ที่มา เดเลนิวส์ วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2556
วัฒนธรรมไทยมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น งดงาม ไม่แพ้ชาติใดในโลก ได้รับการยอมรับ เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติมากมาย โดยเฉพาะชาวจีนที่ปัจจุบันให้ความสนใจและเปิดรับวัฒนธรรมไทยในรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น!!
ดังจะเห็นได้จากงาน “เฉลิมพระ ชนมพรรษา 85 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555 รวมถึงงาน “เทศกาลไทย” และงาน “สัปดาห์อาหารไทย” พร้อมการแสดงดนตรีและวัฒนธรรมในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา
วิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกวันนี้ ชาวจีนจำนวนมากได้รู้จักและให้ความสนใจประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยชาวจีนจะชอบอาหารไทย ข้าวและผลไม้ไทย รวมทั้ง ชอบมวยไทย ภาพยนตร์และละครไทยด้วย ปัจจุบันมีสถานีโทรทัศน์จีนถึง 2 ช่อง ที่ออกอากาศภาพยนตร์และละครไทยเป็นประจำ
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ภาพยนตร์จีนต้นทุนต่ำเรื่อง ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ (Lost in Thailand) หรือที่มีชื่อไทยว่า แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์ ที่สร้างโดยค่ายภาพยนตร์ชาวจีน กำลังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่แห่กันมาท่องเที่ยวไทยตั้งแต่ช่วงปีใหม่และตรุษจีนที่ผ่านมา โดยหลาย ๆ กลุ่มที่มามีการเที่ยวแบบ “ตามรอย” จากสถานที่ที่ปรากฏในฉากของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวด้วย รวมทั้ง ภาพ ยนตร์ไทยรักกุ๊กกิ๊กที่มีชื่อว่า “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์กว่า 6,000 โรง ทั่วประเทศจีน ตลอดจน ดาราชายคนดัง มาริโอ้ เมาเร่อ และ ป้อง ณวัฒน์ ก็ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบและมีแฟนคลับทั่วแดนมังกร
สิ่งที่คนจีนกำลังนิยมในไลฟ์สไตล์ของไทย ไม่ใช่มีแค่ภาพยนตร์แต่เป็นทั้งละคร รายการทีวี มวย ไปจนถึงอาหารและผลไม้ไทย ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นการชื่นชอบในมิติของ “วัฒนธรรม” ที่เรียกได้ว่ากำลังเบ่งบานที่สุดในจีนในช่วงยุคปัจจุบัน และไม่ใช่แค่นั้นสินค้าทางวัฒนธรรมอีกจำนวนมากกำลังจ่อคิวเข้าไปอยู่ในใจชาวจีนแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่อง
จึงเห็นได้ว่า ทั้งผลไม้ อาหาร ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ไทย หรือเพลงไทย ซึ่งล้วนเป็นมิติทางวัฒนธรรมนั้น สามารถส่งเป็นพลังดึงดูดที่เรียกว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” อันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมทั้ง ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนในระยะยาว จึงควรดูแลให้มีมาตรฐานและดียิ่งขึ้นในอนาคต เพราะจะช่วยผลักดันขยายตลาดให้สินค้าไทยได้
วิบูลย์ กล่าวต่อว่า หากถามว่าทำไมคนจีนถึงนิยมวัฒนธรรมไทย เมื่อสืบค้นแล้วก็พบว่า มีรากฐานบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสุนทรีย์ได้ขาดหายไปจากสังคมจีนแต่กลับมาปรากฏที่เมืองไทย ในรูปแบบของอาหาร การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ
ประกอบกับความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนชาวจีนมีศักยภาพในการเสพวัฒนธรรมของชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒน ธรรมไทย จากสถิติจำนวนประชากรคาดว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ. 2563 จะมีผู้มีอันจะกินในประเทศจีนเกินกว่า 500 ล้านคน
“คนจีนมีกำลังซื้อสูง โดยเน้นในเรื่องของที่มีคุณภาพ ตรงนี้น่าสนใจไทยน่าจะจับจุดได้ เพราะการเข้าถึงทางวัฒนธรรมไม่ได้ถูกจำกัดโดยสถานการณ์ แม้โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าคนเขาชอบก็คือชอบอยู่ดี และเมื่อชอบแล้วก็พร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางสถานทูตได้ร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้า บริการและวัฒนธรรมของไทยในหลายเมืองด้วยกัน รวมถึง เมืองเซี่ยงไฮ้ กวางเจา และเมืองเซิ่นหยาง มีการจัดเทศกาลส่งเสริมผลไม้ไทย ภาพยนตร์ไทย และอื่น ๆ โดยสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขึ้น
