บทนำ
สายๆของวานนี้ 27 กพ. 2556 ผมเดินออกมาจากสวนธรรม(ธรรมสถาน)ที่เจ้าสำนักสร้างและวางผังด้วยตนเองไว้อย่างสวยงาม ผมนั้นน่ะสองจิตสองใจว่าจะมากรุงเทพฯดีหรือไม่เพราะมาก็ไม่มีที่อยู่ แล้วไหนจะเรื่องเงินอีก เท่าที่มีอยู่ก็... 17,000 บาท เศษ และอีกวันสองวันอดีตภรรยาก็จะโอนเข้ามาให้อีก 7,000 บาท เงินจำนวนเท่านี้จะไปตั้งต้นชีวิตในกรุงได้อย่างไร แต่ก็เอาเถอะ ตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป มันต้องไปให้ได้ วิชาที่จะใช้ทำมาหากินก็มีไม่น้อย หากไปไม่รอดจริงๆจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ครูบาอาจารย์ที่เคยไปขออาศัยอยู่ด้วย(คงพร้อมจะให้กลับไปอยู่ ซึ่งก็มีอยู่หลายท่านแต่ถ้าท่านไม่รับขึ้นมาจริงๆก็ต้องแล้วแต่ท่านว่าท่านจะเลิกเมตตาผมแล้วหรือไร และถ้าเป็นไปแบบนี้แล้วผมได้ไปอยู่กับพระท่านใด เที่ยวนี้ ผมบวชแน่(เคยมีคนหลายคน พระหลายรูปบอกให้ผมบวช) แต่เดิมนั้นผมก็อยากบวชแต่เคยเดินจงกลมจนเท้าที่ฉีก หนักเข้าถึงแตก ตอนนั้นเลยไม่อยากบวช
จากมา
ที่ที่ผมไปอยู่ก่อนหน้าที่จะกลับมากรุงเทพฯที่นั้นคือธรรมสถานแห่งหนึ่ง อยู่ที่บ้านห้วยบอน อำเภอ ฝาง ห่างจากตัวอำเภอ(ฝาง) 4 กิโลเมตร
ตอนที่ผมเดินออกมาจากสวนนั้นเวลาใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที เดิมผมคิดว่าจะออกเดินตั้งแต่ก่อนสว่างเพราะอากาศก่อนเช้านั้นเย็นสบายไม่ร้อน กว่าจะถึงฝางคงไม่เหนื่อยจนเกินไป
ระยะทางจากสวนธรรม(สถาน)กับอำเภอฝางห่างกันสี่กิโลเมตร(ได้ยินจากเจ้าสำนักคุยกับพระกับโยม แต่ตอนที่ผมเดินอออกมานั้น กว่าจะมาเริ่มนับกิโลเมตรที่หนึ่งก็ผ่านทางเดินมาหลายร้อยเมตรบางทีอาจเป็นกิโลๆซึ่งยังไม่ได้รวมระยะทางสี่กิโลนั่นไว้
ตรงสี่แยกที่จะไปฝางซึ่งสามารถไปได้สองทาง ทางไกลหน่อยก็ 7 กิโลเมตร ทางนั้นคงเป็นทางบายพาส เพราะว่าผมทางนั้นเห็นรถวิ่งกันเร็ว เร็วๆมากจนผมคิดว่าพวกที่ขับรถพวกนั้นต้องกำลังแข่งกันอยู่แน่ๆ
จะไม่ให้วิ่งเร็วได้ไงก็ทางบายพาสทุกที่ทุกเมืองส่วนมากทำไว้ดีๆทั้งนั้นเหมาะกับพวกชอบใช้ความเร็ว แต่ผมนี่สิ มีแค่ สองขา สองเท้า กับเป้หนักๆพร้อมถุงที่มีเครื่องใช้ส่วนตัวมากมายทั้งสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู ที่โกนหนวด(อันหลังนี่สำคัญเพราะผมเป็นคนหนวดยาวเร็วมาก ของพวกนี้หลวงพ่อท่านหนึ่งจัดให้ผมตอนที่ให้ผมตามไปกับโยมชาวจังหวัดแพร่สามคนเพื่อไปอยู่วัดๆหนึ่งที่จังหวัดแพร่
วัดนั้นมีหลวงพ่อท่านหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสและท่านเป็นพระมหาเถระที่มีญาติโยมอุบาสกอุบาสิกา ให้ความเคารพมากมายพอสมควร และที่สำคัญท่านเหล่านั้นรวมทั้งผมก็ศรัทธาในตัวท่านมากจริงๆ(ในตอนที่ผมได้ไปอยู่กับท่านแล้ว )
