โครงการลาออกเพื่ออนาคต จะดีขึ้นหรือจะแย่ลงไม่รู้ แต่ก็จะลองค่ะ

สวัสดีค่ะ...สืบเนื่องจากกระทู้บ่นๆของเราในกระทู้ http://2g.pantip.com/cafe/social/topic/U13082620/U13082620.html เมื่อซักพักใหญ่ๆ
มาวันนี้ เรามีคำตอบส่วนนึงให้ชีวิตแล้วค่ะ ว่าเราจะเลือกไปทางไหน แต่กว่าจะเคาะมันออกมาได้ น้ำตาตกไปหลายครั้งเลยค่ะ

จากกระทู้วันนั้น...เลขาทำงานคนเดียว ณ วันนี้ เลขา สอบติดปริญญาโท สาขา "การศึกษาพิเศษ" ที่ใฝ่ฝันได้สมใจอยาก
บวกกับว่า มีเพื่อนสนิท เค้าทำงานเป็นนักกิจกรรมบำบัดที่ศูนย์แห่งนึงค่ะ มีคุณแม่น้อง อยากไ้ด้คุณครูไปประกบน้องที่โรงเรียน พอเราไปพูดคุย
ก็รู้สึกว่า มันโอเคน่ะ...ส่วนเงินเดือน เราขอเท่าที่เราได้ทุกวันนี้ค่ะ แต่ว่าก็คุยกันแล้วว่าโบนัส ไม่มีนะคะ เพราะว่าคุณแม่ไม่ได้เป็นบริษัท แต่ถ้าจะทำสัญญาก็สามารถทำได้แน่นอน...ส่วนถ้ามีอบรมอะไร คุณแม่จะเป็นผู้ส่งและสนับสนุนเงินทุนให้เราไปเองค่ะ

ตอนแรกเราบอกตรงๆค่ะ ว่าเราคิดไม่ตก หรือจะว่า "งก" ก็ว่าได้ เราแอบเสียดายเงินโบนัส ที่เราเคยได้ แต่พอคิดกลับไปกลับมา แฟนเราได้บอกเราว่า วันนึงถ้าเราเรียนจบ เราก็ต้องออกมาหางานทำตามสายของเราอยู่ดี ออกวันนี้กับออกวันนั้น มันต่างกันมากมายขนาดไหน อีกอย่าง เรานึกถึงว่า ถ้าเราเรียนจบ+ประสบการณ์จาก case ที่เราทำ กับ เรียนจบ+ประสบการณ์การเป็นเลขา...
อย่างแรกมันก็น่าจะดีกว่าอยู่แล้ว เพราะงานทางสายงานนี้ เราเชื่อว่าประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าอะไรทั้งสิ้น

เราคิดว่า ถ้าในที่นี่ มีคุณครูหลงเ้ข้ามาอ่าน คงจะทราบดี ว่าผลของการสอนเด็ก สร้างเด็ก มันน่าชื่นใจขนาดไหน เราเองเคยทำงาน รร.มาก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ เชื่อมั้ยคะ ว่าไม่มีวันไหนเลย ที่เราไม่อยากตื่นไปทำงาน ถึงระหว่างวันเด็กจะซน จะดื้อขนาดไหน แต่นั่นก็คือเด็กค่ะ เราสอนเค้า เราใส่ให้เค้าได้ แล้วเราก็ได้เรียนรู้จากเค้า ไม่ใช่แค่เค้าที่เรียนรู้จากเราฝ่ายเดียว
ทางบ้านเรา พ่อก็บอกว่า แปลก ทำไมอยากมาเรียนด้านนี้ อยู่กับเด็กพวกนี้ จะดีหรอ ทำไมเราไม่ไปเรียนบริหารธุรกิจล่ะ เราบอกพ่อไปว่ามันไม่ใช่ทางของเราค่ะ เราไม่ได้ชอบแบบนั้น หรือถ้าพ่ออยากให้เราเรียน เราเรียนได้ แต่เราขอเรียนอันนี้ให้จบก่อน