“เมื่อกรกฎาคมปีที่แล้ว มีการจัดงานติดตามผลการเยือนของนายกรัฐมนตรีขึ้นที่กระทรวงต่างประเทศ โดยเชิญผู้สร้างในวงการภาพยนตร์ไทยให้ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของจีนในเรื่องข้อมูลต่างๆ เช่น ทำอย่างไรให้ผ่านเซ็นเซอร์ได้ ต้องเลี่ยงอะไร ซึ่งอยากให้มีเวทีแบบนี้เกิดขึ้นมากๆ เพราะเชื่อว่า ถ้าเปิดเสรีไทยย่อมไม่แพ้ชาติไหนในอาเซียน”
ในส่วนของการจัดงานครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้ได้รับเกียรติจากวงสุนทราภรณ์ นำโดย อติพร สุนทรสนาน เสนะวงค์ และคณะนาฏศิลป์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยการนำของศิลปินแห่งชาติ ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยอันงดงามสู่สายตาชาวจีน
ภายในงานมีการอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาขับร้องโดย พรศุลี การเวก รวมทั้ง นักร้องคลื่นลูกใหม่อีกหลายคนของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ในส่วนของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จัดให้มีการสาธิตการเต้นตะลุงและสอนรำวงมาตรฐานให้กับแขกภายในงานผู้ที่สนใจ
อรอนงค์ เสนะวงศ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิสุนทราภรณ์ เล่าให้ฟังว่า ผู้ชมชาวจีนให้ความสนใจเข้ามาชมอย่างใกล้ชิด และฟังการบรรเลงเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกทั้งปรบมือให้อย่างกึกก้องพร้อมทั้งถ่ายรูปวงไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อเล่นเพลงรำวงก็จะออกมารำร่วมด้วยอย่างสนุกสนาน สร้างความภูมิใจให้กับนักร้องและนักดนตรีเป็นอย่างยิ่ง
เพลงที่นำไปโชว์ในครั้งนี้ มีทั้ง เพลงที่มีความเป็นไทยมากๆ เช่น เพลงที่ปรับจากเพลงไทยเดิม รวมทั้ง เพลงรำวง เพลง
แจซซ์เพลงที่มีจังหวะสากลอย่างจังหวะวอลทซ์ แทงโก้ หรือชะชะช่า รวมไปถึง เพลงที่ครูเอื้อดัดแปลงมาจากทำนองจีนอีกหลายเพลง ที่ทำให้ผู้ฟังชาวจีนเมื่อได้ฟังแล้วตื่นเต้นและเข้ามาสอบถามถึงที่มาที่ไปของบทเพลง
อรอนงค์บอกอีกว่า “บางเพลงของสุนทราภรณ์ได้มีการปรับเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ เช่น เพลงรำวงลอยกระทง ทำให้สามารถเข้าถึงคนต่างชาติต่างภาษาได้มากยิ่งขึ้น รวมถึง บทเพลงสุนทราภรณ์มีเนื้อร้องที่สละสลวยกับมีท่วงทำนองอันไพเราะ เป็นเพลงที่มีรูปแบบเฉพาะ มีสไตล์ก ารขับร้องที่มีสำเนียงเป็นของตนเอง มีความหลากหลายทางอารมณ์ ไม่ว่าจะสุข สนุกสนาน หรือเศร้าสร้อยก็ทำได้อย่างลึกซึ้งในทุกห้วงอารมณ์
บทเพลงต่าง ๆ ยังบอกเล่าถึงเรื่องราว ทัศนคติ ความเป็นอยู่ และลักษณะนิสัยของคนไทยได้อย่างชัดแจ้ง รวมถึง ความจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จิตวิญญาณความเป็นไทยที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงแต่ละเพลงด้วยความหลากหลายของเพลงทำให้คนทั้งสองชาติสามารถสื่อสารถึงกันได้เป็นอย่างดี”
บทเพลงสุนทราภรณ์และการแสดงแบบไทย ได้ทำหน้าที่เป็นทูตทางวัฒน ธรรมในการสื่อสารอย่างไร้พรมแดนกับเพื่อนบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าชาวจีนจะให้ความสนใจและอยากทำความรู้จักไทยให้มากยิ่งขึ้น เชื่อได้ว่า การแสดงแบบไทยและบทเพลงอันแสนไพเราะและเต็มเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ไทยจะเป็นอีก ซอฟต์พาวเวอร์ หรือ พลังวัฒนธรรม ที่จะแทรกซึมเข้าไปมีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามนี้ที่รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมกันประกาศชัดว่า อีกไม่นานเกินรอน่าจะได้เห็นศูนย์วัฒนธรรมไทยในประเทศจีน พร้อมปฏิทินกิจกรรมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการสอนมวยไทย สอนจัดดอกไม้ แกะสลัก สอนทำอาหารไทย สอนภาษาไทย สลับกันไปในแต่ละเดือน ในขณะเดียวกันก็จะมีศูนย์วัฒนธรรมจีนในไทยที่จะส่งเสริมการรับรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีนให้กับคนไทยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยผลักดันขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนได้อีกนับไม่ถ้วน.