................เรื่องที่ผมเอ่ยออกมาถึงหลวงพ่อทั้งสองท่านนั้นเพราะผมเคยไปขอพักอาศัยกับท่านทั้งสอ ท่านหนึ่งนั้นไปแบบขอฝากตัวตอนที่เจอกันที่ลำพูน อีกท่านหนึ่งนั้นคือเจ้าอาวาสวัดที่ผมไปกับโยมชาวแพร่ ผมอยู่กับท่านทั้งสองท่านละไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน
ในหนึ่งเดือนของแต่ละที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่นานพอสมควร ชีวิตเดือนนึงในวัดนั้นผ่านไปนานมากเพราะวันและเวลาที่เริ่มใช้ชีวิตใน(วัดที่แพร่)(ป่าช้า)กับหลวงพ่อองค์แรก)นั้น เริ่มกันตั้งแต่ตีสามครึ่งกว่าจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็สามทุ่มหรืออาจสามทุ่มกว่าแล้วแต่วัน
ต่อจาก...จากมา
ผมกะประมาณเอาว่าจากที่ออกมาจากสวนธรรม จนมาถึงที่สี่แยกที่แยกไปตามเมืองต่างๆ ซึ่งพอใกล้ถึงแยกผมมองออกไปไกลๆตอนแรกแรกเห็นเป็นสามแยก ก่อนที่จะเดินถึงแยกนั้นพอดีมีสาวคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังผมมาผมเลยหันไปโบกมือเพื่อถามทางไปฝางความจริงเธอน่าจะจอดนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ว่ากัน พอเธอไม่จอดผมเลยตะโกนถามไปว่าไปฝางไปซ้ายหรือไปขวาเธอบอกไปขวา ผมก็เชื่อเธอเพราะเธอเป็นคนพื้นที่ แต่พอเดินไปถึงแยกที่ว่านี่สิ...เอาละสิเรื่องจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่เล็กก็ไม่เล็ก เพราะทางที่เธอคนนั้นชี้บอกทางให้...
จากป้ายที่ติดไว้ตรงสี่แยกนั้นบอกเส้นทางไปฝางเป็นระยะทาง 7 กม. ส่วนตรงแยกที่ตัดข้ามตรงไป ป้ายบอกไว้ไปฝางเพียง 4 กิโลเมตร ผมเลยติดสินใจเดินไปตามเส้นทางนั้น ดีที่อากาศกำลังสบายๆ ก็เพราะเพิ่งเป็นวันวันก่อนวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นเองยังไม่เข้ามีนาเมษาสองเดือนที่ร้อนระห่ำ ถ้าเป็นช่วงที่เข้าสองเดือนนั้นแล้วแล้วถ้าผมอยู่ถึงตอนนั้นแล้วเดินออกมาเพื่อจะมากรุงเทพฯ ผมคงไปไม่ถึงไหนแน่ๆ
ทางทีผมตัดสินใจเดินไปนั้นเพราะเห็นว่าระยะทางสั้นกว่า แต่พอเดินๆไป ทางนั้นเป็นหลุมบ่อทั้งคดเคี้ยวทั้งเป็นหลุมเป็นหลุมบ่อแต่ไม่เป็นอุปสรรคในการเดิน....แต่ไอ้ที่คดเคี้ยวนี่สิมันพาให้ไขว้เขวไปไม่น้อยว่าจะถึงในครึ่งชั่วโมงได้หรือไม่ แต่อย่างว่า...ถึงทางมันคดเคี้ยวต้องเดินแบบลดเลี้ยวไปมาทำให้เสียพลังงานซะบ้าง แต่ผมว่าสำหรับเจ้าสำนักแล้วคงถึงในครึ่งชั่วโมงตามที่ท่านบอก เพราะเคยเห็นพลังของท่าน รวมทั้งกำลังวังชา(ขา)ตอนไปที่ไปวัดๆหนึ่งทางภาคอีสาน ท่านเดินขึ้นเขา(มีบันได)ที่สูงมาก ผมว่าไม่น้อยกว่าร้อยขั้นแน่นอน บางทีอาจถึงสองสามร้อยขั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ ในตอนแรกก็เดินไม่ทิ้งกันเท่าไหร่หรอก แต่พอคณะของเราซึ่งมี เจ้าสำนัก ผม ลูกศิษย์เจ้าสำนักสองคน ซึ่งช่วงหนึ่งในสามของระยะทางนั้นเจ้าสำนักเริ่มทิ้งพวกเราไปทีละน้อย จนมองกันแทบไม่เห็น จนกระทั่งเจ้าสำนักหายไปไหนก็ไม่รู้ ที่เล่ามานี่เองเป็นการยืนยันว่าเจ้าสำนักคงเดินออกจากสวนธรรมไปที่ฝางได้ตามเวลาที่กำหนดไว้จริงๆ
