@@ ร่ายยาวถึงผู้ไม่รู้สึกอีดอัดทั้งหลาย

กระทู้สนทนา
คุณๆที่บอกว่า "ก็ถ้าประเทศอื่นเค้าเป็น ประชาธิปไตยกว่า ก็ไปอยู่ประเทศนั้นซะเซ่ ประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็อย่าอดทนอยู่เลย ไป๊!!" หรืออะไรแนวๆนี้...

คือผมว่าคุณเริ่มเข้าใจประเด็นแล้วล่ะคับ ยิ้ม ยินดีด้วย

คือยังงี้นะครับ ฝ่ายสมศักดิ์เนี่ย (สศจ.) เค้าอยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ นี่คือสิ่งที่เค้าต่อสู้ และนี่คือคุณประโยชน์ที่เค้าพยายามทำให้กับประเทศที่เขาเกิด

ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามก็คือยังยินดีและพอใจรวมกระทั้งชื่นชมสิ่งที่กำลังเป็นอยู่... อย่างน้อยๆก็ในเรื่องที่สมศักดิ์กำลังพูดถึง แบบนี้เขาเรียกว่า "อนุรักษ์นิยม" หรือจะเรียกว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือประชาธิปไตยแบบไทยๆ อะไรก็ตามแต่ รวมๆ ก็คือไม่เดือดร้อนอะไร

โอเค.. เราวางจุดยืนให้นิ่งๆกันก่อน แล้วจะได้ไม่นอกประเด็นนะ (จะอนุรักษ์นิยมก็อนุรักษ์นิยม อย่าปากประชาธิปไตยใจอนุรักษ์นิยม)

ประเด็นก็คือ ฝ่ายสมศักดิ์เค้าไม่พอใจถึงกระทั่งเป็นความเดือดร้อน ที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ หรือมากกว่านี้ เพราะ...บลา บลา บลา ตามที่เขาพูด

สรุปประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า "คุณอยากให้ประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยแค่ไหน?" อันนี้จึงต้องถามตัวเองครับ แต่ก่อนอื่นจึงต้องเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยเสียก่อน ส่วนฝ่ายสมศักดิ์เค้าเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณของประชาธิไตยดีแล้วล่ะ

อดทนอ่านอีกนิดนะครับ...

มาฝั่งคุณบ้างนะครับ ต้องเริ่มต้นด้วยจุดยืนที่นิ่งๆ เข้าใจประเด็น เข้าใจสิ่งที่เค้าพูดก่อน

ต้องยอมรับก่อนนะครับว่าคิดแบบคุณคือประชาธิปไตยนิดเดียว ซึ่งไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องนี้นะครับ เพราะถ้ายังไม่เข้าใจจิตวิญญาณของประชาธิปไตย คุณก็ไม่ต้องไปเห่อหรืออยากเป็นมันหรอก มันอาจไม่ได้ดีไปกว่าอนุรักษ์นิยม หรือคอมมิวนิสต์ก็ได้ ดูอย่างจีนก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ก็สามารถสร้างประเทศให้มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเป็นอันดับสองของโลกได้ หรือจะดูเกาหลีเหนื่อก็ได้ ยิ้ม ซึ่งประชาชนของประเทศเหล่านั้นเค้าก็คงเกลียดประชาธิปไตยเหมือนกัน โดยเปิดเผยและโดยรู้ตัว

เอาล่ะทีนี้ตบเข้าประเด็นสมศักดิ์บ้าง ฝั่งนั้นเค้าฝักไฝ่ประชาธิปไตยแบบสุดลิ่มที่ประตู และเค้าต่อสู้กันมาหลายสิบปีเพื่อให้ได้มันมา ประเด็นไหนหรือเรื่องอะไรที่เค้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องขัดแย้งกับหลักการที่เขาเชื่อ เขาก็เสนอให้แก้ไขปรับเปลี่ยน เพื่อให้มันเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เค้าไม่ได้อาฆาตมาตรร้ายหรือพูดเรื่องบุคคลหรอกครับ เค้าพูดถึง"ระบบ"ที่ควรแก้ไข ซึ่งมันก็มีมากมายหลายเรื่องที่ต้องแก้ เพียงแต่สมศักดิ์เค้าเห็นว่าประเด็นนี้ใหญ่ ถ้าแก้ไขเรื่องใหญ่ๆ ได้ซักเรื่อง เรื่องเล็กๆหลายๆเรื่องก็พลอยไม่ต้องแก้ไปด้วย

