๑๑๑..เรื่องพระพุทธรูปในต่างแดน..๑๑๑
เมื่อมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง คุณครูพามาสนทนาธรรมกับหลวงปู่
โยม: หลวงปู่ครับผมรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเวลาเห็นฝรั่งเราพระพุทธรูปไปตั้งในบาร์ ในห้องน้ำ ในบ้าน หรือเอารูปพระพุทธเจ้าไปติดที่เสื้อที่รองเท้า นี่ล่าสุดเอานอนไว้กลางเมือง ผมรู้สึกว่าเขาย่ำยีศาสนาเราเหลือเกิน
หลวงปู่: ศาสนาในความคิดของเจ้าอยู่ที่ไหนหล่ะ
โยม: ก็อยู่กับวัด อยู่กับพระ กับพุทธบริษัทครับผม
หลวงปู่: แสดงว่าไม่มีวัด ไม่มีพระ ไม่มีพระพุทธรูปก็ไม่มีศาสนาหล่ะสิ
โยม: เปล่าครับผมหลวงปู่ ครูสอนว่าถ้ามีคนปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ศาสนาก็ยังอยู่
หลวงปู่: ก็นั้นสิ ครูเจ้าสอนถูกแล้ว ไม่มีวัดข้างนอกไม่มีวัดที่พระอยู่ก็วัดจิตวัดใจของเราตั้ว ไม่มีพระให้ไหว้ก็ไหว้พระในใจเราตั้วทำใจเราให้เป็นใจพระตั้ว ก็ในเมื่อตัวเรายังเป็นพุทธบริษัท ปฏิบัติตามธรรมมะของพระพุทธเจ้าอยู่ศาสนาก็ยังอยู่ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้บอกว่าพระพุทธรูปคือศาสดาแทนพระองค์ แต่พระองค์บอกว่าพระธรรมคือคำสอน พระวินัยคือคำสั่งของพระองค์ต่างหากหล่ะที่เป็นศาสดา ตราบใดเจ้ายังรักษาศีล เจ้ายังปฏิบัติธรรมตามพระองค์เจ้าอยู่แสดงว่าพระพุทธเจ้าคือพระศาสดาของเจ้ายังอยู่ ถ้าเจ้ามีศาสดาแบบนี้ใครจะเอาของเจ้าไปย่ำยีได้ พระพุทธรูปเป็นของสมสติแทนพระพุทธเจ้าเฉยๆ ของสมมุติก็คือสมมุติ คนที่มันเป็นทุกข์ทุกวันนี้ก็เพราะหลงสมมุติ สมมุติว่าเขาเป็นผัว เป็นเมีย เป็นคนรัก เป็นอะไรนะที่เขาเรียกกันทุกวันนี้
โยม: กิ๊กหรอครับผม
หลวงปู่: เออ กิ๊กๆ แก็กๆนี้หล่ะ แล้วก็ไปทุกข์กับมัน มันเป็นของเรา มันไม่ใช่ของคนอื่นพอคนอื่นมาเอาก็ทุกข์ นั้นทุกข์เพราะสมมุติ อันชื่อหลวงปู่นี้เขาก็สมมุติเรียก จะเรียกหรือไม่เรียกหลวงปู่ก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะหลวงปู่คือหลวงปู่ไม่ได้ชื่อนั้นเป็นหลวงปู่เมื่อไหร่เล่า พระพุทธรูปก็เหมือนกันเขาสมมุติกราบไหว้ให้ระลึกถึงท่านเพราะเราเกิดไม่ทัน จะได้นึกภาพออกจะได้ศรัทธาถูก อย่าไปติดไปทุกข์กับของที่เขาสมมุติแหม ให้มีศาสดาอย่างที่หลวงปู่ว่า เมื่อเรามีศาสดาอย่างนั้นในใจเราแล้วเขาจะเอารูปปั้นรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าไปทำอะไรเราก็ไม่ทุกข์เพราะรูปปั้นรูปเหมือนนั้นก็ไม่ใช่ศาสนา เข้าใจนะ
โยม: ครับผม แต่ผมก็ว่าเขาไม่น่าเอารูปเหมือนของพระพุทธเจ้าไปทำอย่างนั้นนี่ครับผม
หลวงปู่: คุณว่ารูปปั้นนั้นเหมือนพระพุทธเจ้าไหมหล่ะ
โยม: เหมือนสิครับผม
หลวงปู่: คุณเกิดทันพระพุทธเจ้าเหรอ ถึงรู้ว่าเหมือน
โยม:ไม่ทันครับผม
หลวงปู่: เออเกิดไม่ทันเห็นพระองค์ท่านก็อย่าเพิ่งว่าเหมือน
โยม: ครับผม ถ้าไม่เหมือนผมก็ไม่ทุกข์สิครับผม
หลวงปู่: แล้วรู้ได้อย่างไรว่าไม่เหมือน
โยม: ............................