ขอแพ้พัก
สายๆของวานนี้ 27 กพ. 2556 ผมเดินออกมาจากสวนธรรม(ธรรมสถาน)ที่เจ้าสำนักสร้างและวางผังด้วยตนเองไว้อย่างสวยงาม ผมนั้นน่ะสองจิตสองใจว่าจะมากรุงเทพฯดีหรือไม่เพราะมาก็ไม่มีที่อยู่ แล้วไหนจะเรื่องเงินอีก เท่าที่มีอยู่ก็... 17,000 บาท เศษ และอีกวันสองวันอดีตภรรยาก็จะโอนเข้ามาให้อีก 7,000 บาท เงินจำนวนเท่านี้จะไปตั้งต้นชีวิตในกรุงได้อย่างไร แต่ก็เอาเถอะ ตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป มันต้องไปให้ได้ วิชาที่จะใช้ทำมาหากินก็มีไม่น้อย หากไปไม่รอดจริงๆจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ครูบาอาจารย์ที่เคยไปขออาศัยอยู่ด้วย(คงพร้อมจะให้กลับไปอยู่ ซึ่งก็มีอยู่หลายท่านแต่ถ้าท่านไม่รับขึ้นมาจริงๆก็ต้องแล้วแต่ท่านว่าท่านจะเลิกเมตตาผมแล้วหรือไร และถ้าเป็นไปแบบนี้แล้วผมได้ไปอยู่กับพระท่านใด เที่ยวนี้ ผมบวชแน่(เคยมีคนหลายคน พระหลายรูปบอกให้ผมบวช) แต่เดิมนั้นผมก็อยากบวชแต่เคยเดินจงกลมจนเท้าที่ฉีก หนักเข้าถึงแตก ตอนนั้นเลยไม่อยากบวช
จากมา
ที่ที่ผมไปอยู่ก่อนหน้าที่จะกลับมากรุงเทพฯที่นั้นคือธรรมสถานแห่งหนึ่ง อยู่ที่บ้านห้วยบอน อำเภอ ฝาง ห่างจากตัวอำเภอ(ฝาง) 4 กิโลเมตร
ตอนที่ผมเดินออกมาจากสวนนั้นเวลาใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที เดิมผมคิดว่าจะออกเดินตั้งแต่ก่อนสว่างเพราะอากาศก่อนเช้านั้นเย็นสบายไม่ร้อน กว่าจะถึงฝางคงไม่เหนื่อยจนเกินไป
ระยะทางจากสวนธรรม(สถาน)กับอำเภอฝางห่างกันสี่กิโลเมตร(ได้ยินจากเจ้าสำนักคุยกับพระกับโยม แต่ตอนที่ผมเดินอออกมานั้น กว่าจะมาเริ่มนับกิโลเมตรที่หนึ่งก็ผ่านทางเดินมาหลายร้อยเมตรบางทีอาจเป็นกิโลๆซึ่งยังไม่ได้รวมระยะทางสี่กิโลนั่นไว้
ตรงสี่แยกที่จะไปฝางซึ่งสามารถไปได้สองทาง ทางไกลหน่อยก็ 7 กิโลเมตร ทางนั้นคงเป็นทางบายพาส เพราะว่าผมทางนั้นเห็นรถวิ่งกันเร็ว เร็วๆมากจนผมคิดว่าพวกที่ขับรถพวกนั้นต้องกำลังแข่งกันอยู่แน่ๆ
จะไม่ให้วิ่งเร็วได้ไงก็ทางบายพาสทุกที่ทุกเมืองส่วนมากทำไว้ดีๆทั้งนั้นเหมาะกับพวกชอบใช้ความเร็ว แต่ผมนี่สิ มีแค่ สองขา สองเท้า กับเป้หนักๆพร้อมถุงที่มีเครื่องใช้ส่วนตัวมากมายทั้งสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แชมพู ที่โกนหนวด(อันหลังนี่สำคัญเพราะผมเป็นคนหนวดยาวเร็วมาก ของพวกนี้หลวงพ่อท่านหนึ่งจัดให้ผมตอนที่ให้ผมตามไปกับโยมชาวจังหวัดแพร่สามคนเพื่อไปอยู่วัดๆหนึ่งที่จังหวัดแพร่
วัดนั้นมีหลวงพ่อท่านหนึ่งเป็นเจ้าอาวาสและท่านเป็นพระมหาเถระที่มีญาติโยมอุบาสกอุบาสิกา ให้ความเคารพมากมายพอสมควร และที่สำคัญท่านเหล่านั้นรวมทั้งผมก็ศรัทธาในตัวท่านมากจริงๆ(ในตอนที่ผมได้ไปอยู่กับท่านแล้ว )