ช่วงนี้เราก็เข้าไปอบรมความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษมา เคยเป็นกันมั้ยคะ เวลาที่เราฟังสิ่งที่เราสนใจ หัวใจเรามันจะเต้นตึ๊กตั๊กๆ มันจะมีความรู้สึกว่าสนใจ อยากรู้ อยากรู้ให้มากขึ้นไปอีก (ไม่รู้เรามะโนไปเองรึเปล่านะคะ) แต่ถ้าเทียบกับงานที่เราทำอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกเรามันต่างกันมากจริงๆค่ะ...ตอนแรกเราตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่ายังไง ถ้าเราไม่ได้งานในแบบที่เราชอบ เราก็จะไม่ยอมออกจากงานนี้เด็ดขาด เพราะเรากลัวหนีไปปะจระเข้อีก
พอมาตอนที่เรารู้ว่าเราสอบได้แล้ว ความรู้สึกมันโล่งไปเลยค่ะ เรารู้สึกว่าอย่างน้อย เราก็เข้าใกล้มันขึ้นมาอีกนิดแล้ว
อ๋อ...ตอนแรกที่เราลังเล เพราะเราก็คิดค่ะ ว่าถ้าเราทำงานที่เดิม เราจะมีเงินเก็บเป็นเงินก้อน แต่พอเราเข้าไปสัมภาษณ์แล้ว การเรียนภาคพิเศษ ก็ยังต้องมีดูงาน ฝึกงาน ในวันธรรมดา บางทีก็มีเรียนวันธรรมดาด้วย ทีนี้ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงล็อคมากขึ้น
เพราะงานที่เราทำตอนนี้ เจ้านายจะ "เยอะ" เรื่องการลางานมาก คืองานในแต่ละวัน เราจะไม่มีแพลน จะไม่รู้ว่าจะมีงานอะไรเข้ามาเพิ่มบ้าง ช่วงผลประกอบการออกเราก็จะยุ่งหัวฟูไปเลย เพราะต้องแทรคตามพอร์ทของนายให้ทัน แต่ถ้าช่วงผลประกอบการออกแล้ว ทุกอย่างก็จะนิ่ง จนถึงขั้นเงียบ ๆ แต่นายเค้าก็ไม่ได้แฮปปี้ถ้าเราจะลาอ่ะค่ะ

อย่างเช่น เราขอลาไปสัมภาษณ์ปริญญาโท นายเราจะถามว่า วันอื่นได้มั้ย? (เอ่อ มีวันเดียวค่ะ) Bad timing มากเลยนะ แต่ย้ำนะคะ ว่าถึงเราจะลางาน แต่เราซื้อหนังสือพิมพ์หุ้นมาอ่าน สรุปข่าวส่งไปในอีเมลล์ อัพเดตราคาตอนตลาดปิด เราทำแบบนี้ เหมือนตอนเราอยู่ที่ออฟฟิตปกติเลยค่ะ แต่มันก็คงจะต่าง ตรงที่เรา ไม่ได้ "นั่ง" อยู่ที่โต๊ะทำงาน เวลาจะให้ทำอะไร ก็เรียกหาไม่ได้ เราไปสัมภาษณ์ที่นครปฐม ตอน 17.30 ที่เป็นเวลาเลิกงาน เจ้านายเรายังโทรหาเรา ถามเราว่ากลับถึงบ้านยัง ถ้าถึงแล้ว ช่วยอัพเดตทุกอย่างกลับมาให้ด้วย แล้วก็บ่นเรื่องที่เราลา บ่นๆ แล้วก็สรุปเองว่า แต่ก็ช่างเหอะ มันจบไปแล้ว เราอ้าปากพูดไม่ทันจริงๆค่ะ

