาะโหลน จ.ภูเก็ต เมื่อเทียงคืนที่ผ่านมาเนื่องจากเรือหมดน้ำมันและหมดเสบียงอาหาร จึ่งหันหัวเรือเข้าฝั่งใน จ.ภูเก็ต และคิดว่าเกาะโหลนคือ จ.ภูเก็ต จึ่งจอดเรือ โดยเพื่อนอีก 11 ได้กระโดดลงน้ำที่อ่าวยนต์ เพื่อว่ายน้ำขึ้นฝั่งไปอีกเกาะหนึ่ง แต่จากการตรวจสอบพบว่าชาวบ้านที่ ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต ทำการควบคุมตัวไว้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต มารับตัวได้ที่ สภ.แล้ว
ในเบื้องต้นจึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จ.ภูเก็ต ทหารเรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล และฝ่ายความั่นคงของ จ.ภูเก็ต ลงมาดำเนินการนำชาวโรฮิงญาทั้งหมดส่งเจ้าด่านตรวจคนเข้าเมืองผลักดันออกนอกประเทศต่อไป แต่เนื่องจากในขณะนี้ที่ห้องขังของด่านตรวจคนเข้าเมืองสามารถรองรับผู้ต้องหาได้เพียง 40 คน จึงจำเป็นต้องของฝากขังไว้ตามสถานีตำรวจต่างๆ ใน จ.ภูเก็ต และที่ผ่านมานั้นมาตราการในการป้องกันไม่การลักลอบเข้าเมืองทางทะเลของ จ.ภูเก็ต นั้นไม่ได้ผลเนื่องจากชาวโรฮิงญาสามารถล่องเรือเข้ามาถึงฝั่ง จ.ภูเก็ต ได้ทุกครั้ง และจากการสอบถามชาวโรฮิงญาคนหนึ่งทราบว่าได้รับการติดต่อจากนายหน้าที่ จ.ภูเก็ต และที่ อ.โกลก จ.นราธิวาส ว่ามีความต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงได้ซื้อเรือและล่องเรือกันมาส่วนหนึ่งต้องการลงที่ จ.ภูเก็ต และส่วนหนึ่งต้องการเดินทางต่อไปที่ อ.โกลก เพื่อเตรียมเข้าประเทศมาเซียต้องไป
และระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการให้การช่วยเหลือเบื้องต้นให้น้ำให้อาหารอยู่นั้นได้มีโทรจากนายหน้าโทรเข้ามาหาผู้นำชาวบ้านว่าสามารถกักชาวโรฮิงญาส่วนหนึ่งออกได้ไหมคิดหัวละเท่าไหร่จะจ่ายเงินให้ แต่ผู้นำท้องถิ่นปฎิเสธไปว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาดำเนินการแล้วไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงทำให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบว่าที่ผ่านมานั้นที่ชาวโรฮิงญาระบุว่าหลงทางเข้ามานั้นไม่ใช่ แต่ส่วนหนึ่งต้องการมาส่งพวกที่จ่ายค่าหัวแล้วใน จ.ภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงเนื่องจากมีขบวนการค้ามนุษย์เป็นนายหน้าติดต่อไป แต่นำชาวโรฮิงญาที่ไม่มีเงินมาเป็นโล่มนุษย์ และเมื่อส่วนที่จ่ายเงินแล้วได้ขึ้นฝั่งที่เหลือจึงถูกลอยแพเสี่ยงตายอยู่กลางทะเล หรือถูกจับกุม ในครั้งนี้เส้นกันทราบว่าเข้ามา 120 คน แต่ที่พบมีเพียง 106 คนเท่านั้น หายไป 14 คน และการที่ชาวโรฮิงญาสามารถทะลักเข้าถึง จ.ภูเก็ต หรือ จังหวัดต่างๆ ในชายฝั่งทะเลอันดามันได้เนื่องจากทางเรือประมงที่เคยเป็นแหล่งข่าวค่อยแจ้งข่าวให้เจ้าหน้าที่ทหารเรือตลอดมาได้เกิดความไม่พอใจทหารเรือจนมีการปิดอ่าวและมีมติร่วมกันจะไม่แจ้งข่าวให้ทหารเรือทัพภาค 3 ทราบ จึ่งปรากฎว่ามีชาวโรฮิงญาทะลุถึงฝั่งได้ทุกครั้งจนชาวบ้านพบเห็นและแจ้งเจ้าหน้าที่
นายสำราญ จินดาพล กล่าวว่าเบื้องต้น ได้นำสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นเบื้องต้น อาหารและน้ำ มาแจกจ่ายเพื่อบรรเทาทุกข์ เนื่องจากผู้ลี้ภัยมีความจำเป็นเพราะต้องอยู่ในทะเล นานๆ และอยู๋ด้วยความลำบากและอดยาก จึงได้นำสิ่งของ เข้าช่วยเหลือเบื้องต้นก่อนที่จะมีหน่วยงานต่างๆมารับผิดชอบต่อ
http://www.dailynews.co.th/thailand/192551