มนุษย์เราพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เราสร้างรถเพื่อให้สามารถเดินทางได้ไกลและเร็วขึ้น เราสร้างบ้านด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆทั้งแอร์ ทีวี ตู้เย็น กล้องวงจรปิดเพื่อความสบายและปลอดภัย เรามีโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถคุยกันได้ไม่ว่าจะอยู่ไกลกันแค่ไหน เราพัฒนาทางด้านการแพทย์เพื่อให้อายุเรายืนขึ้น
ผมเกิดมาก็เคยชินกับสิ่งต่างๆรอบตัวเหล่านี้ ที่เราโม้ไว้มากว่าเราพัฒนามาไกล และก้าวกระโดดกว่ายุคก่อนๆ แต่ทำไมบนความสะดวกสบายต่างๆที่คิดว่าเราได้รับจากเทคโนโลยี มันกลับไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะสะดวกสบายตรงไหน ผมต้องตื่นก่อนหกโมงเช้าเพื่อเดินทางฝ่ารถติดไปทำงาน ออกจากบ้านตอนพระอาทิตย์ไม่ขึ้น กลับบ้านอีกทีพระอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว สรุปถ้าไม่ใช่วันหยุด ไม่มีทางได้เห็นแดดหน้าบ้านตัวเอง เพราะต้องหาเงินมาจ่ายหนี้สิน และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และความสุขของชีวิตไงครับ นั่นคือ ผ่อนรถที่กรุณาไว้พาผมไปไกลๆได้ จ่ายค่าโทรศัพท์เพื่อให้ผมคุยกับใครก็ได้ทุกที่ทุกเวลา จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเคเบิ้ล เพื่อชีวิตสุขสบายของผม พวกเราทุกคนต่างหาเงินเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบาย กลายเป็นวัฒณธรรม หรือว่ามันจะเป็นประเพณีนิยมไปแล้วเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกวัน ใครไม่หาเงิน หรือหาเงินได้น้อย ก็อาจโดนรังเกียง หรือก็ต้องยอมรับว่าดูด้อยค่าในสังคม เรียกได้ว่าเงินกลายเป็นตัวบอกคุณค่าของคนไปโดยปริยาย ซะงั้น!
เห้ย!!! เป็นเสียงที่ผุดขึ้นมาในหัวในวันหนึ่ง เมื่อกำลังทบทวนชีวิตของตัวเองว่า มนุษย์เรามาถูกทางจริงๆเหรอ นี่หรือเรียกว่าความสุขสบาย ไม่เห็นว่ามันจะสบายตรงไหน เหนื่อยก็เหนือย ผมมองย้อนกลับไปหายุคสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีแบบในปัจจุบันเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ว่าแบบไหนมันจะดีกว่ากัน แต่ปัญหาคือ ผมเกิดไม่ทันยุคนั้น ถ้าผมเปรียบเทียบโดยคิดไปเองคนเดียวผมก็อาจมีอคติ คิดว่าสมัยเก่าๆอะไรๆก็คงดีกว่าปัจจุบัน เพราะผมมีอคติไม่ดีกับ life style แบบปัจจุบันไปแล้ว เลยอยากชวนเพื่อนๆช่วยกันแชร์ครับ ลองเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของอดีต และปัจจุบันกันดีกว่า
และสุดท้ายเราควรปล่อยชีวิตของเราให้ดำเนินไปแบบนี้จนตายหรือ หรือเราต้องเปลี่ยน และจะเปลี่ยนอย่างไร ที่จะยังคงดำรงชีพต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหากับสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม และความคาดหวังของคนรอบข้าง แต่เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ควมีเพียงพุทธศาสนา ที่ให้เราปล่อยวางที่ใจ คือไม่แก้ที่ life style แต่ให้ปรับ mind style แทน สรุปคือก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่เพิ่มการไม่เบียดเบียน การปล่อยวางทางด้านจิตใจ เพื่อให้ไม่รู้สึกเครียด และเหนือยล้า ท้อแท้ไงครับ แต่ถ้าอยากปรับ life style ล่ะ เราควรทำอย่างไร หนีจากสังคมหรือ ผมว่าพ่อแม่พี่น้อง คนรักคงไม่ยอม หรือเราจะทำใจได้มั๊ย ขอเชิญเสนอความคิดเห็นครับ
