นางผู้มีรักเดียว (๒)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับฮูหยิน

ชุด นางผู้มีรักเดียว

ตอนที่ ๒ ความรักเหนือสิ่งอื่นใด

เล่าเซี่ยงชุน

เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว นางงอก๊กไถ้ ก็จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต มีการเลี้ยงขุนนางอย่างทั้งปวง จนถึงเวลาค่ำขุนนางผู้รับเชิญกลับไปหมดแล้ว นางก็ให้จุดเทียนปักไว้สองข้างทางตั้งแต่ที่พักของ เล่าปี่ ไปจนถึงตึกของเจ้าสาว แล้วก็ให้คนใช้นำตัวเล่าปี่ไปส่ง ภายในตึกที่อยู่ของเจ้าสาวนั้น ประดับประดาไปด้วยเครื่องศัสตราวุธชนิดต่าง ๆ แขวนและพิงไว้ตามกำแพงเป็นอันมาก หญิงคนใช้ทั้งหลายก็แต่งกายรัดกุมทุกคน ต่างก็เหน็บกระบี่เหมือนจะเข้าสู่สงคราม ทั้งนี้เพราะ นางซุนฮูหยิน เป็นผู้รักการฝึกอาวุธมาแต่เล็ก จนมีฝีมือเข้มแข็ง

เล่าปี่เห็นดังนั้นถึงกับตกตลึงยืนนิ่งอยู่ พี่เลี้ยงผู้เฒ่าจึงบอกว่า

"…...ท่านอย่าตกใจ อันนางซุนฮูหยินผู้นี้ แต่น้อยมารักการสงคราม พอใจดูทหารรำอาวุธสู้รบกัน จึงฝึกสอนหญิงคนใช้ให้รำกระบี่ แลสู้กันด้วยเพลงอาวุธต่าง ๆ ...."

เล่าปี่จึงว่า

"....อันการรำอาวุธรบพุ่งกันนี้ หาควรที่นางซุนฮูหยินจะดูไม่ น้ำใจข้าพเจ้านี้คิดครั่นคร้ามนัก ให้เก็บเสียก่อนเถิด....."

พี่เลี้ยงผู้นั้นก็เข้าไปบอกนางซุนฮูหยิน นางก็หัวเราะว่า

"......ทำการสงครามมาถึงอายุปานนี้แล้ว เห็นเครื่องอาวุธยังกลัวอยู่อีกเล่า...."

แต่ก็ได้สั่งให้หญิงคนใช้ เก็บเครื่องอาวุธทั้งปวงไปเสีย และเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้สวยงามตามปกติ แล้วพี่เลี้ยงก็เชิญเล่าปี่ เข้าไปหานางซุนฮูหยิน เป็นการส่งตัวเจ้าบ่าวให้เข้าหอเจ้าสาว ตามประเพณี

นางซุนฮูหยินนั้นได้แต่งงานกับเล่าปี่ โดยมิได้รู้ถึงกลอุบายของ ซุนกวน พี่ชายผู้เป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง ที่คิดอ่านกับ จิวยี่ ว่าจะล่อเล่าปี่เอามาเป็นตัวประกัน แลกกับเมืองเกงจิ๋ว และไม่ทราบด้วยว่าการที่เล่าปี่ยอมเข้ามาสู่กับดักแต่โดยดีนี้ ก็เพราะ ขงเบ้ง กุนซือผู้มีสติปัญญาของ เล่าปี่ ได้เตรียมแผนการณ์แก้ไขไว้แล้วถึงสามชั้น

นางได้เข้าพิธีแต่งงาน ด้วยความเห็นชอบของนางงอก๊กไถ้ผู้มารดา ตามธรรมเนียมของบุตรผู้มีกตัญญูต่อพ่อแม่ แล้วก็จะต้องรักและภักดี ซื่อสัตย์ต่อสามีตราบจนสิ้นชีวิต