บอกก่อนว่าเราสมัครไว้ 3 ที่ แต่นครปฐมนี่เราไม่สู้เรื่องการเดินทางจริงๆค่ะ ทีนี้ก็เหลืออีก 2 ที่ ที่เราจะต้องไปสอบสัมภาษณ์ โชคดีที่ ที่นึงเป็นวันอาทิตย์ เราไม่ต้องรบกวนเวลาทำงาน แต่อีกที่เป็นวันธรรมดา เริ่มสัมภาษณ์ 9 โมง เป็นต้นไป เราขอลางานค่ะ นายเราแนะนำว่า นั่งเรือคลองแสนแสบไปลงสิคุณ แล้วคุณจะเสร็จกี่โมง เค้าไม่คุยกับคุณทั้งวันหรอก? เราก็ตอบนายว่าเราไม่ทราบจริงๆ รู้แต่ว่าเริ่มตอน 9 โมง เราไม่รู้ว่าแค่สัมภาษณ์แล้วกลับเลย หรือว่าต้องรอทำอะไรอีก เราไม่อยากรับปากว่าเราจะกลับมาแล้วสุดท้ายเรากลับมาไม่ทัน งั้นเอาแบบนี้ได้ัมั้ย เราก็ส่งอัพเดตให้นายตามปกติ หนังสือพิมพ์เราก็จะสรุปให้ เราจะไปซื้อเอง นายเราก็พยักหน้านิดๆ แล้วบอกว่า เอางี้แล้วกันนะ พรุ่งนี้เช้าเราค่อยมาคุยกัน ว่าใครจะทำอะไรยังไง ซึ่งเราก็เหวอ เพราะเรามีสัมภาษณ์ตอน 9 โมงเ้้ช้า จะให้เราเ้ข้าออฟฟิตก่อนเราก็คงไปไม่ทันแน่ๆ เราก็เลยบอกนาย ว่าเราไม่ทันแน่ๆ นายก็ทำหน้าแบบว่า จริงหรอ คุณไม่ทันจริงๆหรอ แล้วก็ตอบเราว่า จะทำไงได้ คุณต้องไปก็คือต้องไป ผมก็คงต้องรับหน้าที่แทนคุณไป....เราได้ยินแล้วเราก็ไม่รู้จะว่ายังไงอ่ะค่ะ พอเรากลับเข้ามาทำงานวันนี้ตามปกติ ก็จะมีเหน็บๆ ว่าเมื่อวานนี้เหนื่อย ทำงานแทนคุณ ผมทำหน้าที่แทนคุณ ซึ่งเราก็คิดของเราเองนะคะ ว่าในเมื่อนายจะจ้างลูกน้องแค่คนเดียว นายก็น่าจะเข้าใจว่า บางทีเรามีธุระ เราก็ต้องไป ถ้าเค้าทำคนเดียวไม่ไหว เค้าก็ต้องจ้างคนเพิ่ม เราไม่อยากรู้สึกเหมือนเราทิ้งงานทุกครั้งที่เราลางานน่ะค่ะ แล้วก็ยอมรับว่าขี้เกียจฟังว่าเหนื่อยจัง ทำแทนคุณ เรารู้สึกว่าผลตอบแทนที่เค้าได้รับ มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าเราไม่รู้กี่พันเท่า เรานอกจากจะทำงานหน้าคอม เราก็ต้องทำงานเป็นแม่บ้าน ล้างจานของเค้า ทิ้งขยะ ไปด้วย เค้าไม่เห็นมาทำแทนเราบ้างเลย(เราคิดได้ไงเนี่ย) แต่เรารู้สึกจริงๆค่ะ เพราะเวลาเราทำอะไรให้ใคร เราไม่เคยมานั่งบอกว่า เหนื่อยจังเลย ทำให้คุณ รู้มั้ยเมื่อคืนนี้ชั้นนั่งทำนั่นนี่ให้คุณ แบบนี้เราไม่อินอะค่ะ เพราะเหตุผลของเค้าคือลงทุนหุ้นเพื่อได้รับเงิน ส่วนเราก็เป็นคนเก็บข้อมูลที่ได้ส่วนนึง จากกำไรของเค้า ความเหนื่อยมันไม่เท่ากันหรอกมั้งคะ

