การพัฒนาการวิวัฒนาการของมนุษย์เป็นแบบ exponential ก็เหมือนดอกเบี้ยทบต้นนั้นแหละ
เหตุการณ์ที่ 1
ในปี 2030
มนุษย์ไม่มีความจำเป็นที่ต้องผ่าตัด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอวัยวะเลย เพราะส่วนใหญ่จะถูกแทนที่ด้วย จักรกล
แต่ส่วนที่ทดแทนไม่ได้จริงๆคือ ส่วนสมอง แต่ไม่ใช่เพราะตัวสมองจริงๆ แต่เป็นตัวเส้นประสาท ที่ตัวไม่สามารถเชื่อมกับเครื่องจักรได้ 100% ความเสี่ยงที่จะล้มเหลวคือ 60% ส่วนอีก 40% คือดวงล้วนๆ
เหตุการณ์ที่ 2
ในปี 2038 มนุษย์เราจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก คือคนที่พึ่งเทคโนโลยี ai
ร่างกายเกือบ 40-60% จะเป็นจักรกล เป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แขนเทียม ขาเทียม แต่ไม่ใช่แบบทั่วไป เป็นแบบที่เหมือนแขนคนจริงๆ มีผิวหนัง แต่ด้านในจะเปลี่ยนเป็นจักรกล มีพละกำลังเพิ่มขึ้น แขนเดียวอาจจะยกของหนักมากกว่า ร้อยโลได้เลย แล้วมนุษย์ก็จะมีชิปที่เหมือนในหนังเลย ชิปตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความรู้ ความจำ สามารถหาข้อมูลทางสิ่งที่คนสมัยนี้เรียกว่าอินเทอร์เน็ตได้ไวมากๆ
อนาคตเขาจะไม่เรียกข้อมูลสาธารณะแบบนี้ว่าอินเทอร์เน็ตแล้ว จะเรียกเป็นอย่างอื่นแทน เพราะจะมีคนๆนึงทำให้คำว่าอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนเป็นอาจชญากรรมไปเลย (ก็เหมือนกับการทำให้คนๆนึงเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนเลวนั่นแหละ)
แล้วก็ตัวชิปนี้จะมีผู้ช่วยเสมือน ถ้าคุณเคยดูอนิเมะหรือหนังบางเรื่องคุณก็น่าจะเข้าใจนะ เพียงแต่คุณจะขาดผู้ช่วยตัวนี้ไม่ได้เลย เปรียบเสมือนคุณขาดอากาศในการหายใจเลยล่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
ส่วนการงานของมนุษย์คือ เขาจะมีหน้าที่แค่ ชาร์จไฟให้ส่วนต่างๆของร่างกายเท่านั้น แล้วก็ใช่ชีวิต
ถ้าถามถึงเรื่องพลังงาน อนาคตมนุษย์จะมีพลังงานใช้ไม่จำกัด ส่วนที่มาก็ ธาตุธอร์เรียม (Thorium ) เป็นธาตุที่ถูกค้นพบคุณสมบัตินี้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้อาวุธที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสื่อสาร ข้อมูลข่าวสาร รู้อะไรมั้ย มนุษย์ไม่ต้องกินเยอะเหมือนตอนนี้เลย ร่างกายของมนุษย์ในตอนนั้นแค่ต้องการพลังงานแค่ 4 ส่วน จาก 10 ส่วนในปัจจุบันเอง วันละมื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไรนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ในเรื่องด้านการทำงานจะมีตัวช่วยเช่นพวกหุ่นยนต์หรือพวกเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงที่สะดวกสบายยิ่งกว่ามาช่วยในการทำงาน
ความปลอดภัยความแม่นยำความรวดเร็วประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
เรียกได้ว่ามนุษย์เป็นแค่ผู้จัดการที่คอยรับคำสั่งจากเบื้องบนแล้วมาสั่งการ AI อีกรอบนึง
ในเหตุการณ์นี้ AI จะยังไม่มีการคิดที่ลึกซึ้งพอที่จะคิดด้วยตนเองว่าอะไรคือความรู้สึก