การดำเนินชีวิตของมนุษย์เราทุกวันนี้ ควรเป็นอย่างไร
ผมเกิดมาก็เคยชินกับสิ่งต่างๆรอบตัวเหล่านี้ ที่เราโม้ไว้มากว่าเราพัฒนามาไกล และก้าวกระโดดกว่ายุคก่อนๆ แต่ทำไมบนความสะดวกสบายต่างๆที่คิดว่าเราได้รับจากเทคโนโลยี มันกลับไม่เห็นรู้สึกว่ามันจะสะดวกสบายตรงไหน ผมต้องตื่นก่อนหกโมงเช้าเพื่อเดินทางฝ่ารถติดไปทำงาน ออกจากบ้านตอนพระอาทิตย์ไม่ขึ้น กลับบ้านอีกทีพระอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว สรุปถ้าไม่ใช่วันหยุด ไม่มีทางได้เห็นแดดหน้าบ้านตัวเอง เพราะต้องหาเงินมาจ่ายหนี้สิน และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับเทคโนโลยีเพื่อความสะดวก และความสุขของชีวิตไงครับ นั่นคือ ผ่อนรถที่กรุณาไว้พาผมไปไกลๆได้ จ่ายค่าโทรศัพท์เพื่อให้ผมคุยกับใครก็ได้ทุกที่ทุกเวลา จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเคเบิ้ล เพื่อชีวิตสุขสบายของผม พวกเราทุกคนต่างหาเงินเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบาย กลายเป็นวัฒณธรรม หรือว่ามันจะเป็นประเพณีนิยมไปแล้วเป็นประเพณีที่ต้องทำกันทุกวัน ใครไม่หาเงิน หรือหาเงินได้น้อย ก็อาจโดนรังเกียง หรือก็ต้องยอมรับว่าดูด้อยค่าในสังคม เรียกได้ว่าเงินกลายเป็นตัวบอกคุณค่าของคนไปโดยปริยาย ซะงั้น!
เห้ย!!! เป็นเสียงที่ผุดขึ้นมาในหัวในวันหนึ่ง เมื่อกำลังทบทวนชีวิตของตัวเองว่า มนุษย์เรามาถูกทางจริงๆเหรอ นี่หรือเรียกว่าความสุขสบาย ไม่เห็นว่ามันจะสบายตรงไหน เหนื่อยก็เหนือย ผมมองย้อนกลับไปหายุคสมัยที่ยังไม่มีเทคโนโลยีแบบในปัจจุบันเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของพวกเราทุกวันนี้ว่าแบบไหนมันจะดีกว่ากัน แต่ปัญหาคือ ผมเกิดไม่ทันยุคนั้น ถ้าผมเปรียบเทียบโดยคิดไปเองคนเดียวผมก็อาจมีอคติ คิดว่าสมัยเก่าๆอะไรๆก็คงดีกว่าปัจจุบัน เพราะผมมีอคติไม่ดีกับ life style แบบปัจจุบันไปแล้ว เลยอยากชวนเพื่อนๆช่วยกันแชร์ครับ ลองเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของอดีต และปัจจุบันกันดีกว่า
และสุดท้ายเราควรปล่อยชีวิตของเราให้ดำเนินไปแบบนี้จนตายหรือ หรือเราต้องเปลี่ยน และจะเปลี่ยนอย่างไร ที่จะยังคงดำรงชีพต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหากับสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม และความคาดหวังของคนรอบข้าง แต่เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ควมีเพียงพุทธศาสนา ที่ให้เราปล่อยวางที่ใจ คือไม่แก้ที่ life style แต่ให้ปรับ mind style แทน สรุปคือก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่เพิ่มการไม่เบียดเบียน การปล่อยวางทางด้านจิตใจ เพื่อให้ไม่รู้สึกเครียด และเหนือยล้า ท้อแท้ไงครับ แต่ถ้าอยากปรับ life style ล่ะ เราควรทำอย่างไร หนีจากสังคมหรือ ผมว่าพ่อแม่พี่น้อง คนรักคงไม่ยอม หรือเราจะทำใจได้มั๊ย ขอเชิญเสนอความคิดเห็นครับ