ที่มา:มติชนรายวัน 18 มี.ค.2556)
เงินกู้ 2 ล้านล้าน สะท้อน และ ′ย้อนแย้ง′ เศรษฐกิจ การเมือง
ไม่มีอะไรที่จะก่อให้เกิดลักษณะ "ย้อนแย้ง" ในทางการเมืองได้ยิ่งไปกว่าการปรากฏขึ้นของร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท อีกแล้ว
ไม่เพียงเพราะเสียงโต้แย้งจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่เพียงเพราะ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการก๊อบปี้โครงการมาจากรัฐบาลของตน
หากที่สำคัญ หากใครไปเยี่ยมชมนิทรรศการ "Thailand 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก" ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ก็ประจักษ์ในความเป็นจริงที่ทุกอย่างล้วนเป็นการสานเสริมและต่อเนื่องจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548
เพียงแต่รัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ทำให้หยุดชะงัก
คำคุยโวของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ามาจากความริเริ่มในยุคของรัฐบาลพวกตน
จึงเสมอเป็นเพียง "ตลกร้าย"
ตลกร้ายที่โครงการอย่างนี้สามารถปรากฏขึ้นได้ก็จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอย่าง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เท่านั้น ยากยิ่งจะงอกมาจากสมอง นายโสภณ ซารัมย์
แล้วเหตุใดจึงว่าเป็นลักษณะ "ย้อนแย้ง"
ถามว่าเป้าหมายของการต่อต้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายหลังสถานการณ์เลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 คืออะไร
คือ มิให้โครงการพัฒนาประเทศในแบบพรรคไทยรักไทยได้เติบใหญ่ ขยายตัว
แล้วถามว่าภายหลังการโค่นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้วสถาปนาอำนาจรัฐในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ตุลาคม 2549-ธันวาคม 2550) สามารถทำอะไรอันแสดงวิสัยทัศน์อันเหนือกว่าได้หรือไม่
หากทำได้สำเร็จไฉนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 จึงต้องแพ้พรรคพลังประชาชน
จากนั้นการทำลายล้างโดย 1 อาศัยการเคลื่อนไหวพันธมิตรที่ยกระดับถึงขั้นยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ประสานเข้ากับ 1 กลไกแห่งกระบวนการตุลาการภิวัฒน์กระทั่งยุบพรรคพลังประชาชน เพื่อเปิดทางสะดวกให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ธันวาคม 2551-กรกฎาคม 2554)
ถามว่าแล้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถทำอะไรอันแสดงวิสัยทัศน์อันเหนือกว่าได้หรือไม่
จะเห็นก็แต่รอยเลือดและชีวิตของประชาชนอันสูญเสียไปเกือบ 100 ศพ
การเลือกตั้งทั่วไปเดือนกรกฎาคม 2554 ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยให้มาเป็นรัฐบาล อันเท่ากับเป็นการสานต่อนโยบายของพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย
ลักษณะ "ย้อนแย้ง" ทางการเมืองเช่นนี้เป็นเรื่องน่าเจ็บปวด ไม่ว่าจะมองจากด้านของพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะมองจากด้านของฝ่ายที่ต้องการบดขยี้และทำลายพรรคไทยรักไทย
เวลาที่สูญไปจากเดือนกันยายน 2549 ถึง มีนาคม 2556 แทบไม่มีผลอะไร
กระแสคัดค้าน ต่อต้าน อันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ไม่ว่าเรื่องโครงการจำนำข้าว ไม่ว่าเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไม่ว่าในเรื่องของการแสวงหาสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เหมือนกับเป็น "แผ่นเสียงตกร่อง"