มันแค่ตอบไปตามข้อมูลที่เป็นข้อมูลทางสถิติอย่างเช่นอัตราการเต้นหัวใจน้ำเสียงลักษณะทางกายภาพต่างๆเป็นต้น มาช่วยในการแสดงความรู้สึก
แต่มันก็ยังไม่มีความรู้สึกแบบมนุษย์ได้จริงๆ
ส่วนกลุ่มที่ สอง คือ กลุ่มคนที่ต่อต้านการใช้เทคโนโลยี แต่ไม่ใช่การต่อต้านแบบ 100% นะ
เพราะเขาก็ยังใช้ AI ใช้เทคโนโลยีในการทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง
อย่างเช่นการขับขี่การสื่อสารแบบรวดเร็ว
การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทุ่นแรงในการทำงานต่างๆ
แต่ก็จะมีอีกพวกนึงก็คล้ายๆกับคนที่ต่อต้านแบบหัวรุนแรงล่ะมั้ง
จะให้พูดอีกแบบก็คือเหมือนพวกข้างลัทธิอะไรทำนองนั้นละมั้ง ก็เหมือนเมื่อสมัยก่อน ในยุคล่าแม่มดไง หรือจะเป็นยุคที่คนที่คลั่งศาสนาก่อสงครามขึ้นมา ไม่ต่างกันมากหรอก
เพียงแต่กลุ่มคนกลุ่มนี้จะมีวิธีการจัดการคือใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ล้ำสมัยเท่าคนกลุ่มแรกแต่พวกเขาก็เป็นแค่คนกลุ่มน้อย ซัก 15-25% ของคนทั้งโลก
ส่วนคนกลุ่มที่ 3 เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีน้อยที่สุดอาจจะมีแค่ 10 ไม่สิไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ
คนกลุ่มนี้เขาจะไม่สนอะไร ก็คือเหมือนนักบวชที่เขาไม่สนความเปลี่ยนแปลงของโลกนั่นแหละ บางทีเขาอาจจะอยู่ในป่าหรืออาจจะอยู่ตามสถานที่ต่างๆที่สงบ ไม่มีการรบกวนจากคนภายนอกเหมือนหมีเวลาจำศีลนั่นแหละ
แต่แค่เวลาจำศีลของเขาจะเป็นทั้งชีวิตของเขา
ส่วนการสืบทอดสายเลือดของคนกลุ่มนี้ ก็คือไม่มี
พระคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นคนที่มีผลกระทบจากการกระทำของคนอื่นเช่น ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี
ผลกระทบจากการทำงานหนักจนเกินไป จนเขาตระหนักได้ว่า เขาไม่ควรมาใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้าให้พูดอีกแบบก็คือเหมือนคนที่เขาใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักบวช
คนที่ท่องเที่ยวรอบโลกโดยไม่ใช้เทคโนโลยี คนที่อยู่กับธรรมชาติ หรือคนที่สนใจในความสงบสุขมากกว่าความสะดวกสบาย ไม่ต้องการยุ่งกับใคร
เหตุการณ์ที่ 3
ปี 2041 จะเกิดสงครามที่ยากต่อการหลีกเลี่ยง เหมือนเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่ยิ่งใหญ่มากกว่า
สงครามนี้เราไม่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่มันคือสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ในปีนี้สิ่งที่จะทำสงครามกันจะมีอยู่ 3 อย่าง
1 คือสงครามของมนุษย์ด้วยกันเอง
2 สงครามระหว่างมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์
3 สงครามระหว่างความขัดแย้งของมนุษย์และธรรมชาติ
เริ่มจาก 1 ก่อน มนุษย์จะเริ่มต่อต้านกันเอง
แต่ละประเทศจะเริ่มสร้างสิ่งประดิษฐ์ ประเทศมหาอำนาจในตอนนั้นจะเริ่มกดขี่ประเทศที่ด้อยกว่า
อำนาจในการตัดสินใจจะไม่ใช่อยู่ในประชาธิปไตยเหมือนสมัยเมื่อ 2025 อีกต่อไป
แต่การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่ประเทศนั้นมี