แล้วอะไรถึงทำให้คิดว่านี่คือเรื่องใหญ่ล่ะ?...  ก็แล้วคุณเห็นว่านี่เรื่องเล็กหรือ... ??

เอาล่ะถ้าคุณอดทนอ่านมาถึงตรงนี้ได้ผมก็อยากจะต่ออีกนิดว่า...

สมศักดิ์เขาไม่ได้ถือปืนไปออกรบเพื่อปกป้องประเทศนี้หรอกครับ แต่เค้ากำลังทำประโยชน์ให้กับประเทศนี้ด้วยการพยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าจะมีเพื่อนร่วมชาติอย่างคุณด่าและขับไล่เขาออกจากบ้านของเขาด้วยเช่นกัน...

แล้วทำไมเค้าถึงได้คลั่งประชาธิปไตยกันนักล่ะ ... อันนี้ถ้าอยากรู้คุณต้องลองศึกษาเรื่องนี้อย่างจิงจังดูนะครับ ศึกษาประชาธิปไตยนะครับ ไม่ใช่ศึกษาสมศักดิ์ (ผมรู้ว่าคุณไม่อยากศึกษาเค้าหรอก)

อ้อ... เรื่องประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การรู้จักเข้าแถวต่อคิวใช้ส้วมสาธารณะโดยไม่ดูว่าใครปวดน้อยปวดมากแต่ดูว่าใครมาก่อนมาหลัง (ยิ่งเรื่องใครแก่ใครอ่อนใครยศสูงยศต่ำยิ่งไม่ต้องพูดถึง) หรือว่าเรื่องที่เกียวกับการอยากจะเป็นตุ๊ดแต๋วกระเทยเกย์ อะไรก็เป็นไป แต่อย่าไปหนักหัว(ละเมิดสิทธิ์และไม่ต้องเป็นคนดีในสายตาคนอื่นก็ได้)ใครก็แล้วกันเท่านั้นหรอกนะครับ แต่ก็ใกล้เคียง

(ส่วนเรื่องห้องน้ำ ถ้าคุณมีน้ำใจให้คนปวดมากกว่าลัดคิวเข้าก่อน อันนี้เรียกว่าคุณมีน้ำใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับประชาธิปไตยนะครับ หรือถ้าจะเกี่ยวก็ตรงที่คุณสละสิทธิ์ของคุณให้คนอื่น ... แค่นี้ก็ยาวละ แต่อย่าพูดเลย...แค่บทเรียนในชั้นประถมที่คนชอบหลับคาโต๊ะเรียนไม่เคยเข้าใจ)

อีกอย่างจิตวิญญาณแบบประชาธิปไตย จะไม่ไล่ใครออกจากแผ่นดินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยถาวร เพียงเพราะเขาไม่ได้คิดแบบเรา โดยเฉพาะในเรื่องที่เราคิดว่าเราคิดถูก...

การเอะอะแล้วตะเพิดไล่ การแก้ปัญหาโดยไม่อาศัยการเจรจาและพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล และการไม่คัดค้านกันด้วยการยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า ไม่ใช่จิตวิญญาณของพวกคลั่งประชาธิปไตย

แต่น่าจะเป็นจิตวิญญาณแบบไทยๆ ที่"สะท้อน"ผ่านเรื่องราวต่างๆในสังคม นับตั้งแต่เรื่องที่เรากำลังพูดกันนี้ เรื่องเด็กทะเลาะต่อยตีกัน เรื่องการแย่งเข้าห้องน้ำเหมือนสุนัขปวดฉี่ เรื่อง... บลา บลา บลา...ฯลฯ