ด้วยสาเหตุนี้ เราเลยคิดว่า ลาออกเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เราไม่อยากลาไปสอบ ลาไปเรียน ลาไปดูงาน ลาไปฝึกงาน แล้วมีเสียงตอบรับไม่ดี เราไม่อยากกินเงินใครฟรีๆมากขนาดนั้น ถึงเราจะทำงานส่งให้เค้าก้เหอะ เราไม่อยากให้เค้ารู้สึกว่าเราบกพร่องในหน้าที่ หรือทำให้เค้าเหนื่อย เมื่อเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางของเราอีกต่อไปแล้ว เรา้ต้องรู้สึกแย่ๆ ทุกครั้งที่ก้าวขาเข้ามาในออฟฟิต เราหาเหตุผลไม่เจอ ว่าเราจะทำให้ตัวเองทรมานไปทำไม? ถ้าในใจเรามันบอกเราทุกวันขนาดนี้ ว่าเราอยากเป็นครู อยากเป็นครูที่สร้างคน เราไม่ได้อยากเป็นเลขา ที่ช่วยสร้างให้คนๆนึงมีกำไรมากมายเป็นร้อยๆล้าน "มันไม่ใช่ทางของเราเลย"

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่าน เรื่องราวยาวๆของเรา และอยากให้เข้าใจว่า คนนึงๆจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนๆนึงได้เท่าเข้ามาลองเองค่ะ สำหรับบางคนบางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับบางคนเรื่องเล็กน้อยกลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มหาศาล นานาจิตตังนะคะของแบบนี้ เราเป็นวัยรุ่น Gen Y ค่ะ สารภาพ เราอาจจะไ่ม่ชอบในการทนอยู่กับคนที่ไม่เปิดโอกาสให้เรามีความคิด ออกความคิดเห็น มันเหมือนกับ...อยู่แล้วไม่เติบโต จะอยู่ไปทำไม....เหมือนกับว่าคุณเดินเป็นแล้ว แต่มีคนมาบอกคุณตลอดเวลาว่าคุณต้องเดินก้าวเท้าซ้ายก่อนนะ แล้วเดินขวา อ้อมซ้าย ตรงนะ ถ้าชีวิตคุณต้องเจอแบบนี้ทุกวัน....ถ้าอยู่แล้วไม่ได้พัฒนาความคิด....จะอยู่ไปทำไม....Gen Y ไม่ได้เลวร้ายนะคะ คนวัยเรา เรารู้สึกว่าชัดเจนมากค่ะ ถ้าเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ สนุกกับมัน เราจะรักมันค่ะ ซึ่งบางคนก็อาจจะต้องใช้เวลาค้นหาอยู่นาน ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร หรือหากคุณเป็นเจ้านาย คุณลองปล่อยให้เค้าิคิดเองนะคะ ลองดูเ้ค้าห่างๆ แต่ขอร้องว่าอย่าบอกทุกอย่างว่าเค้าต้องยกแขนกี่องศา ตั้งฉากกี่รอบ....ถ้าตอนเ็ด็กๆ คุณไม่เคยเอามือแหย่ัพัดลม คุณจะรู้มั้ยคะว่าอะไรควรเล่นหรืออะไรไม่ควร สำหรับเรา เราตอบไม่ได้ค่ะว่าออกไปจะดีึขึ้นหรือแย่ลง แต่ถ้าต้องเหงื่อออก เพื่อสิ่งที่เรารักแล้ว มากขนาดไหนเราก็สู้ค่ะ

ขอให้ทุกคนแฮปปี้กับการทำงานค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่