ไม่เพียงแต่จะมาจาก "คนหน้าเดิม" อันเคยเคลื่อนไหวในห้วงก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ไม่เพียงแต่จะมาจาก "คนหน้าเดิม" อันเคยมีบทบาทเป็นอย่างสูงในการบดขยี้และทำลายพรรคไทยรักไทย
หากที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งก็คือ ประดา "คนหน้าเดิม" เหล่านี้ยิ่งวันก็ยิ่งขับเคลื่อนไปในความว้าเหว่ เดียวดาย
เหลือปริมาณน้อยลงเป็นลำดับ เสียงค่อยลงเป็นลำดับ
คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ หากไม่เกิดรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 บางทีอาจได้นั่งรถไฟความเร็วสูงเรียบร้อยไปแล้ว
จึงเป็น 7 ปีแห่งการเสียเวลาเปล่า
แม้ความเป็นจริงอันโหดร้ายในทางการเมืองจะค่อยคลี่คลาย แผ่แบ ความเป็นจริงให้ปรากฏ
แต่กระแสคัดค้าน ต่อต้าน จาก "คนหน้าเดิม" ก็ยังพยายามในทุกวิถีทาง ที่จะสกัดขัดขวางมิให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
การดิ้นเฮือกสุดท้ายฤทธานุภาพย่อมรุนแรง ร้ายกาจ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363623164&grpid=01&catid=&subcatid=
นั่นสิเน้อ โปรเจตแบบนี้หรือจะงอกออกมาจาก
สมองนายโสภณ ซารัมย์ มีก็แต่หวังงาบงบฯ
ถนนปลอดฝุ่น รถเมล์ 4,000 คัน กินง่ายดี
โอกาสเกิดโครงการใหญ่ ๆๆ คงยาก เพราะนายกฯ ยุคนั้น
สร้างศัตรูไว้รอบบ้าน จะไปคุยเจรจาอะไรก็ไม่ได้
เพราะเป็นรัฐบาลที่เขาอุ้มสมมา ทั่วโลกเขาไม่ให้ความเชื่อถือ
แถมแถลงนโยบายในกระทรวงต่างประเทศอีก กิกิ
นี่แหละประเทศไทยแลนด์ มีไว้สำหรับปชป.
นั่นสิ 7 ปีแห่งการเสียเปล่า ของการปฏิว้ติ
เงินกู้ 2 ล้านล้าน สะท้อน และ ′ย้อนแย้ง′ เศรษฐกิจ การเมือง
ไม่มีอะไรที่จะก่อให้เกิดลักษณะ "ย้อนแย้ง" ในทางการเมืองได้ยิ่งไปกว่าการปรากฏขึ้นของร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท อีกแล้ว
ไม่เพียงเพราะเสียงโต้แย้งจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่เพียงเพราะ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการก๊อบปี้โครงการมาจากรัฐบาลของตน
หากที่สำคัญ หากใครไปเยี่ยมชมนิทรรศการ "Thailand 2020 ก้าวใหม่เชื่อมไทยสู่โลก" ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ก็ประจักษ์ในความเป็นจริงที่ทุกอย่างล้วนเป็นการสานเสริมและต่อเนื่องจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548
เพียงแต่รัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ทำให้หยุดชะงัก
คำคุยโวของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่ามาจากความริเริ่มในยุคของรัฐบาลพวกตน
จึงเสมอเป็นเพียง "ตลกร้าย"
ตลกร้ายที่โครงการอย่างนี้สามารถปรากฏขึ้นได้ก็จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอย่าง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เท่านั้น ยากยิ่งจะงอกมาจากสมอง นายโสภณ ซารัมย์
แล้วเหตุใดจึงว่าเป็นลักษณะ "ย้อนแย้ง"
ถามว่าเป้าหมายของการต่อต้านรัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายหลังสถานการณ์เลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 คืออะไร
คือ มิให้โครงการพัฒนาประเทศในแบบพรรคไทยรักไทยได้เติบใหญ่ ขยายตัว
