คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 13
ขอแนะนำเป็นภาพใหญ่ก่อนนะครับ ถ้าน้องฝากประจำ รัฐบาลเป็นประกันครับ ว่า 'ขาดทุนแน่นอน' (ขอยืมคำพูดลุงโฉลก อาจารย์ที่เคารพ นะครับ) ทั้งนี้ค่าเงินเฟ้อจริงๆเฉลี่ยต่อปี ประมาณ 7% นะครับ ดังนั้นการไม่ลงทุนคือความเสี่ยงครับ
ต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนมีสองส่วนหลัก คือ ผลตอบแทนและสภาพคล่อง ลองดูว่าเราต้องการอะไร สูง/ต่ำกว่ากัน
1. ผลตอบแทน มาพร้อมกับความเสี่ยง แล้วอะไรหล่ะที่เสี่ยงน้อยแล้วผลตอบแทนดีกว่าเงินเฟ้อ ? อสังหา หรือที่ดิน ยังไงหล่ะครับ ตอบแทนประมาณ 7-10% ต่อปี หรือมากกว่านั้นในที่ๆทำเลดี ถัดมาก็จะเป็นทอง เป็นหุ้น เป็น future และเป็น option ตามลำดับความเสี่ยงและผลตอบแทนน้อยไปมากนะครับ
2. สภาพคล่อง ต้องดูว่าที่จะเรียนต่อนั้นเรามีเวลาอีกกี่เดือน/กี่ปีที่จะใช้เงิน การลงทุนแต่ละตัวก็จะมีสภาพคล่องต่างกันนะครับ เช่นถ้าน้องเอาเงิน 10,000 บาท ไปจองอสังหา(คอนโด) ที่ทำเลดีมากๆ เพื่อจะขายใบจองต่อ สภาพคล่องอาจจะอยู่แค่ 2 สัปดาห์ ก็ขายได้แล้วเป็นต้นครับ
ทีนี้อาจจะคิดว่าพี่นี่บ้าเปล่า ให้ไปลงทุนอสังหา ซื้อทอง!! ถ้าน้องมีเงินน้อยๆอยู่ เค้าจะมีกองทุนรวมอสังหา กับทองด้วยไงหล่ะครับ แม้กระทั้งหุ้น หรือ หุ้นปันผล ทีนี้เงินน้อยหรือสภาพคล่องก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วตอนที่น้องเริ่มมีเงินมากขึ้นก็ค่อยซื้อของจริงครับ
ไม่ว่าต่อไปน้องทำอาชีพอะไร จะไม่สามารถหนีเรื่องการลงทุนไปได้เลยครับ แนะนำให้ว่าตอนนี้ลงทุนด้วยเวลา ไปหาหนังสือที่เป็น fact อ่านก่อนว่าอะไรเป็นอะไร คำนวนยังไง เค้าเอาเงินเราไปซื้ออะไร ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ไม่ต้องอ่านหนังสือพวกที่มีความคิดเห็นเยอะ หรือหนังสือรวยได้ภายใน xxx ยิ่งพวกหนังสือฝรั่งสร้างภาพ อย่าเสียเงินซื้อเลยนะครับ
ทีนี้ตอนน้องมีคำถามแต่ละเรื่องไม่เข้าใจจริงๆ แล้วมาโพสถามเพิ่มเติมหรือ pm มาถามก็ได้นะครับ ไม่คิดตังค์ ถ้าน้องทำตรงนี้ได้ดี อาจจะได้เรียนต่อตปท ไม่ก็ไม่ต้องทำงานเพื่อเงินในอนาคตนะครับ
จำไว้ว่าเงินมันจะต่างกับน้ำ ตรงที่ว่าจะไหลไปที่(ผลตอบแทน)สูงเสมอ เราแค่ดูให้ออกว่าที่สูงต่อไปคืออะไร
ต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนมีสองส่วนหลัก คือ ผลตอบแทนและสภาพคล่อง ลองดูว่าเราต้องการอะไร สูง/ต่ำกว่ากัน