หลวงปู่: ใช้ปัญญาเด้อ ศาสนาเราเป็นศาสนาที่ต้องพิจารณาให้ได้ปัญญา คนมีปัญญามันไม่ทุกข์ หาปัญญาใส่ตัวเองให้มากๆ อย่าไปทุกข์ตามเขาโดยที่เราก็ยังไม่ได้พิจารณา วางใจให้ถูกคุญจะไม่ทุกข์ เข้าใจนะ
โยม.... สาธุ สาธุ สาธุ ....
บทเทศนาสอนโยมของหลวงปู่ไดโนเสาร์....
จากเพจ Teeraphan Naksin
อนึ่ง... แต่ต้องแยกให้ออกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่สมควร
แม้จะเป็นสมมติ เราก็ต้องเข้าใจอย่างสมมติ ปฏิบัติให้ถูกต้องกับสมมตินั้นๆด้วย
ไม่งั้น
เออ นี่มันธาตุ ๔ รวมตัวกัน แล้วเรียกว่าคน แล้วก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่เรา เตะซะหน่อยจะเป็นไรมั้ย
ต้องแยกให้ออก เวลากรรมมันให้ผล มันก็ให้ผลกับขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ของเรานี่แหละ
เรื่องของเราเราเคลียร์ให้ชัด รู้ควรไม่ควร แม้แต่ร่างกายของพระพุทธเจ้าเอง ก็เป็นธาตุ ๔ เป็นขันธ์ ๕
ถ้าเราได้เจอท่านจริงๆ เราก็ไหว้ก็กราบใช่มั้ย เราไม่ได้ไหวธาตุ ๔ ขันธุ์ ๕ ใช่มั้ย
เราไหว้ในความดีของท่าน
พระพุทธรูปก็เหมือนกัน เราไหว้เพราะเราระลึกในความดีของพระพุทธเจ้า
ส่วนเรื่องของชาวบ้านเขาจะเป็นยังไง เวลาเราเอาจิตไปจับชาวบ้านคนอื่นนั้น ให้ใช้เมตตาเป็นหลัก
คนมันจะเดินลงนรกนี่ เราก็ต้องดูว่าจะช่วยได้มั้ย บอกได้มั้ย ถ้าบอกได้ก็บอก บอกไม่ได้ก็ต้องวางอุเบกขานะ
มีกรุณาความสงสารได้ แต่ต้องปล่อยวาง เราไม่กลุ้มเขาไม่กลุ้ม
ไม่สบายใจ ที่ฝรั่งไม่เข้าใจ เอาพระพุทธรูปไปทำให้เราหมองใจ
เมื่อมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง คุณครูพามาสนทนาธรรมกับหลวงปู่
โยม: หลวงปู่ครับผมรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเวลาเห็นฝรั่งเราพระพุทธรูปไปตั้งในบาร์ ในห้องน้ำ ในบ้าน หรือเอารูปพระพุทธเจ้าไปติดที่เสื้อที่รองเท้า นี่ล่าสุดเอานอนไว้กลางเมือง ผมรู้สึกว่าเขาย่ำยีศาสนาเราเหลือเกิน
หลวงปู่: ศาสนาในความคิดของเจ้าอยู่ที่ไหนหล่ะ
โยม: ก็อยู่กับวัด อยู่กับพระ กับพุทธบริษัทครับผม
หลวงปู่: แสดงว่าไม่มีวัด ไม่มีพระ ไม่มีพระพุทธรูปก็ไม่มีศาสนาหล่ะสิ
โยม: เปล่าครับผมหลวงปู่ ครูสอนว่าถ้ามีคนปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ศาสนาก็ยังอยู่
หลวงปู่: ก็นั้นสิ ครูเจ้าสอนถูกแล้ว ไม่มีวัดข้างนอกไม่มีวัดที่พระอยู่ก็วัดจิตวัดใจของเราตั้ว ไม่มีพระให้ไหว้ก็ไหว้พระในใจเราตั้วทำใจเราให้เป็นใจพระตั้ว ก็ในเมื่อตัวเรายังเป็นพุทธบริษัท ปฏิบัติตามธรรมมะของพระพุทธเจ้าอยู่ศาสนาก็ยังอยู่ ธรรมมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้บอกว่าพระพุทธรูปคือศาสดาแทนพระองค์ แต่พระองค์บอกว่าพระธรรมคือคำสอน พระวินัยคือคำสั่งของพระองค์ต่างหากหล่ะที่เป็นศาสดา ตราบใดเจ้ายังรักษาศีล เจ้ายังปฏิบัติธรรมตามพระองค์เจ้าอยู่แสดงว่าพระพุทธเจ้าคือพระศาสดาของเจ้ายังอยู่ ถ้าเจ้ามีศาสดาแบบนี้ใครจะเอาของเจ้าไปย่ำยีได้ พระพุทธรูปเป็นของสมสติแทนพระพุทธเจ้าเฉยๆ ของสมมุติก็คือสมมุติ คนที่มันเป็นทุกข์ทุกวันนี้ก็เพราะหลงสมมุติ สมมุติว่าเขาเป็นผัว เป็นเมีย เป็นคนรัก เป็นอะไรนะที่เขาเรียกกันทุกวันนี้