หลังการแต่งงานแล้ว ซุนกวนก็จัดการก่อตึกใหญ่ และขุดสระน้ำปลูกบัว กับสร้างสวนดอกไม้ขึ้นใหม่ให้สวยงาม แล้วก็เชิญเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินเข้ามาอยู่ พร้อมกับจัดคนรับใช้หญิงชาย และมอบเงินทองสำหรับใช้สอยเป็นอันมาก กับมีหญิงรูปร่างงามสิบคนคอยขับร้องบำเรอความสุขเป็นประจำทุกวัน

นางงอก๊กไถ้เห็นซุนกวนแสดงความรักใคร่เล่าปี่และบุตรสาวของตนดังนั้น ก็มีความยินดีนัก

สองสามีภรรยาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสบายยิ่ง เล่าปี่นั้นแต่เดิมก็เป็นคนยากจน เข็ญใจ และตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มีแต่ความระกำลำบาก ต้องเดินทางเร่ร่อนรบพุ่งอยู่ ไม่เคยได้หยุดพัก เมื่อได้อยู่กินกับภรรยาผู้มีรูปโฉมงดงาม มีสมบัติพัสถานเป็นอันมาก รอบตัวมีแต่สิ่งสวยงาม ปรนนิบัติบำเรออยู่ ก็หลงระเริงไปมิได้คิดถึงเมืองเกงจิ๋วอีกเลย

จนเวลาล่วงไปถึงปีใหม่ วันหนึ่ง จูล่ง นายทหารเอกองครักษ์คู่ใจ ก็เข้ามาหาเล่าปี่ ปรึกษาหารือกันอยู่สักพักหนึ่งก็คำนับลากลับไป เล่าปี่ก็เข้ามาหาภรรยาแล้วร้องไห้ นางซุนฮูหยินก็ถามว่าท่านเป็นทุกข์สิ่งใดหรือ เล่าปี่ก็บอกว่า

"......ข้าคิดวิตกถึงมารดา เมื่อชีวิตยังอยู่ก็มิได้แทนคุณ ครั้นหาบุญไม่แล้วก็มิได้บูชาเหมือนมิได้มีกตัญญู ข้ามาอยู่กับเจ้าก็ช้านานจนเข้าปีใหม่แล้ว คิดวิตกรำลึกถึงคุณบิดามารดา จึงไม่มีความสบาย....."

นางซุนฮูหยินกลับว่า

".....ท่านอย่าลวงข้าพเจ้าเลย เนื้อความซึ่งจูล่งมาบอกท่านนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินอยู่แล้ว ท่านจะใคร่กลับไปเมืองเกงจิ๋วโดยเร็ว เหตุใดจึงมาบอกข้าพเจ้าดังนี้เล่า....."

เล่าปี่ก็ยอมสารภาพว่า

".....เนื้อความทั้งปวงเจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว แม้ข้าไม่กลับไป เมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นอันตราย คนทั้งปวงก็จะหัวเราะเยาะว่า หลงภรรยาจนเสียเมืองแก่ โจโฉ ครั้นจะไปบัดนี้เล่าก็มีความอาลัยถึงเจ้านัก....."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

".....ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาก็สิทธิ์ขาดอยู่แก่ท่าน แม้ท่านคิดอ่านประการใด ข้าพเจ้าจะตามทุกประการ....."

เล่าปี่ก็ว่า

"....เจ้าว่านี้ก็ชอบ แต่กลัวมารดาเจ้ากับซุนกวนจะไม่ให้ไป แม้เจ้ามีความเมตตามิให้ข้าได้เจ็บอายแก่คนทั้งปวง ก็ค่อยอยู่จงดีเถิด ข้าจะรีบกลับไปเมืองเกงจิ๋วจะได้คิดอ่านสู้รบกับโจโฉ.."

นางซุนฮูหยินเห็นน้ำตาเล่าปี่ก็ปลอบว่า

"....ท่านอย่าทุกข์ร้อนไปเลย ข้าพเจ้าจะไปอ้อนวอนลามารดา ก็เห็นจะยอมให้ไปกับท่าน...."