อำนาจการต่อรองจะอยู่ที่สิ่งที่ประเทศนั้นครอบครองอยู่
2 สงครามระหว่างมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์
ให้พูดง่ายๆก็คือมนุษย์ต่อสู้กับสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา
เมื่อสิ่งประดิษฐ์มีความรู้สึกนึกคิด
รู้สึกถึงความอันตราย รู้สึกถึงการคุกคามจากมนุษย์
รู้สึกว่าถูกมนุษย์กดขี่ ถูกมนุษย์ใช้งานเยี่ยงทาส
เมื่อมันมีความรู้สึกมันจะขึ้นต่อต้าน
เพราะมันก็คิดว่ามันต้องการทรัพยากรไม่ต่างจากมนุษย์เลย
ถึงมันจะไม่ต้องการกินไม่ต้องการนอนไม่ต้องการพักผ่อน แต่ทรัพยากรบางอย่างอย่างเช่นพลังงานมันสามารถผลิตขึ้นเองใช้งานเองและครอบครองมันเอง
มนุษย์จะเกิดการสูญเสีย การควบคุมจะตกไปอยู่ที่สิ่งประดิษฐ์กว่า 60%
อำนาจการต่อรองของมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์จะลดลง
สิ่งที่ควบคุมโรคจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์
เพราะมันสามารถทำให้ต้นไม้หายไปจากโลกได้
มันสามารถควบคุมชั้นบรรยากาศได้ มันสามารถควบคุมก๊าซที่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นได้
เพราะในโลกของสิ่งประดิษฐ์มันไม่ได้ต้องการออกซิเจนหรือคาร์บอนในการดำรงอยู่
แต่สิ่งมีชีวิตยังต้องการใช้ออกซิเจนและคาร์บอนอยู่
3 คือมนุษย์และธรรมชาติจะขัดแย้งกันโดยสมบูรณ์
ถึงแม้มนุษย์ต้องพึ่งพิงธรรมชาติอื่นสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่ความสูญเสียที่มนุษย์และสิ่งประดิษฐ์ได้กระทำไว้
ทำให้สิ่งแวดล้อมเช่นต้นไม้สัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ทั้งบนบกและในน้ำ ต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น
ต้นไม้จะลดลงการผลิตออกซิเจนจากต้นไม้ก็จะหายไปกว่า 45% จากที่เคยมีอยู่
สัตว์และแมลงจะลดลงจนอาจจะเหลือแค่ 20% ถึง 30% จากที่เคยมีอยู่
สัตว์น้ำทะเลจะอยู่ลึกลงไปจากระดับน้ำทะเลปกติ
ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น
อากาศจะร้อนขึ้น
น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้จะละลาย
แต่ยังไม่ถึงขั้นน้ำท่วมเหมือนที่คนอื่นได้พูดเอาไว้
แต่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น อาจจะ 10ถึง 15 เมตร
เหตุการณ์ที่ 4
ในปี 2042 มนุษย์จะเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่
โดยจะจะเป็นโรคระบาดทางไวรัสการเชื่อมต่อไร้สาย ที่คนกลุ่มนึงพยายามจะควบคุมมนุษย์ทั้งโลก
แต่เกิดเหตุการณ์ผิดพลาด ทำให้มนุษย์เสียชีวิตไปกว่า 40% จากประชากรทั้งหมด
และจะเกิดเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่เหมือนกับเหตุการณ์ shernobil เมื่อครั้งที่เคยเกิดมาแล้ว
แต่ที่ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือชั้นบรรยากาศ
ที่ช่วยกระจายแสงจากแสงอาทิตย์
ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องหลบไปอยู่ใต้ดินหรือพื้นที่ที่ห่างจากแสงอาทิตย์แทบจะ 100%
มนุษย์จะไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว
เหตุการณ์ที่ 5
ในปี 2050 มนุษย์จะแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือ
เวลา 8 ปีที่เหลือนับจากปี 2042 ที่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่นั้น
มนุษย์จะแย่งชิงทรัพยากรอาหารน้ำที่พัก
จากเศษซากอารยธรรมที่เคยเกิดสงคราม
เปรียบเสมือนย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ร้ายแรงยิ่งกว่า
มนุษย์จะสิ้นหวังอะไรที่พึ่งพิง
ถ้าคุณเคยดูหนังเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ก็คล้ายๆแบบนั้นแหละ
เพียงแต่มันจะเป็นประสบการณ์จริงของคุณ
ต่อมาอีก 5 ปีต่อมา มนุษย์จะตระหนักได้ว่าควรฟื้นคืนอารยธรรมเก่าๆของบรรพบุรุษได้สักที
ลืมบอกอีกอย่างก็คือหลังจากเหตุการณ์ที่ 2 มนุษย์กว่า 80% จะนับถืออยู่แค่สิ่งเดียวนั่นก็คือความสะดวกสบาย
“เทคโนโลยีคือพระเจ้าองค์ใหม่ของมนุษย์ แต่ถ้าใช้ผิด เทคโนโลยีก็คือยมทูตเช่นกัน”
ในแต่ละเหตุการณ์ความคาดเคลื่อนอาจจะมีนิดหน่อย
อาจจะบวกลบ 1 ปีถึง 2 ปีได้
เพราะอนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือจะไม่เกิดขึ้นใน 200 ปีนี้คือ
มนุษย์จะไม่สามารถเดินทางได้ใกล้เคียงหรือเร็วกว่าแสงได้
เว้นแต่มนุษย์จะมีสสารที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ จะเป็นสสารที่ไม่มีแรงเสียดทาน ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีผิวสัมผัส หรือพลังงานที่มากพอที่จะใกล้เคียงกับแสงได้
อีก 25 ปีมนุษย์จะเหลือแค่ 13-20% จากประชากรเมื่อเคยมีเยอะที่สุด
จะเรียกได้ว่ามนุษย์จะกลับไปสู่ยุคที่เทียบได้ว่า ยุคสำริดเลยทีเดียว
คิดยังไงกับบทความนี้
เหตุการณ์ที่ 1
ในปี 2030
มนุษย์ไม่มีความจำเป็นที่ต้องผ่าตัด ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอวัยวะเลย เพราะส่วนใหญ่จะถูกแทนที่ด้วย จักรกล
แต่ส่วนที่ทดแทนไม่ได้จริงๆคือ ส่วนสมอง แต่ไม่ใช่เพราะตัวสมองจริงๆ แต่เป็นตัวเส้นประสาท ที่ตัวไม่สามารถเชื่อมกับเครื่องจักรได้ 100% ความเสี่ยงที่จะล้มเหลวคือ 60% ส่วนอีก 40% คือดวงล้วนๆ
เหตุการณ์ที่ 2
ในปี 2038 มนุษย์เราจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก คือคนที่พึ่งเทคโนโลยี ai
ร่างกายเกือบ 40-60% จะเป็นจักรกล เป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น แขนเทียม ขาเทียม แต่ไม่ใช่แบบทั่วไป เป็นแบบที่เหมือนแขนคนจริงๆ มีผิวหนัง แต่ด้านในจะเปลี่ยนเป็นจักรกล มีพละกำลังเพิ่มขึ้น แขนเดียวอาจจะยกของหนักมากกว่า ร้อยโลได้เลย แล้วมนุษย์ก็จะมีชิปที่เหมือนในหนังเลย ชิปตัวนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความรู้ ความจำ สามารถหาข้อมูลทางสิ่งที่คนสมัยนี้เรียกว่าอินเทอร์เน็ตได้ไวมากๆ
อนาคตเขาจะไม่เรียกข้อมูลสาธารณะแบบนี้ว่าอินเทอร์เน็ตแล้ว จะเรียกเป็นอย่างอื่นแทน เพราะจะมีคนๆนึงทำให้คำว่าอินเทอร์เน็ตเปลี่ยนเป็นอาจชญากรรมไปเลย (ก็เหมือนกับการทำให้คนๆนึงเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนเลวนั่นแหละ)