................เรื่องที่ผมเอ่ยออกมาถึงหลวงพ่อทั้งสองท่านนั้นเพราะผมเคยไปขอพักอาศัยกับท่านทั้งสอ ท่านหนึ่งนั้นไปแบบขอฝากตัวตอนที่เจอกันที่ลำพูน อีกท่านหนึ่งนั้นคือเจ้าอาวาสวัดที่ผมไปกับโยมชาวแพร่ ผมอยู่กับท่านทั้งสองท่านละไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน
ในหนึ่งเดือนของแต่ละที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่นานพอสมควร ชีวิตเดือนนึงในวัดนั้นผ่านไปนานมากเพราะวันและเวลาที่เริ่มใช้ชีวิตใน(วัดที่แพร่)(ป่าช้า)กับหลวงพ่อองค์แรก)นั้น เริ่มกันตั้งแต่ตีสามครึ่งกว่าจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนก็สามทุ่มหรืออาจสามทุ่มกว่าแล้วแต่วัน
ต่อจาก...จากมา
ผมกะประมาณเอาว่าจากที่ออกมาจากสวนธรรม จนมาถึงที่สี่แยกที่แยกไปตามเมืองต่างๆ ซึ่งพอใกล้ถึงแยกผมมองออกไปไกลๆตอนแรกแรกเห็นเป็นสามแยก ก่อนที่จะเดินถึงแยกนั้นพอดีมีสาวคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์ตามหลังผมมาผมเลยหันไปโบกมือเพื่อถามทางไปฝางความจริงเธอน่าจะจอดนะ แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ว่ากัน พอเธอไม่จอดผมเลยตะโกนถามไปว่าไปฝางไปซ้ายหรือไปขวาเธอบอกไปขวา ผมก็เชื่อเธอเพราะเธอเป็นคนพื้นที่ แต่พอเดินไปถึงแยกที่ว่านี่สิ...เอาละสิเรื่องจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่เล็กก็ไม่เล็ก เพราะทางที่เธอคนนั้นชี้บอกทางให้...
จากป้ายที่ติดไว้ตรงสี่แยกนั้นบอกเส้นทางไปฝางเป็นระยะทาง 7 กม. ส่วนตรงแยกที่ตัดข้ามตรงไป ป้ายบอกไว้ไปฝางเพียง 4 กิโลเมตร ผมเลยติดสินใจเดินไปตามเส้นทางนั้น ดีที่อากาศกำลังสบายๆ ก็เพราะเพิ่งเป็นวันวันก่อนวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้นเองยังไม่เข้ามีนาเมษาสองเดือนที่ร้อนระห่ำ ถ้าเป็นช่วงที่เข้าสองเดือนนั้นแล้วแล้วถ้าผมอยู่ถึงตอนนั้นแล้วเดินออกมาเพื่อจะมากรุงเทพฯ ผมคงไปไม่ถึงไหนแน่ๆ
ทางทีผมตัดสินใจเดินไปนั้นเพราะเห็นว่าระยะทางสั้นกว่า แต่พอเดินๆไป ทางนั้นเป็นหลุมบ่อทั้งคดเคี้ยวทั้งเป็นหลุมเป็นหลุมบ่อแต่ไม่เป็นอุปสรรคในการเดิน....แต่ไอ้ที่คดเคี้ยวนี่สิมันพาให้ไขว้เขวไปไม่น้อยว่าจะถึงในครึ่งชั่วโมงได้หรือไม่ แต่อย่างว่า...ถึงทางมันคดเคี้ยวต้องเดินแบบลดเลี้ยวไปมาทำให้เสียพลังงานซะบ้าง แต่ผมว่าสำหรับเจ้าสำนักแล้วคงถึงในครึ่งชั่วโมงตามที่ท่านบอก เพราะเคยเห็นพลังของท่าน รวมทั้งกำลังวังชา(ขา)ตอนไปที่ไปวัดๆหนึ่งทางภาคอีสาน ท่านเดินขึ้นเขา(มีบันได)ที่สูงมาก ผมว่าไม่น้อยกว่าร้อยขั้นแน่นอน บางทีอาจถึงสองสามร้อยขั้นรึเปล่าก็ไม่รู้ ในตอนแรกก็เดินไม่ทิ้งกันเท่าไหร่หรอก แต่พอคณะของเราซึ่งมี เจ้าสำนัก ผม ลูกศิษย์เจ้าสำนักสองคน ซึ่งช่วงหนึ่งในสามของระยะทางนั้นเจ้าสำนักเริ่มทิ้งพวกเราไปทีละน้อย จนมองกันแทบไม่เห็น จนกระทั่งเจ้าสำนักหายไปไหนก็ไม่รู้ ที่เล่ามานี่เองเป็นการยืนยันว่าเจ้าสำนักคงเดินออกจากสวนธรรมไปที่ฝางได้ตามเวลาที่กำหนดไว้จริงๆ