จากกระทู้ก่อนหน้านี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/30238354
รีวิวนี้เป็นตอนที่เราไปอิวาเตะหน้าร้อนปี 2012 ค่ะ(เดือนสิงหา)
เดือนสิงหาของญี่ปุ่นเป็นหน้าร้อน
เราบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่า ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากลงพื้นที่โทโฮคุอีกนะ(แน่นอนว่าการเดินทางแต่ละครั้งมหาลัยต้องออกค่าใช้จ่ายให้เราน่ะค่ะ)
ที่ปรึกษาเราเลยจัดให้ เป็นโอกาสเดียวกับที่เด็กป.โทสองคนจะไปเก็บข้อมูลพอดีหนึ่งในนั้นเป็นคนพูดภาษาอังกฤษใช้ได้
อาจารย์เลยฝากน้องภา(ระ)ไปกับสองหน่อนั่น...บอกว่าให้เราไปช่วยถ่ายรูปละกันนะ(เด็กป.โทลงไปทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ปลายของเมืองเพื่อขอข้อมูลหลังเกิดภัยพิบัติ)
ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนอากาศร้อนสุดๆเลยค่ะ การเดินทางคราวนี้เราไปอยู่เมือง Otsushi เป็นเวลา 1 อาทิตย์
เมืองนี้ตอนที่เกิดซึนามิค่อนข้างน่ากลัว เพราะว่าเมืองมีแม่น้ำสองสาย เวลาเกิดซึนามิ คลื่นจะขึ้นมาตามแม่น้ำได้เร็วกว่า
แล้วโอบล้อมกันจากสภาพพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ กลายเป็นน้ำวนบนชายฝั่ง.....มีคนเสียชีวิตตรงจุดนี้เกิน 500 คน

เรานั่งชินคันเซนไปลงที่โตเกียว เพื่อจะนั่งรถบัสกลางคืนไปลงที่เมือง Kamashi แล้วโคบายาชิเซนเซขับรถยนต์มารับเราไป Otsushiค่ะ
การเดินทางไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะเมืองนี้ไม่มีรถไฟแล้วค่ะ เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดซึนามิ คนในเมืองนี้ก็ไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว...ทำให้การจะทำทางรถไฟมาในเมืองนี้ไม่คุ้มทุน...แถมยังเสี่ยงกับการเกิดซึนามิในอนาคต...จึงค่อนข้างลำบากค่ะ
สถานีรถไฟของเมือง ปัจจุบันก้เป็นอย่างในภาพนี่แหละค่ะ
นั่นรถบัสไปหนึ่งคืนถึงตอนเช้าตรู่ เพื่อนเด็กป.โทบอกว่า วันนี้ยังไม่มีอะไร แต่มีคนไต้หวัน มาวาดรูปที่คาลิทาส
ซึ่งเป็นตึกนึงแถวนั้นที่ไม่โดนทำลาย เป็นองค์กรของศาสนาคริสต์ เค้าจะมาเพ้นท์ตึกกัน...เราอยู่ว่างๆไปเพ้นต์ตึกกันนะ
อากาศตอนนั้นร้อนเท่าเมืองไทยเลยค่ะ....โดยส่วนลึกแล้วอยากนอนพักกินน้ำแข็งไสมาก
แต่อู้ไม่ได้....ด้วยศักดิ์ศรีคนไทยค้ำคอ....ทุกคนเข้าใจว่าชนชาติเราทนความร้อนได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป(เหอะๆ T_T)

ไม่ให้เสียชื่อประเทศชาติ เราเลยบอกว่าได้เลย จะให้เพ้นท์อะไรบอก(ปาดเหงื่อ)...วันแรกที่ไปถึงเรากับเด็กป.โทเลยนั่งเพ้นท์ตึกกันค่ะ มีเด็กๆม.ปลายกับคุณครูมาช่วยเพ้นท์ ทำให้ได้ทำความคุ้นเคยกับก่อนเริ่มกิจกรรม เป็นวิธีที่ดีในการสร้างความไว้วางใจทีเดียว
ทำไมถึงต้องทำกิจกรรมกับเด็กๆม.ปลาย? อย่างที่รู้ว่าการจะขอข้อมูลส่วนตัวหรือความเห็นของหลายๆคนในญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย จะอยู่ๆไปถามเค้าว่า “ที่บ้านลำบากไหมเธอ...ช่วงนี้เงินเดือนพอใช้ไหม นี่คิดจะย้ายไปไหนไหม”ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เลย (นึกภาพตัวเองตอนไปขอข้อมูลน้ำท่วม...ลุงป้า ตอบคำถามเปิดเผยมาก...ชวนกินข้าวกินขนม อยากถ่ายรูปก็เปิดบ้านเปิดห้องนอนให้ถ่ายเลย....ใจกว้างมากๆ!!)