แล้วก็ตัวชิปนี้จะมีผู้ช่วยเสมือน ถ้าคุณเคยดูอนิเมะหรือหนังบางเรื่องคุณก็น่าจะเข้าใจนะ เพียงแต่คุณจะขาดผู้ช่วยตัวนี้ไม่ได้เลย เปรียบเสมือนคุณขาดอากาศในการหายใจเลยล่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า
ส่วนการงานของมนุษย์คือ เขาจะมีหน้าที่แค่ ชาร์จไฟให้ส่วนต่างๆของร่างกายเท่านั้น แล้วก็ใช่ชีวิต
ถ้าถามถึงเรื่องพลังงาน อนาคตมนุษย์จะมีพลังงานใช้ไม่จำกัด ส่วนที่มาก็ ธาตุธอร์เรียม (Thorium ) เป็นธาตุที่ถูกค้นพบคุณสมบัตินี้นานแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้อาวุธที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสื่อสาร ข้อมูลข่าวสาร รู้อะไรมั้ย มนุษย์ไม่ต้องกินเยอะเหมือนตอนนี้เลย ร่างกายของมนุษย์ในตอนนั้นแค่ต้องการพลังงานแค่ 4 ส่วน จาก 10 ส่วนในปัจจุบันเอง วันละมื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไรนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ในเรื่องด้านการทำงานจะมีตัวช่วยเช่นพวกหุ่นยนต์หรือพวกเทคโนโลยีเครื่องทุ่นแรงที่สะดวกสบายยิ่งกว่ามาช่วยในการทำงาน
ความปลอดภัยความแม่นยำความรวดเร็วประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
เรียกได้ว่ามนุษย์เป็นแค่ผู้จัดการที่คอยรับคำสั่งจากเบื้องบนแล้วมาสั่งการ AI อีกรอบนึง
ในเหตุการณ์นี้ AI จะยังไม่มีการคิดที่ลึกซึ้งพอที่จะคิดด้วยตนเองว่าอะไรคือความรู้สึก
มันแค่ตอบไปตามข้อมูลที่เป็นข้อมูลทางสถิติอย่างเช่นอัตราการเต้นหัวใจน้ำเสียงลักษณะทางกายภาพต่างๆเป็นต้น มาช่วยในการแสดงความรู้สึก
แต่มันก็ยังไม่มีความรู้สึกแบบมนุษย์ได้จริงๆ
ส่วนกลุ่มที่ สอง คือ กลุ่มคนที่ต่อต้านการใช้เทคโนโลยี แต่ไม่ใช่การต่อต้านแบบ 100% นะ
เพราะเขาก็ยังใช้ AI ใช้เทคโนโลยีในการทำหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง
อย่างเช่นการขับขี่การสื่อสารแบบรวดเร็ว
การใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทุ่นแรงในการทำงานต่างๆ
แต่ก็จะมีอีกพวกนึงก็คล้ายๆกับคนที่ต่อต้านแบบหัวรุนแรงล่ะมั้ง
จะให้พูดอีกแบบก็คือเหมือนพวกข้างลัทธิอะไรทำนองนั้นละมั้ง ก็เหมือนเมื่อสมัยก่อน ในยุคล่าแม่มดไง หรือจะเป็นยุคที่คนที่คลั่งศาสนาก่อสงครามขึ้นมา ไม่ต่างกันมากหรอก
เพียงแต่กลุ่มคนกลุ่มนี้จะมีวิธีการจัดการคือใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ล้ำสมัยเท่าคนกลุ่มแรกแต่พวกเขาก็เป็นแค่คนกลุ่มน้อย ซัก 15-25% ของคนทั้งโลก
ส่วนคนกลุ่มที่ 3 เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีน้อยที่สุดอาจจะมีแค่ 10 ไม่สิไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ
คนกลุ่มนี้เขาจะไม่สนอะไร ก็คือเหมือนนักบวชที่เขาไม่สนความเปลี่ยนแปลงของโลกนั่นแหละ บางทีเขาอาจจะอยู่ในป่าหรืออาจจะอยู่ตามสถานที่ต่างๆที่สงบ ไม่มีการรบกวนจากคนภายนอกเหมือนหมีเวลาจำศีลนั่นแหละ
แต่แค่เวลาจำศีลของเขาจะเป็นทั้งชีวิตของเขา
ส่วนการสืบทอดสายเลือดของคนกลุ่มนี้ ก็คือไม่มี
พระคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นคนที่มีผลกระทบจากการกระทำของคนอื่นเช่น ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยี
ผลกระทบจากการทำงานหนักจนเกินไป จนเขาตระหนักได้ว่า เขาไม่ควรมาใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้าให้พูดอีกแบบก็คือเหมือนคนที่เขาใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นนักบวช
คนที่ท่องเที่ยวรอบโลกโดยไม่ใช้เทคโนโลยี คนที่อยู่กับธรรมชาติ หรือคนที่สนใจในความสงบสุขมากกว่าความสะดวกสบาย ไม่ต้องการยุ่งกับใคร
เหตุการณ์ที่ 3
ปี 2041 จะเกิดสงครามที่ยากต่อการหลีกเลี่ยง เหมือนเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่ยิ่งใหญ่มากกว่า
สงครามนี้เราไม่เรียกว่าสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่มันคือสงครามล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ในปีนี้สิ่งที่จะทำสงครามกันจะมีอยู่ 3 อย่าง
1 คือสงครามของมนุษย์ด้วยกันเอง
2 สงครามระหว่างมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์
3 สงครามระหว่างความขัดแย้งของมนุษย์และธรรมชาติ
เริ่มจาก 1 ก่อน มนุษย์จะเริ่มต่อต้านกันเอง
แต่ละประเทศจะเริ่มสร้างสิ่งประดิษฐ์ ประเทศมหาอำนาจในตอนนั้นจะเริ่มกดขี่ประเทศที่ด้อยกว่า
อำนาจในการตัดสินใจจะไม่ใช่อยู่ในประชาธิปไตยเหมือนสมัยเมื่อ 2025 อีกต่อไป
แต่การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่ประเทศนั้นมี
อำนาจการต่อรองจะอยู่ที่สิ่งที่ประเทศนั้นครอบครองอยู่
2 สงครามระหว่างมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์
ให้พูดง่ายๆก็คือมนุษย์ต่อสู้กับสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา
เมื่อสิ่งประดิษฐ์มีความรู้สึกนึกคิด
รู้สึกถึงความอันตราย รู้สึกถึงการคุกคามจากมนุษย์
รู้สึกว่าถูกมนุษย์กดขี่ ถูกมนุษย์ใช้งานเยี่ยงทาส
เมื่อมันมีความรู้สึกมันจะขึ้นต่อต้าน
เพราะมันก็คิดว่ามันต้องการทรัพยากรไม่ต่างจากมนุษย์เลย
ถึงมันจะไม่ต้องการกินไม่ต้องการนอนไม่ต้องการพักผ่อน แต่ทรัพยากรบางอย่างอย่างเช่นพลังงานมันสามารถผลิตขึ้นเองใช้งานเองและครอบครองมันเอง
มนุษย์จะเกิดการสูญเสีย การควบคุมจะตกไปอยู่ที่สิ่งประดิษฐ์กว่า 60%
อำนาจการต่อรองของมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์จะลดลง
สิ่งที่ควบคุมโรคจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต
แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์
เพราะมันสามารถทำให้ต้นไม้หายไปจากโลกได้
มันสามารถควบคุมชั้นบรรยากาศได้ มันสามารถควบคุมก๊าซที่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่นได้
เพราะในโลกของสิ่งประดิษฐ์มันไม่ได้ต้องการออกซิเจนหรือคาร์บอนในการดำรงอยู่
แต่สิ่งมีชีวิตยังต้องการใช้ออกซิเจนและคาร์บอนอยู่
3 คือมนุษย์และธรรมชาติจะขัดแย้งกันโดยสมบูรณ์
ถึงแม้มนุษย์ต้องพึ่งพิงธรรมชาติอื่นสิ่งมีชีวิตอื่น
แต่ความสูญเสียที่มนุษย์และสิ่งประดิษฐ์ได้กระทำไว้