1. ผลตอบแทน มาพร้อมกับความเสี่ยง แล้วอะไรหล่ะที่เสี่ยงน้อยแล้วผลตอบแทนดีกว่าเงินเฟ้อ ? อสังหา หรือที่ดิน ยังไงหล่ะครับ ตอบแทนประมาณ 7-10% ต่อปี หรือมากกว่านั้นในที่ๆทำเลดี ถัดมาก็จะเป็นทอง เป็นหุ้น เป็น future และเป็น option ตามลำดับความเสี่ยงและผลตอบแทนน้อยไปมากนะครับ
2. สภาพคล่อง ต้องดูว่าที่จะเรียนต่อนั้นเรามีเวลาอีกกี่เดือน/กี่ปีที่จะใช้เงิน การลงทุนแต่ละตัวก็จะมีสภาพคล่องต่างกันนะครับ เช่นถ้าน้องเอาเงิน 10,000 บาท ไปจองอสังหา(คอนโด) ที่ทำเลดีมากๆ เพื่อจะขายใบจองต่อ สภาพคล่องอาจจะอยู่แค่ 2 สัปดาห์ ก็ขายได้แล้วเป็นต้นครับ
ทีนี้อาจจะคิดว่าพี่นี่บ้าเปล่า ให้ไปลงทุนอสังหา ซื้อทอง!! ถ้าน้องมีเงินน้อยๆอยู่ เค้าจะมีกองทุนรวมอสังหา กับทองด้วยไงหล่ะครับ แม้กระทั้งหุ้น หรือ หุ้นปันผล ทีนี้เงินน้อยหรือสภาพคล่องก็ไม่ใช่ปัญหา แล้วตอนที่น้องเริ่มมีเงินมากขึ้นก็ค่อยซื้อของจริงครับ
ไม่ว่าต่อไปน้องทำอาชีพอะไร จะไม่สามารถหนีเรื่องการลงทุนไปได้เลยครับ แนะนำให้ว่าตอนนี้ลงทุนด้วยเวลา ไปหาหนังสือที่เป็น fact อ่านก่อนว่าอะไรเป็นอะไร คำนวนยังไง เค้าเอาเงินเราไปซื้ออะไร ค่าธรรมเนียมเท่าไหร่ ไม่ต้องอ่านหนังสือพวกที่มีความคิดเห็นเยอะ หรือหนังสือรวยได้ภายใน xxx ยิ่งพวกหนังสือฝรั่งสร้างภาพ อย่าเสียเงินซื้อเลยนะครับ
ทีนี้ตอนน้องมีคำถามแต่ละเรื่องไม่เข้าใจจริงๆ แล้วมาโพสถามเพิ่มเติมหรือ pm มาถามก็ได้นะครับ ไม่คิดตังค์ ถ้าน้องทำตรงนี้ได้ดี อาจจะได้เรียนต่อตปท ไม่ก็ไม่ต้องทำงานเพื่อเงินในอนาคตนะครับ
จำไว้ว่าเงินมันจะต่างกับน้ำ ตรงที่ว่าจะไหลไปที่(ผลตอบแทน)สูงเสมอ เราแค่ดูให้ออกว่าที่สูงต่อไปคืออะไร
แสดงความคิดเห็น
ทำอย่างไรกับเงินเดือนละ 4000 ดีค่ะ
ในแต่ละเดือนหนูจะมีเงินเหลือจากค่าขนมที่ที่บ้านให้ประมาณเดือนละ 3000 - 4000 บาท
หนูอยากได้แนวทางคำแนะนำในการทำเงินก้อนนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดค่ะ
ตอนนี้ฝากเป็นบัญชีประจำอยู่ค่ะ จะครบแล้ว หนูควรฝากต่อไปหรือเอาเงินจำนวนนี้ในแต่ละเดือนไปทำอะไรดีค่ะ
หนูไม่ค่อยรู้เรื่องการวางแผนลงทุนเท่าไรค่ะ แต่อยากเก็บตังส์ไว้เพื่ออนาคตการศึกษาต่อข้างหน้าค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่แนะนำแนวทาง