โยม: กิ๊กหรอครับผม
หลวงปู่: เออ กิ๊กๆ แก็กๆนี้หล่ะ แล้วก็ไปทุกข์กับมัน มันเป็นของเรา มันไม่ใช่ของคนอื่นพอคนอื่นมาเอาก็ทุกข์ นั้นทุกข์เพราะสมมุติ อันชื่อหลวงปู่นี้เขาก็สมมุติเรียก จะเรียกหรือไม่เรียกหลวงปู่ก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะหลวงปู่คือหลวงปู่ไม่ได้ชื่อนั้นเป็นหลวงปู่เมื่อไหร่เล่า พระพุทธรูปก็เหมือนกันเขาสมมุติกราบไหว้ให้ระลึกถึงท่านเพราะเราเกิดไม่ทัน จะได้นึกภาพออกจะได้ศรัทธาถูก อย่าไปติดไปทุกข์กับของที่เขาสมมุติแหม ให้มีศาสดาอย่างที่หลวงปู่ว่า เมื่อเรามีศาสดาอย่างนั้นในใจเราแล้วเขาจะเอารูปปั้นรูปเหมือนของพระพุทธเจ้าไปทำอะไรเราก็ไม่ทุกข์เพราะรูปปั้นรูปเหมือนนั้นก็ไม่ใช่ศาสนา เข้าใจนะ
โยม: ครับผม แต่ผมก็ว่าเขาไม่น่าเอารูปเหมือนของพระพุทธเจ้าไปทำอย่างนั้นนี่ครับผม
หลวงปู่: คุณว่ารูปปั้นนั้นเหมือนพระพุทธเจ้าไหมหล่ะ
โยม: เหมือนสิครับผม
หลวงปู่: คุณเกิดทันพระพุทธเจ้าเหรอ ถึงรู้ว่าเหมือน
โยม:ไม่ทันครับผม
หลวงปู่: เออเกิดไม่ทันเห็นพระองค์ท่านก็อย่าเพิ่งว่าเหมือน
โยม: ครับผม ถ้าไม่เหมือนผมก็ไม่ทุกข์สิครับผม
หลวงปู่: แล้วรู้ได้อย่างไรว่าไม่เหมือน
โยม: ............................
หลวงปู่: ใช้ปัญญาเด้อ ศาสนาเราเป็นศาสนาที่ต้องพิจารณาให้ได้ปัญญา คนมีปัญญามันไม่ทุกข์ หาปัญญาใส่ตัวเองให้มากๆ อย่าไปทุกข์ตามเขาโดยที่เราก็ยังไม่ได้พิจารณา วางใจให้ถูกคุญจะไม่ทุกข์ เข้าใจนะ
โยม.... สาธุ สาธุ สาธุ ....
บทเทศนาสอนโยมของหลวงปู่ไดโนเสาร์....
จากเพจ Teeraphan Naksin
อนึ่ง... แต่ต้องแยกให้ออกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่สมควร
แม้จะเป็นสมมติ เราก็ต้องเข้าใจอย่างสมมติ ปฏิบัติให้ถูกต้องกับสมมตินั้นๆด้วย
ไม่งั้น
เออ นี่มันธาตุ ๔ รวมตัวกัน แล้วเรียกว่าคน แล้วก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่เรา เตะซะหน่อยจะเป็นไรมั้ย
ต้องแยกให้ออก เวลากรรมมันให้ผล มันก็ให้ผลกับขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ ของเรานี่แหละ
เรื่องของเราเราเคลียร์ให้ชัด รู้ควรไม่ควร แม้แต่ร่างกายของพระพุทธเจ้าเอง ก็เป็นธาตุ ๔ เป็นขันธ์ ๕
ถ้าเราได้เจอท่านจริงๆ เราก็ไหว้ก็กราบใช่มั้ย เราไม่ได้ไหวธาตุ ๔ ขันธุ์ ๕ ใช่มั้ย
เราไหว้ในความดีของท่าน
พระพุทธรูปก็เหมือนกัน เราไหว้เพราะเราระลึกในความดีของพระพุทธเจ้า
ส่วนเรื่องของชาวบ้านเขาจะเป็นยังไง เวลาเราเอาจิตไปจับชาวบ้านคนอื่นนั้น ให้ใช้เมตตาเป็นหลัก
คนมันจะเดินลงนรกนี่ เราก็ต้องดูว่าจะช่วยได้มั้ย บอกได้มั้ย ถ้าบอกได้ก็บอก บอกไม่ได้ก็ต้องวางอุเบกขานะ
มีกรุณาความสงสารได้ แต่ต้องปล่อยวาง เราไม่กลุ้มเขาไม่กลุ้ม