เล่าปี่ก็แย้งว่า

".....ถึงมารดาเจ้าจะยอมให้ไปแล้ว แม้ซุนกวนไม่ยอมให้ไปเจ้าจะคิดประการใด....."

นางซุนฮูหยินก็รับว่าเมื่อมารดาอนุญาตแล้ว ก็จะรีบหนีไปมิให้ซุนกวนรู้ตัว เล่าปี่ก็มีความยินดีจึงว่า

".....ไม่เสียทีที่ข้ารักใคร่มีอาลัยต่อเจ้า แม้เจ้าแก้ไขครั้งนี้ ถึงจะตายข้าก็ไม่ลืมคุณเจ้า....."

แล้วเล่าปี่ก็เรียกจูล่งมาสั่งว่า เมื่อถึงวันตรุษให้คุมทหารทั้งปวง ออกไปคอยท่าอยู่ที่ทางหลวงนอกเมือง ตนกับภรรยาจะหาอุบายหนีไปพบกัน แล้วจะได้ออกเดินทางไปพร้อมกัน

ครั้นถึงวันตรุษขึ้นปีใหม่วันแรก ซุนกวนได้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนาง และนายทหารทั้งปวงอยู่ เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินจึงพากันไปหานางงอก๊กไถ้ คำนับมารดาแล้วนางซุนฮูหยินก็บอกว่า

".....เล่าปี่คิดถึงมารดาและคณาญาติทั้งปวงอันหาบุญไม่ ซึ่งฝังศพไว้ ณ เมืองตุ้นก้วน จะลาท่านไปเซ่นศพที่ชายทะเล แต่พอเป็นเหตุตามขนบธรรมเนียม ข้าพเจ้าจะลาไปด้วย...."

นางงอก๊กไถ้จึงว่า

".....ทั้งนี้เป็นประเพณีผู้รู้จักคุณบิดามารดา อนึ่งตัวเจ้าก็ยังหาได้คำนับบิดามารดาผัวไม่ จะไปก็ตามเถิด....."

นางซุนฮูหยินมีความยินดี รีบคำนับลามารดา กลับมาจัดแจงเงินทองสิ่งของเครื่องใช้ใส่ในรถ เล่าปี่ก็ขึ้นม้าให้ภรรยานั่งในรถกับคนใช้หญิงที่สนิท ออกจากเมืองลำชีไปตาทางที่นัดกับจูล่งไว้ เมื่อพบกันจูล่งก็จัดขบวนทหาร ป้องกันรักษาครอบครัวของเล่าปี่ เดินทางไปยังชายทะเล

ขณะนั้นซุนกวนเลิกจากงานเลี้ยง เมาสุรานอนหลับอยู่ ทหารที่รู้ว่าเล่าปี่พาภรรยาหนีไปแล้วก็ไม่กล้าปลุก ซุนกวนจึงรู้เรื่องในตอนเช้าก็โกรธ สั่งให้ทหารเอกสองนายคุมทหารติดตามไปจับตัวเล่าปี่มาให้ได้ แต่ที่ปรึกษาเห็นว่าคงไม่สำเร็จ จึงมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้ทหารเอก อีกสองนาย ตามไปตัดศรีษะสองสามีภรรยากลับมาให้ได้

เล่าปี่พาขบวนเดินทางไปตลอดวัน จนถึงเวลาสองยามจึงหยุดพักทหารชั่วครู่หนึ่ง แล้วก็เดินทางต่อไปถึงแดนเมืองฉสองกุ๋น ที่จิวยี่รักษาอยู่ ในเวลาเช้าก็ได้ยินเสียงทหารของซุนกวนโห่ร้องตามมาข้างหลัง จูล่งก็ให้เล่าปี่พาภรรยาเดินทางต่อไป ตนจะต้านทานพวกที่ติดตามมาเอง แต่เล่าปี่ไปเจอเอาทหารของจิวยี่คอยดักอยู่ ต้องหวนกลับมาหาจูล่งอีก ถามว่าจะคิดอ่านประการใด จูล่งก็ว่า

".....ท่านอย่าวิตกเลย เมื่อเราจะมานั้นขงเบ้งให้หนังสือมาสามฉบับ ได้ดูสองฉบับแล้วก็ทำการมาถึงเพียงนี้ ยังหนังสือฉบับที่สามนี้ขงเบ้งสั่งมาว่า แม้ถึงที่อับจนจึงให้ฉีกออกดู บัดนี้ถึงที่อับจนแล้ว จำเราจะดูหนังสือขงเบ้ง ก่อนจะคิดทำการต่อไป....."