ข้อมูลการค้าไทย-จีน
ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการขยายตัวด้านความสัมพันธ์ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่า 25,656,572,156 ดอลลาร์สหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับจีน 10,051,497,739 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าสำคัญเกือบทุกชนิดของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
ปริมาณมูลค่าการค้าระหว่างจีนและไทยในปีพ.ศ.2554 อยู่ที่ประมาณ 800,000 ล้านบาท เป็นส่วนของผลไม้ 200,000 ล้านบาท โดยผลไม้จากเมืองไทยที่กำลังเป็นที่นิยม คือ ทุเรียน กล้วยไข่ ลำไย มังคุด ส้มโอ และมะขาม ส่วนด้านของการท่องเที่ยว ปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยทะลุเป้าที่ตั้งไว้ คือ 1.9 ล้านคน เป็นจำนวนถึง 2.2 ล้านคน



กระแส “ซอฟต์พาวเวอร์ไทย” มาแรงในจีน เร่งส่งเสริม เพิ่มมาตรฐาน สร้างมูลค่า
วัฒนธรรมไทยมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น งดงาม ไม่แพ้ชาติใดในโลก ได้รับการยอมรับ เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติมากมาย โดยเฉพาะชาวจีนที่ปัจจุบันให้ความสนใจและเปิดรับวัฒนธรรมไทยในรูปแบบต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น!!
ดังจะเห็นได้จากงาน “เฉลิมพระ ชนมพรรษา 85 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจัดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555 รวมถึงงาน “เทศกาลไทย” และงาน “สัปดาห์อาหารไทย” พร้อมการแสดงดนตรีและวัฒนธรรมในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา
วิบูลย์ คูสกุล เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกวันนี้ ชาวจีนจำนวนมากได้รู้จักและให้ความสนใจประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยชาวจีนจะชอบอาหารไทย ข้าวและผลไม้ไทย รวมทั้ง ชอบมวยไทย ภาพยนตร์และละครไทยด้วย ปัจจุบันมีสถานีโทรทัศน์จีนถึง 2 ช่อง ที่ออกอากาศภาพยนตร์และละครไทยเป็นประจำ
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ภาพยนตร์จีนต้นทุนต่ำเรื่อง ลอสต์ อิน ไทยแลนด์ (Lost in Thailand) หรือที่มีชื่อไทยว่า แก๊งม่วนป่วนไทยแลนด์ ที่สร้างโดยค่ายภาพยนตร์ชาวจีน กำลังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่แห่กันมาท่องเที่ยวไทยตั้งแต่ช่วงปีใหม่และตรุษจีนที่ผ่านมา โดยหลาย ๆ กลุ่มที่มามีการเที่ยวแบบ “ตามรอย” จากสถานที่ที่ปรากฏในฉากของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวด้วย รวมทั้ง ภาพ ยนตร์ไทยรักกุ๊กกิ๊กที่มีชื่อว่า “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์กว่า 6,000 โรง ทั่วประเทศจีน ตลอดจน ดาราชายคนดัง มาริโอ้ เมาเร่อ และ ป้อง ณวัฒน์ ก็ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบและมีแฟนคลับทั่วแดนมังกร
สิ่งที่คนจีนกำลังนิยมในไลฟ์สไตล์ของไทย ไม่ใช่มีแค่ภาพยนตร์แต่เป็นทั้งละคร รายการทีวี มวย ไปจนถึงอาหารและผลไม้ไทย ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นการชื่นชอบในมิติของ “วัฒนธรรม” ที่เรียกได้ว่ากำลังเบ่งบานที่สุดในจีนในช่วงยุคปัจจุบัน และไม่ใช่แค่นั้นสินค้าทางวัฒนธรรมอีกจำนวนมากกำลังจ่อคิวเข้าไปอยู่ในใจชาวจีนแผ่นดินใหญ่อย่างต่อเนื่อง