ทั้งหมดนี้มันสะท้อนออกมาจาก "ความไม่มีอุดมการ์หรือจิตวิญญาณทางประชาธิปไตย" แปลว่านั้นคือ "ต้นเหตุ" ของเรื่องแย่ๆ ทั้งปวง... ยิ้ม

ทำไมเราถึงไม่สามารถคุยอะไรๆ ที่มันเห็นแย้งกันได้โดยไม่ต้องทะเลาะ หรือรู้สึกหน้าชาเวลาที่ฟังอะไรที่มันขัดแย้งกับความเชื่อของเรา... ทำไม ทำไม ทำไม!! แม้นว่าคนที่เรากลังคุยอยู่เป็นเพื่อนเรา เป็นแฟนเรา หรือกระทั่งเป็นครอบครัวเรา... ทำไมเราถึงทำได้แค่เบือนหน้าหนี คุยเรื่องอื่น หรือไม่พยายามจะพูดถึงมัน...

ทำไมเราถึงรู้สึกว่าโดนลบหลู่เมื่อมีคนพูดถึงสิ่งที่เรารักหรือศรัทธาในทางที่ตรงกันข้าม... ทางที่ตรงกันข้ามที่เราใช้เพียงความรักและศรัทธาแค่แว๊บเดียวตัดสินทันทีว่า "ผิด-ชั่วร้าย" ทางที่ตรงกันข้ามกลายเป็นความผิดร้ายโดยอัตโนมัติ ทางที่ตรงกันข้ามที่ทำให้เราถูกและดีเลิศโดยอัตโนมัติ...

??? ความมีเหตุมีผล การรับฟังอย่างพิจารณาของเราหายไปไหน!! เราไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่า ความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับเรามันเกิดขึ้นได้อย่างไร...

การไม่สามารถอยู่ร่วมประเทศกับคนที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกับเรา และพร้อมที่จะเบือนหน้าหนีแม้นว่านั่นคือคนในครอบครัวเรา เราผู้ซึ่งสวดแผ่เมตตาให้กับการตบยุง พร้อมที่จะดีใจเมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นถูกทำร้ายหรือถูกทำให้หายไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม... หรือแม้กระทั่ง ถ้าเราต้องทำร้ายเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร...

เราคับแคบถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? มายาอะไรกันที่ทำให้เราลืมตนไปว่า เราคือสัตว์โลกชนิดหนึ่ง เหตุใดเราจึงลืมไปว่า สิ่งต่างๆ ล้วนถูกสมมติขึ้นหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ สัจจะธรรมอันใดที่เพียงแค่ทิ้งลงในโถส้วมแล้วกดชักโครกก็พร้อมจะเลือนหาย เพชรแท้ชนิดไหนกันที่ถูกส่องด้วยแสงสว่างกลับกลายเป็นเพียงก้อนกลวด...

ทั้งหมดนั่นคงไม่ใช่อะไรอื่นไกล นอกจากจิตใจเราปวกเปียก และง่อยเปรี้ยไปเอง....

นั่นมันยังไม่เน่าเพะหรือยังไม่โหดร้ายพอที่เราจะเดือดร้อนหรือ??

ในมุมมองของผม การแบกปืนที่หนักซักกิโลกว่าๆ ไปยิงคนอื่นแม้ด้วยเหตุผลของการปกป้องประเทศ มันก็ยังง่ายกว่าการผลักดันกระตุ้นให้ผู้คนมีสำนึกและเกิดพลังที่จะออกไปต่อสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างกล้าหาญ ภาระนี้ที่แบกไว้บนบ่ามันหนักหนาเทียบกันไม่ได้เลย ส่วนเรื่องความเสี่ยงนะหรือ... ก็อาจตายได้พอๆกัน เพียงแต่สมศักดิ์โดนประนามและรุมกระทืบจมตีนก่อนตาย...

ทำไมเราต้องไล่คนที่กำลังทำให้ประเทศเราเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นออกนอกประเทศเราด้วย... อ้อ.. เข้าใจแล้ว..