ว่าแล้วก็ฉีกหนังสือออกให้เล่าปี่ดู เล่าปี่อ่านแจ้งแล้ว ก็กลับไปบอกเล่าเนื้อความ ให้นางซุนฮูหยินฟังว่า

"....เดิมซุนกวนกับจิวยี่คิดกลอุบาย ว่าจะยกเจ้าให้เป็นภรรยาข้า หวังจะลวงข้าให้มา ณ เมืองลำชีแล้วจะจับตัวจำไว้ แม้คืนเมืองเกงจิ๋วได้แล้วก็จะฆ่าเราเสีย ใช่จะยกเจ้าให้โดยจริงนั้นหามิได้ เอาชื่อเจ้าเป็นเหยื่อไปล่อมา อนึ่งข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดยิ่งกว่าผู้ชายอีก จึงอุตส่าห์มานี้มิได้คิดถึงตัวกลัวความตาย นี่หากว่ามารดากับนางเกียวก๊กโลมีความเมตตา ข้าจึงรอดจากความตาย....."

เมื่อเห็นว่านางซุนฮูหยินเชื่อคำพูดของตนแล้ว เล่าปี่จึงบอกว่า

".....แลซุนกวนกับจิวยี่ยังคิดกลอุบายต่าง ๆ อยู่ หวังจะทำอันตราย ข้าเห็นจะอยู่ในเมืองลำชีไม่ได้ ก็คิดอ่านจะกลับไปเมืองเกงจิ๋ว จึงแกล้งบอกเจ้าว่าเมืองเกงจิ๋วเกิดศึกจะรีบไปเป็นการเร็ว เจ้าก็มีความสัตย์ติดตามข้ามา คุณเจ้าหาที่สุดไม่ ข้าก็ยังมิได้ตอบแทนคุณ....."

แล้วก็ใช้ไม้ตายอันสุดท้ายว่า

".....บัดนี้ซุนกวนก็ยกทหารตามมาเป็นอันมาก จิวยี่ก็ให้ทหารมาสกัดหน้าอยู่ ทหารทั้งสองฝ่ายนี้อยู่ในอำนาจของเจ้า แม้เจ้าไม่ช่วยแก้ไขครั้งนี้ ข้าจะตายอยู่ในที่นี้ อันจะได้ แทนคุณเจ้าซึ่งสัตย์ซื่อต่อข้านั้น หามิได้แล้ว....."

นางซุนฮูหยินได้ฟังดังนั้น ก็คิดน้อยใจซุนกวน จึงว่า

"....ซึ่งซุนกวนทำทั้งนี้มิได้มีอาลัย ที่จะเป็นพี่น้องกันสืบไป จะกลับไปหาซุนกวน กระไรได้ การครั้งนี้ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้พ้นอันตรายจงได้...."

ว่าแล้วนางก็ให้คนใช้ม้วนเอามู่ลี่ข้างรถขึ้น แล้วให้ขับรถไปข้างหน้าก็พบ นายทหารของจิวยี่สองนายขวางหน้าอยู่ จึงร้องออกไปว่าตัวทำการครั้งนี้จะทำร้ายเราหรือ ทหารเอกทั้งสองนายก็ตกใจ ลงจากหลังม้าวางอาวุธ คำนับนางซุนฮูหยินที่หน้ารถ แล้วว่า

"......ข้าพเจ้าจะคิดอ่านทำอันตรายท่านนั้นหามิได้ จิวยี่ให้ข้าพเจ้าคุมทหารมาคอยจับเล่าปี่....."