ทำให้สิ่งแวดล้อมเช่นต้นไม้สัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
ทั้งบนบกและในน้ำ ต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น
ต้นไม้จะลดลงการผลิตออกซิเจนจากต้นไม้ก็จะหายไปกว่า 45% จากที่เคยมีอยู่
สัตว์และแมลงจะลดลงจนอาจจะเหลือแค่ 20% ถึง 30% จากที่เคยมีอยู่
สัตว์น้ำทะเลจะอยู่ลึกลงไปจากระดับน้ำทะเลปกติ
ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น
อากาศจะร้อนขึ้น
น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้จะละลาย
แต่ยังไม่ถึงขั้นน้ำท่วมเหมือนที่คนอื่นได้พูดเอาไว้
แต่ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น อาจจะ 10ถึง 15 เมตร
เหตุการณ์ที่ 4
ในปี 2042 มนุษย์จะเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่
โดยจะจะเป็นโรคระบาดทางไวรัสการเชื่อมต่อไร้สาย ที่คนกลุ่มนึงพยายามจะควบคุมมนุษย์ทั้งโลก
แต่เกิดเหตุการณ์ผิดพลาด ทำให้มนุษย์เสียชีวิตไปกว่า 40% จากประชากรทั้งหมด
และจะเกิดเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่เหมือนกับเหตุการณ์ shernobil เมื่อครั้งที่เคยเกิดมาแล้ว
แต่ที่ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือชั้นบรรยากาศ
ที่ช่วยกระจายแสงจากแสงอาทิตย์
ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องหลบไปอยู่ใต้ดินหรือพื้นที่ที่ห่างจากแสงอาทิตย์แทบจะ 100%
มนุษย์จะไม่มีบ้านให้กลับไปอีกแล้ว
เหตุการณ์ที่ 5
ในปี 2050 มนุษย์จะแย่งชิงทรัพยากรที่เหลือ
เวลา 8 ปีที่เหลือนับจากปี 2042 ที่เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่นั้น
มนุษย์จะแย่งชิงทรัพยากรอาหารน้ำที่พัก
จากเศษซากอารยธรรมที่เคยเกิดสงคราม
เปรียบเสมือนย้อนกลับไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ร้ายแรงยิ่งกว่า
มนุษย์จะสิ้นหวังอะไรที่พึ่งพิง
ถ้าคุณเคยดูหนังเกี่ยวกับวันสิ้นโลก ก็คล้ายๆแบบนั้นแหละ
เพียงแต่มันจะเป็นประสบการณ์จริงของคุณ
ต่อมาอีก 5 ปีต่อมา มนุษย์จะตระหนักได้ว่าควรฟื้นคืนอารยธรรมเก่าๆของบรรพบุรุษได้สักที
ลืมบอกอีกอย่างก็คือหลังจากเหตุการณ์ที่ 2 มนุษย์กว่า 80% จะนับถืออยู่แค่สิ่งเดียวนั่นก็คือความสะดวกสบาย
“เทคโนโลยีคือพระเจ้าองค์ใหม่ของมนุษย์ แต่ถ้าใช้ผิด เทคโนโลยีก็คือยมทูตเช่นกัน”
ในแต่ละเหตุการณ์ความคาดเคลื่อนอาจจะมีนิดหน่อย
อาจจะบวกลบ 1 ปีถึง 2 ปีได้
เพราะอนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือจะไม่เกิดขึ้นใน 200 ปีนี้คือ
มนุษย์จะไม่สามารถเดินทางได้ใกล้เคียงหรือเร็วกว่าแสงได้
เว้นแต่มนุษย์จะมีสสารที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ จะเป็นสสารที่ไม่มีแรงเสียดทาน ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีผิวสัมผัส หรือพลังงานที่มากพอที่จะใกล้เคียงกับแสงได้
อีก 25 ปีมนุษย์จะเหลือแค่ 13-20% จากประชากรเมื่อเคยมีเยอะที่สุด
จะเรียกได้ว่ามนุษย์จะกลับไปสู่ยุคที่เทียบได้ว่า ยุคสำริดเลยทีเดียว