การเก็บข้อมูลเลยทำโดยการเล่นเกมส์ workshopไม่ใช่การถามตรงๆ
ทางมหาลัยโกเบ(อีก Lab)ทำโมเดลของเมืองไว้....โมเดลไม่ได้มีประโยชน์แต่ในการเรียนของเราค่ะ
แต่เอามาใช้ในการให้คนในเมืองมาช่วยตอบข้อมูล เพราะบางข้อมูลมันสำคัญกว่าที่คิดและชาวบ้านเองก็จะเห็นภาพได้ง่ายถ้าอธิบายจากโมเดลสามมิติค่ะ เช่น “วันที่เกิดเหตุวิ่งไปทางไหนบ้าง?” ชาวบ้านก็จะชี้ให้ดูได้ว่า บ้านอยู่ตรงนี้ ตอนแรกวิ่งไปทางนี้ ต่อมาวิ่งไปทางนี้.....เป็นประโยชน์ในการพัฒนามากเลยค่ะ
ตอนบ่ายเด็กๆพาลงพื้นที่ เพราะหัวข้อคือ “สิ่งที่ฉันภูมิใจในเมืองนี้ค่ะ” กลุ่มเราน้องผู้ชายสองคนพาเดินหา “น้ำแร่”ค่ะ....เพราะน้องจำได้ว่า ในเมืองเนี่ยจะมีหลายๆโรงแรมที่เปิดให้คนอาบน้ำแร่...ตอนเราเดินไปเจอนึกว่าท่อแตก เพราะมีน้ำเจิ่งๆ แต่มันคือน้ำแร่ค่ะ...แต่เป็นแบบไม่ร้อน...แปลกดีเหมือนกัน(น้องบอกกินได้ แต่เราแค่ล้างมือเฉยๆอ่ะค่ะ)
[CR] Review ย้อนหลัง Great East japan earthquake ทริปลงพื้นที่ประสบภัยซึนามิ Iwate/ Otsushi part 2
http://pantip.com/topic/30238354
รีวิวนี้เป็นตอนที่เราไปอิวาเตะหน้าร้อนปี 2012 ค่ะ(เดือนสิงหา)
เดือนสิงหาของญี่ปุ่นเป็นหน้าร้อน
เราบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่า ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากลงพื้นที่โทโฮคุอีกนะ(แน่นอนว่าการเดินทางแต่ละครั้งมหาลัยต้องออกค่าใช้จ่ายให้เราน่ะค่ะ)
ที่ปรึกษาเราเลยจัดให้ เป็นโอกาสเดียวกับที่เด็กป.โทสองคนจะไปเก็บข้อมูลพอดีหนึ่งในนั้นเป็นคนพูดภาษาอังกฤษใช้ได้
อาจารย์เลยฝากน้องภา(ระ)ไปกับสองหน่อนั่น...บอกว่าให้เราไปช่วยถ่ายรูปละกันนะ(เด็กป.โทลงไปทำกิจกรรมกับนักเรียนม.ปลายของเมืองเพื่อขอข้อมูลหลังเกิดภัยพิบัติ)
ตอนนั้นเป็นหน้าร้อนอากาศร้อนสุดๆเลยค่ะ การเดินทางคราวนี้เราไปอยู่เมือง Otsushi เป็นเวลา 1 อาทิตย์
เมืองนี้ตอนที่เกิดซึนามิค่อนข้างน่ากลัว เพราะว่าเมืองมีแม่น้ำสองสาย เวลาเกิดซึนามิ คลื่นจะขึ้นมาตามแม่น้ำได้เร็วกว่า
แล้วโอบล้อมกันจากสภาพพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ กลายเป็นน้ำวนบนชายฝั่ง.....มีคนเสียชีวิตตรงจุดนี้เกิน 500 คน
เรานั่งชินคันเซนไปลงที่โตเกียว เพื่อจะนั่งรถบัสกลางคืนไปลงที่เมือง Kamashi แล้วโคบายาชิเซนเซขับรถยนต์มารับเราไป Otsushiค่ะ
การเดินทางไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะเมืองนี้ไม่มีรถไฟแล้วค่ะ เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดซึนามิ คนในเมืองนี้ก็ไม่ค่อยเยอะอยู่แล้ว...ทำให้การจะทำทางรถไฟมาในเมืองนี้ไม่คุ้มทุน...แถมยังเสี่ยงกับการเกิดซึนามิในอนาคต...จึงค่อนข้างลำบากค่ะ
สถานีรถไฟของเมือง ปัจจุบันก้เป็นอย่างในภาพนี่แหละค่ะ
นั่นรถบัสไปหนึ่งคืนถึงตอนเช้าตรู่ เพื่อนเด็กป.โทบอกว่า วันนี้ยังไม่มีอะไร แต่มีคนไต้หวัน มาวาดรูปที่คาลิทาส
ซึ่งเป็นตึกนึงแถวนั้นที่ไม่โดนทำลาย เป็นองค์กรของศาสนาคริสต์ เค้าจะมาเพ้นท์ตึกกัน...เราอยู่ว่างๆไปเพ้นต์ตึกกันนะ
อากาศตอนนั้นร้อนเท่าเมืองไทยเลยค่ะ....โดยส่วนลึกแล้วอยากนอนพักกินน้ำแข็งไสมาก
แต่อู้ไม่ได้....ด้วยศักดิ์ศรีคนไทยค้ำคอ....ทุกคนเข้าใจว่าชนชาติเราทนความร้อนได้ดีกว่ามนุษย์ทั่วไป(เหอะๆ T_T)
ไม่ให้เสียชื่อประเทศชาติ เราเลยบอกว่าได้เลย จะให้เพ้นท์อะไรบอก(ปาดเหงื่อ)...วันแรกที่ไปถึงเรากับเด็กป.โทเลยนั่งเพ้นท์ตึกกันค่ะ มีเด็กๆม.ปลายกับคุณครูมาช่วยเพ้นท์ ทำให้ได้ทำความคุ้นเคยกับก่อนเริ่มกิจกรรม เป็นวิธีที่ดีในการสร้างความไว้วางใจทีเดียว
ทำไมถึงต้องทำกิจกรรมกับเด็กๆม.ปลาย? อย่างที่รู้ว่าการจะขอข้อมูลส่วนตัวหรือความเห็นของหลายๆคนในญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องง่าย จะอยู่ๆไปถามเค้าว่า “ที่บ้านลำบากไหมเธอ...ช่วงนี้เงินเดือนพอใช้ไหม นี่คิดจะย้ายไปไหนไหม”ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เลย (นึกภาพตัวเองตอนไปขอข้อมูลน้ำท่วม...ลุงป้า ตอบคำถามเปิดเผยมาก...ชวนกินข้าวกินขนม อยากถ่ายรูปก็เปิดบ้านเปิดห้องนอนให้ถ่ายเลย....ใจกว้างมากๆ!!)
การเก็บข้อมูลเลยทำโดยการเล่นเกมส์ workshopไม่ใช่การถามตรงๆ
ทางมหาลัยโกเบ(อีก Lab)ทำโมเดลของเมืองไว้....โมเดลไม่ได้มีประโยชน์แต่ในการเรียนของเราค่ะ
แต่เอามาใช้ในการให้คนในเมืองมาช่วยตอบข้อมูล เพราะบางข้อมูลมันสำคัญกว่าที่คิดและชาวบ้านเองก็จะเห็นภาพได้ง่ายถ้าอธิบายจากโมเดลสามมิติค่ะ เช่น “วันที่เกิดเหตุวิ่งไปทางไหนบ้าง?” ชาวบ้านก็จะชี้ให้ดูได้ว่า บ้านอยู่ตรงนี้ ตอนแรกวิ่งไปทางนี้ ต่อมาวิ่งไปทางนี้.....เป็นประโยชน์ในการพัฒนามากเลยค่ะ
ตอนบ่ายเด็กๆพาลงพื้นที่ เพราะหัวข้อคือ “สิ่งที่ฉันภูมิใจในเมืองนี้ค่ะ” กลุ่มเราน้องผู้ชายสองคนพาเดินหา “น้ำแร่”ค่ะ....เพราะน้องจำได้ว่า ในเมืองเนี่ยจะมีหลายๆโรงแรมที่เปิดให้คนอาบน้ำแร่...ตอนเราเดินไปเจอนึกว่าท่อแตก เพราะมีน้ำเจิ่งๆ แต่มันคือน้ำแร่ค่ะ...แต่เป็นแบบไม่ร้อน...แปลกดีเหมือนกัน(น้องบอกกินได้ แต่เราแค่ล้างมือเฉยๆอ่ะค่ะ)