แล้วถามว่าภายหลังการโค่นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้วสถาปนาอำนาจรัฐในยุครัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (ตุลาคม 2549-ธันวาคม 2550) สามารถทำอะไรอันแสดงวิสัยทัศน์อันเหนือกว่าได้หรือไม่
หากทำได้สำเร็จไฉนการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2550 จึงต้องแพ้พรรคพลังประชาชน
จากนั้นการทำลายล้างโดย 1 อาศัยการเคลื่อนไหวพันธมิตรที่ยกระดับถึงขั้นยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ประสานเข้ากับ 1 กลไกแห่งกระบวนการตุลาการภิวัฒน์กระทั่งยุบพรรคพลังประชาชน เพื่อเปิดทางสะดวกให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ธันวาคม 2551-กรกฎาคม 2554)
ถามว่าแล้วรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สามารถทำอะไรอันแสดงวิสัยทัศน์อันเหนือกว่าได้หรือไม่
จะเห็นก็แต่รอยเลือดและชีวิตของประชาชนอันสูญเสียไปเกือบ 100 ศพ
การเลือกตั้งทั่วไปเดือนกรกฎาคม 2554 ประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยให้มาเป็นรัฐบาล อันเท่ากับเป็นการสานต่อนโยบายของพรรคพลังประชาชนและพรรคไทยรักไทย
ลักษณะ "ย้อนแย้ง" ทางการเมืองเช่นนี้เป็นเรื่องน่าเจ็บปวด ไม่ว่าจะมองจากด้านของพรรคไทยรักไทย ไม่ว่าจะมองจากด้านของฝ่ายที่ต้องการบดขยี้และทำลายพรรคไทยรักไทย
เวลาที่สูญไปจากเดือนกันยายน 2549 ถึง มีนาคม 2556 แทบไม่มีผลอะไร
กระแสคัดค้าน ต่อต้าน อันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ ไม่ว่าเรื่องโครงการจำนำข้าว ไม่ว่าเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไม่ว่าในเรื่องของการแสวงหาสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เหมือนกับเป็น "แผ่นเสียงตกร่อง"
ไม่เพียงแต่จะมาจาก "คนหน้าเดิม" อันเคยเคลื่อนไหวในห้วงก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ไม่เพียงแต่จะมาจาก "คนหน้าเดิม" อันเคยมีบทบาทเป็นอย่างสูงในการบดขยี้และทำลายพรรคไทยรักไทย
หากที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งก็คือ ประดา "คนหน้าเดิม" เหล่านี้ยิ่งวันก็ยิ่งขับเคลื่อนไปในความว้าเหว่ เดียวดาย
เหลือปริมาณน้อยลงเป็นลำดับ เสียงค่อยลงเป็นลำดับ
คำถามที่เสนอเข้ามาก็คือ หากไม่เกิดรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 บางทีอาจได้นั่งรถไฟความเร็วสูงเรียบร้อยไปแล้ว
จึงเป็น 7 ปีแห่งการเสียเวลาเปล่า
แม้ความเป็นจริงอันโหดร้ายในทางการเมืองจะค่อยคลี่คลาย แผ่แบ ความเป็นจริงให้ปรากฏ
แต่กระแสคัดค้าน ต่อต้าน จาก "คนหน้าเดิม" ก็ยังพยายามในทุกวิถีทาง ที่จะสกัดขัดขวางมิให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
การดิ้นเฮือกสุดท้ายฤทธานุภาพย่อมรุนแรง ร้ายกาจ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363623164&grpid=01&catid=&subcatid=
นั่นสิเน้อ โปรเจตแบบนี้หรือจะงอกออกมาจาก
สมองนายโสภณ ซารัมย์ มีก็แต่หวังงาบงบฯ
ถนนปลอดฝุ่น รถเมล์ 4,000 คัน กินง่ายดี
โอกาสเกิดโครงการใหญ่ ๆๆ คงยาก เพราะนายกฯ ยุคนั้น
สร้างศัตรูไว้รอบบ้าน จะไปคุยเจรจาอะไรก็ไม่ได้
เพราะเป็นรัฐบาลที่เขาอุ้มสมมา ทั่วโลกเขาไม่ให้ความเชื่อถือ
แถมแถลงนโยบายในกระทรวงต่างประเทศอีก กิกิ
นี่แหละประเทศไทยแลนด์ มีไว้สำหรับปชป.