จึงเห็นได้ว่า ทั้งผลไม้ อาหาร ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ไทย หรือเพลงไทย ซึ่งล้วนเป็นมิติทางวัฒนธรรมนั้น สามารถส่งเป็นพลังดึงดูดที่เรียกว่า “ซอฟต์พาวเวอร์” อันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมทั้ง ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและจีนในระยะยาว จึงควรดูแลให้มีมาตรฐานและดียิ่งขึ้นในอนาคต เพราะจะช่วยผลักดันขยายตลาดให้สินค้าไทยได้
วิบูลย์ กล่าวต่อว่า หากถามว่าทำไมคนจีนถึงนิยมวัฒนธรรมไทย เมื่อสืบค้นแล้วก็พบว่า มีรากฐานบางสิ่งบางอย่างที่เป็นสุนทรีย์ได้ขาดหายไปจากสังคมจีนแต่กลับมาปรากฏที่เมืองไทย ในรูปแบบของอาหาร การท่องเที่ยว วัฒนธรรมและความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ
ประกอบกับความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนชาวจีนมีศักยภาพในการเสพวัฒนธรรมของชาติอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒน ธรรมไทย จากสถิติจำนวนประชากรคาดว่าภายในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ. 2563 จะมีผู้มีอันจะกินในประเทศจีนเกินกว่า 500 ล้านคน
“คนจีนมีกำลังซื้อสูง โดยเน้นในเรื่องของที่มีคุณภาพ ตรงนี้น่าสนใจไทยน่าจะจับจุดได้ เพราะการเข้าถึงทางวัฒนธรรมไม่ได้ถูกจำกัดโดยสถานการณ์ แม้โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้าคนเขาชอบก็คือชอบอยู่ดี และเมื่อชอบแล้วก็พร้อมที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทางสถานทูตได้ร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้า บริการและวัฒนธรรมของไทยในหลายเมืองด้วยกัน รวมถึง เมืองเซี่ยงไฮ้ กวางเจา และเมืองเซิ่นหยาง มีการจัดเทศกาลส่งเสริมผลไม้ไทย ภาพยนตร์ไทย และอื่น ๆ โดยสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากขึ้น
“เมื่อกรกฎาคมปีที่แล้ว มีการจัดงานติดตามผลการเยือนของนายกรัฐมนตรีขึ้นที่กระทรวงต่างประเทศ โดยเชิญผู้สร้างในวงการภาพยนตร์ไทยให้ได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของจีนในเรื่องข้อมูลต่างๆ เช่น ทำอย่างไรให้ผ่านเซ็นเซอร์ได้ ต้องเลี่ยงอะไร ซึ่งอยากให้มีเวทีแบบนี้เกิดขึ้นมากๆ เพราะเชื่อว่า ถ้าเปิดเสรีไทยย่อมไม่แพ้ชาติไหนในอาเซียน”
ในส่วนของการจัดงานครั้งล่าสุดที่ผ่านมานี้ได้รับเกียรติจากวงสุนทราภรณ์ นำโดย อติพร สุนทรสนาน เสนะวงค์ และคณะนาฏศิลป์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยการนำของศิลปินแห่งชาติ ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ เพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยอันงดงามสู่สายตาชาวจีน
ภายในงานมีการอัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาขับร้องโดย พรศุลี การเวก รวมทั้ง นักร้องคลื่นลูกใหม่อีกหลายคนของวงดนตรีสุนทราภรณ์ ในส่วนของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จัดให้มีการสาธิตการเต้นตะลุงและสอนรำวงมาตรฐานให้กับแขกภายในงานผู้ที่สนใจ
อรอนงค์ เสนะวงศ์ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิสุนทราภรณ์ เล่าให้ฟังว่า ผู้ชมชาวจีนให้ความสนใจเข้ามาชมอย่างใกล้ชิด และฟังการบรรเลงเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกทั้งปรบมือให้อย่างกึกก้องพร้อมทั้งถ่ายรูปวงไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อเล่นเพลงรำวงก็จะออกมารำร่วมด้วยอย่างสนุกสนาน สร้างความภูมิใจให้กับนักร้องและนักดนตรีเป็นอย่างยิ่ง