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้
ทั้งหมดที่อยากจะพูดก็แค่ เรื่องที่เรากำลังทะเลาะกัน มันก็เป็นเพียงมายาอีกแบบหนึ่งของความคับแคบและเอาตนเป็นที่ตั้งของคน เราพร้อมจะขัดแย้งและรุนแรงได้ตลอดเวลา ไม่ว่าด้วยเรื่องอะไรก็ตามที่เราไม่เห็นด้วย มันคือนิสัยและพันธุกรรมของเราชาวไทย ความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างก็แค่ภาพขยายของเรื่องๆเดียวที่ซ้ำๆ ของคนที่ดูทีวีช่องเดียวกัน เรื่องซ้ำๆ ของหลายๆคนซึ่งทำให้เราคิดไปเองว่าเรามีพรรคพวก จนทำให้เกิดความคึกคะนอง โดยหารู้ไม่ว่า เราต่างคนต่างโดดเดี๋ยวในการเผชิญหน้าและต่อสู้กับมายาที่บดบังและกัดกินสติปัญญาของเรา... ศึกนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือจะชนะ ไม่ว่าอะไรจะพังพินาศและย่อยยับเพียงใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุดคือ... เราโดดเดี๋ยวลำพัง เราไม่มีพรรคพวกแน่นอน..

เราหลงลืมประเด็นที่กำลังคุยกัน หรือเรามืดบอดเพราะศรัทธาที่บ้าคลั่ง หรือว่าเราแกล้งไม่เข้าใจเพราะเหตุผลอันใด แทนที่จะบอกว่าอย่าคุยกันเลย ทำไมเราไม่แสดงเหตุผลของเราออกไปให้อีกฝ่ายได้คิด....

ธรรมของเหล่าศาสดาทั้งหลายสามารถช่วยหรือบรรเทาภาวะเลวร้ายอันนี้ได้... แต่ก่อนที่เราจะริอาจทำเป็นเข้าใจคำสอนของเหล่าศาสดาที่ล่วงลับไปเหล่านั้น เราต้องเข้าใจจิตวิญญาณของประชาธิปไตย ซึ่งต่ำชั้นกว่าให้ได้เสียก่อน...

นั่นต่างหากคือจุดเริ่มต้นที่เราจะแก้ไขปัญหาของสังคมที่(เราทำเป็นมองไม่เห็นว่า)เลวร้ายได้..

และจะขอบคุณถ้าจะลองศึกษาอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ประวัติศาสตร์การเสียประเทศและกอบกู้แผ่นดิน

ลองศึกษาดูว่า หยดเลือดที่ราดรดผืนแผ่นดินนี้ ทั้งด้วยความกล้าหาญหรือด้วยความหวาดกลัว เป็นของใครบ้าง (อย่า..อย่าพึ่งนึกในใจว่ารู้ครับ ลองศึกษาดูดีๆ) ลองศึกษาดูว่าใครบ้าง เมื่อไร ตอนไหน ที่มีวีรกรรมในการกอบกู้ประเทศนี้ ทั้งสงครามช่วงที่ใช้ดาบและช่วงที่ใช้ปืน ลองศึกษาดูรูปทรงและแผนที่ประเทศนี้ ลองศึกษาดูเรื่องจิตวิญญาณและวิธีการพิทักษ์รักษาประเทศนี้ ใคร ทำอะไรบ้าง และอย่างไร

แล้วลองดูอีกนิดว่า ถึงตอนนี้ เขาเหล่านั้น ใครอยู่ไหน ถูกพูดถึงอย่างไร เชื่อมโยงกับเรื่องราวในวันนี้แบบใดบ้าง....

สุดท้ายของสุดท้ายนี้
ขอขอบคุณดวงวิญญาณของวีรชนผู้กล้าและรวมถึงผู้ทนทุกข์ทรมานและหวาดกลัวทั้งหลาย...ที่ถูก(ทำให้)ลืมเลือน

ด้วยความเครารพ

ปล. อาจจะไม่มีประเด็นอะไรให้พูดคุยกันในการร่ายยาวนี้... เพราะจุดประสงค์ของการร่ายครั้งนี้ เพื่อให้พูดคุยกับตนเอง..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่