ได้ยินสามีเราสอนรุ่นน้องในโต๊ะอาหารค่ะ เราฟังแล้วก็ภูมิใจแทนเค้าล่ะค่ะ ตัวเค้าเองก็คงภูมิใจในตัวเองสุดๆ เพราะที่บ้านสามีเรียกได้ว่าจนสุดๆ ถึงขนาดแม่ห่อข้าวกับพริกน้ำปลาให้ลูกไปกินที่โรงเรียน รวมทั้งเรื่องที่แม่ต้องขายควายตัวสุดท้ายเพื่อเป็นค่าเดินทางให้ลูกมาเรียนกรุงเทพ...
ตอนนี้เรากับสามีอายุ 33 เท่ากัน เราเรียนจบก่อนสามี 2 ปี ช่วงนั้นเราทำงานส่งเค้าเรียน (ฟังแล้วดูดีเชียว) พอสามีจบทำงานได้สองปีกว่าเค้าก็พูดว่าปีหน้าเราแต่งงานกันเถอะ เดี๋ยวเดือนหน้าจะไปขอ ทั้งที่ตอนนั้นเรายังมีเงินเก็บกันไม่เท่าไหร่ แต่เค้ามุ่งมั่นทำงานเก็บเงินจนสุดท้ายการแต่งงานก็ผ่านไปด้วยดี พอแต่งเสร็จก็วางแผนซื้อบ้านหลังแรก ตอนนั้นเงินดาวน์ก็ไม่พอ ก็พยายามหากันจนพอล่ะค่ะ ซื้อบ้านได้ไม่ถึงสองเดือน วางแผนซื้อรถอีกแล้ว ไอ้เราล่ะก็เหนื่อยใจ กลัวหาเงินไม่พอส่ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ อาจจะไม่ราบรื่นนัก แต่สามีก็จะพูดกับเราบ่อยๆ ว่า ถ้าได้แต่ฝันแต่ไม่ลงมือทำ จะได้มันมามั้ยล่ะ???? เออ..ก็จริงนะ
พอได้บ้านได้รถมาแล้ว สามีก็บอกว่า เรามีลูกกันมั้ย เราเองกลัวว่ามีลูกต้องใช้เงินเยอะนะ จะพอใช้กันเหรอ ไหนจะบ้าน รถอีก ไว้รอพร้อมก่อนดีมั้ย สามีย้อนถามว่า แล้วความพร้อมคืออะไร ตรงไหน เราเองก็ตอบเค้าไม่ได้ สุดท้ายก็มีลูก แถมได้แฝดซะด้วย (ตอนนั้นแอบกลุ้มใจนิดๆ ว่าจะเลี้ยงกันไหวไหม) แต่แทนที่สามีจะกลุ้มใจเหมือนเรา เค้ากลับมองว่า พอมีลูกเราต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เริ่มหาช่องทาง กู้เงินมาทำธุรกิจ พอธุรกิจเริ่มคืนทุน วางแผนซื้อบ้านหลังที่สอง รถคันที่สองอีกแล้ว เราได้แต่กลุ้มใจกลัวเงินไม่พอ กลัวลำบาก แต่สามีเรากลับเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วพยายามทำให้ถึง ทุกวันนี้ครอบครัวเราสบายขึ้นเยอะแล้วค่ะ อยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อราคาไม่ต้องไปคิดมาก ยังนึกอยู่เลยค่ะว่าถ้าลำพังความคิดเรา ก็คงทำงานกินเงินเดือนไปอย่างนั้น เลี้ยงลูกกันไปเรื่อยๆ พอบ้างไม่พอบ้างตามประสา
ขอบคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาอ่าน
ปล. สามีเราค่อนข้างไฮเปอร์ค่ะ คิดทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา จนบางทีคนรอบข้างก็เครียดนะคะ แบบว่า เธอทำตัวสบายๆได้มั่งมั้ยเนี่ย?????
"ถ้าคิดจะทำอะไร ให้ลงมือทำเลย อย่าอ้างว่ารอให้พร้อม เพราะวันนั้นจะไม่มีวันมาถึง"
ตอนนี้เรากับสามีอายุ 33 เท่ากัน เราเรียนจบก่อนสามี 2 ปี ช่วงนั้นเราทำงานส่งเค้าเรียน (ฟังแล้วดูดีเชียว) พอสามีจบทำงานได้สองปีกว่าเค้าก็พูดว่าปีหน้าเราแต่งงานกันเถอะ เดี๋ยวเดือนหน้าจะไปขอ ทั้งที่ตอนนั้นเรายังมีเงินเก็บกันไม่เท่าไหร่ แต่เค้ามุ่งมั่นทำงานเก็บเงินจนสุดท้ายการแต่งงานก็ผ่านไปด้วยดี พอแต่งเสร็จก็วางแผนซื้อบ้านหลังแรก ตอนนั้นเงินดาวน์ก็ไม่พอ ก็พยายามหากันจนพอล่ะค่ะ ซื้อบ้านได้ไม่ถึงสองเดือน วางแผนซื้อรถอีกแล้ว ไอ้เราล่ะก็เหนื่อยใจ กลัวหาเงินไม่พอส่ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ อาจจะไม่ราบรื่นนัก แต่สามีก็จะพูดกับเราบ่อยๆ ว่า ถ้าได้แต่ฝันแต่ไม่ลงมือทำ จะได้มันมามั้ยล่ะ???? เออ..ก็จริงนะ
พอได้บ้านได้รถมาแล้ว สามีก็บอกว่า เรามีลูกกันมั้ย เราเองกลัวว่ามีลูกต้องใช้เงินเยอะนะ จะพอใช้กันเหรอ ไหนจะบ้าน รถอีก ไว้รอพร้อมก่อนดีมั้ย สามีย้อนถามว่า แล้วความพร้อมคืออะไร ตรงไหน เราเองก็ตอบเค้าไม่ได้ สุดท้ายก็มีลูก แถมได้แฝดซะด้วย (ตอนนั้นแอบกลุ้มใจนิดๆ ว่าจะเลี้ยงกันไหวไหม) แต่แทนที่สามีจะกลุ้มใจเหมือนเรา เค้ากลับมองว่า พอมีลูกเราต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เริ่มหาช่องทาง กู้เงินมาทำธุรกิจ พอธุรกิจเริ่มคืนทุน วางแผนซื้อบ้านหลังที่สอง รถคันที่สองอีกแล้ว เราได้แต่กลุ้มใจกลัวเงินไม่พอ กลัวลำบาก แต่สามีเรากลับเอาเป้าหมายเป็นตัวตั้ง แล้วพยายามทำให้ถึง ทุกวันนี้ครอบครัวเราสบายขึ้นเยอะแล้วค่ะ อยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อราคาไม่ต้องไปคิดมาก ยังนึกอยู่เลยค่ะว่าถ้าลำพังความคิดเรา ก็คงทำงานกินเงินเดือนไปอย่างนั้น เลี้ยงลูกกันไปเรื่อยๆ พอบ้างไม่พอบ้างตามประสา
ขอบคุณทุกท่านนะคะที่เข้ามาอ่าน
ปล. สามีเราค่อนข้างไฮเปอร์ค่ะ คิดทำนู่นทำนี่ตลอดเวลา จนบางทีคนรอบข้างก็เครียดนะคะ แบบว่า เธอทำตัวสบายๆได้มั่งมั้ยเนี่ย?????