เพลงที่นำไปโชว์ในครั้งนี้ มีทั้ง เพลงที่มีความเป็นไทยมากๆ เช่น เพลงที่ปรับจากเพลงไทยเดิม รวมทั้ง เพลงรำวง เพลง
แจซซ์เพลงที่มีจังหวะสากลอย่างจังหวะวอลทซ์ แทงโก้ หรือชะชะช่า รวมไปถึง เพลงที่ครูเอื้อดัดแปลงมาจากทำนองจีนอีกหลายเพลง ที่ทำให้ผู้ฟังชาวจีนเมื่อได้ฟังแล้วตื่นเต้นและเข้ามาสอบถามถึงที่มาที่ไปของบทเพลง
อรอนงค์บอกอีกว่า “บางเพลงของสุนทราภรณ์ได้มีการปรับเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ เช่น เพลงรำวงลอยกระทง ทำให้สามารถเข้าถึงคนต่างชาติต่างภาษาได้มากยิ่งขึ้น รวมถึง บทเพลงสุนทราภรณ์มีเนื้อร้องที่สละสลวยกับมีท่วงทำนองอันไพเราะ เป็นเพลงที่มีรูปแบบเฉพาะ มีสไตล์ก ารขับร้องที่มีสำเนียงเป็นของตนเอง มีความหลากหลายทางอารมณ์ ไม่ว่าจะสุข สนุกสนาน หรือเศร้าสร้อยก็ทำได้อย่างลึกซึ้งในทุกห้วงอารมณ์
บทเพลงต่าง ๆ ยังบอกเล่าถึงเรื่องราว ทัศนคติ ความเป็นอยู่ และลักษณะนิสัยของคนไทยได้อย่างชัดแจ้ง รวมถึง ความจงรักภักดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จิตวิญญาณความเป็นไทยที่ปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงแต่ละเพลงด้วยความหลากหลายของเพลงทำให้คนทั้งสองชาติสามารถสื่อสารถึงกันได้เป็นอย่างดี”
บทเพลงสุนทราภรณ์และการแสดงแบบไทย ได้ทำหน้าที่เป็นทูตทางวัฒน ธรรมในการสื่อสารอย่างไร้พรมแดนกับเพื่อนบ้าน ซึ่งดูเหมือนว่าชาวจีนจะให้ความสนใจและอยากทำความรู้จักไทยให้มากยิ่งขึ้น เชื่อได้ว่า การแสดงแบบไทยและบทเพลงอันแสนไพเราะและเต็มเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ไทยจะเป็นอีก ซอฟต์พาวเวอร์ หรือ พลังวัฒนธรรม ที่จะแทรกซึมเข้าไปมีบทบาทในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทย-จีนในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามนี้ที่รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายได้ร่วมกันประกาศชัดว่า อีกไม่นานเกินรอน่าจะได้เห็นศูนย์วัฒนธรรมไทยในประเทศจีน พร้อมปฏิทินกิจกรรมตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการสอนมวยไทย สอนจัดดอกไม้ แกะสลัก สอนทำอาหารไทย สอนภาษาไทย สลับกันไปในแต่ละเดือน ในขณะเดียวกันก็จะมีศูนย์วัฒนธรรมจีนในไทยที่จะส่งเสริมการรับรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีนให้กับคนไทยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยผลักดันขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนได้อีกนับไม่ถ้วน.
ข้อมูลการค้าไทย-จีน
ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการขยายตัวด้านความสัมพันธ์ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนนำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่า 25,656,572,156 ดอลลาร์สหรัฐ และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับจีน 10,051,497,739 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกสินค้าสำคัญเกือบทุกชนิดของไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
ปริมาณมูลค่าการค้าระหว่างจีนและไทยในปีพ.ศ.2554 อยู่ที่ประมาณ 800,000 ล้านบาท เป็นส่วนของผลไม้ 200,000 ล้านบาท โดยผลไม้จากเมืองไทยที่กำลังเป็นที่นิยม คือ ทุเรียน กล้วยไข่ ลำไย มังคุด ส้มโอ และมะขาม ส่วนด้านของการท่องเที่ยว ปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยทะลุเป้าที่ตั้งไว้ คือ 1.9 ล้านคน เป็นจำนวนถึง 2.2 ล้านคน