นางซุนฮูหยินก็ด่าจิวยี่ว่า

".....อ้ายผู้ร้ายมิได้มีกตัญญู ตัวมาอยู่เมืองกังตั๋งนี้ กินข้าวแดงแกงร้อนพี่เรา พี่เราก็ตั้งให้เป็นนายทหาร แล้วเลี้ยงดูมิให้อนาทร ควรหรือไม่รู้จักผิดแลชอบ เล่าปี่เป็นอาพระเจ้า เหี้ยนเต้ มารดากับซุนกวนก็ได้ยกให้เป็นสามีเรา เมื่อเล่าปี่จะพาเรามานั้น มารดาเรากับซุนกวนก็ได้รู้ ยอมให้เรามา แลจิวยี่เห็นว่าเราได้ทรัพย์สิ่งของมามากหรือ จึงให้ตัวทั้งสองคุมทหารปลอมเป็นโจรมาคอยตีชิงเรา......"

นายทหารทั้งสองก็แก้ตัวว่า

".....อันตัวข้าพเจ้าทั้งสองคนนี้ จะได้คิดร้ายต่อท่านหามิได้เพราะกลัวอาญาจิวยี่จึงมา ท่านจงเมตตายกโทษข้าพเจ้าเถิด.."

นางซุนฮูหยินก็ตวาดเอาว่า

"......ตัวเห็นว่าจิวยี่มีอาญาสิทธิ์ ฆ่าตัวได้ตัวจึงทำตาม แต่เรานี้จะฆ่าตัวไม่ได้ฉะนั้นหรือ จึงบังอาจมาทำการทั้งนี้...."

ว่าแล้วก็เร่งขับรถไป เล่าปี่กับจูล่งก็คุมทหารตามไป สองนายทหารเอกของจิวยี่ ทั้งกลัวนางซุนฮูหยิน และเกรงฝีมือจูล่งอันเป็นทีรู้กันทั่ว จึงมิอาจทำประการใด ต้องแหวกทางให้ผ่านไป

เดินทางมาได้อีกไม่ช้า ก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงตามหลังมาอีก นางซุนฮูหยินก็บอกให้เล่าปี่พาทหารสามร้อยเดินทางต่อไปก่อน ตนเองกับจูล่งและทหารสองร้อยคอยต้านทานอยู่ข้างหลัง เล่าปี่ก็รีบไปตามชายทะเล จูล่งก็ขี่ม้าถือทวนอยู่เคียงข้างรถของนางซุนฮูหยิน ผู้ที่ตามมาคือนายทหารของซุนกวนสองคน รวมกับนายทหารของจิวยี่อีกสองคน และไพร่พลทั้งสองฝ่ายอีกจำนวนมาก

เมื่อมาถึงทหารเอกทั้งสี่นายก็ลงมาจากหลังม้า คำนับว่าซุนกวนขอเชิญให้กลับไปก่อน นางซุนฮูหยินก็ทำเป็นโกรธร้องว่า

"....เพราะคนเหล่านี้จะให้พี่น้องผิดใจกัน มารดาเรากับซุนกวน ก็แต่งให้เราเป็นภรรยาเล่าปี่ เมื่อเรากับเล่าปี่จะมานั้น มารดาก็อนุญาตให้เราไปอยู่เมืองเกงจิ๋วกับสามีเรา ใช่เราจะหนีมาตามอำเภอใจก็หาไม่ ถึงซุนกวนพี่เราก็เห็นจะว่ากล่าวตามขนบธรรมเนียม คงจะผ่อนเอาใจเราบ้าง แต่ตัวสองคนนี้แอบรับคำสั่งซุนกวน ยกทหารมาจะทำอันตรายเราหรือ....."

นายทหารทั้งสี่ก็ลังเลใจ เพราะไม่แน่ว่าถ้าแข็งขืนทำตามคำสั่ง แล้วภายหลังพี่กับน้องมารดากับบุตรหายโกรธกัน ตัวก็จะลำบาก อีกทั้งจูล่งก็ยืนคอยที่จะเข้ารบด้วย จึงต่างก็คำนับแล้วปล่อยให้ไป นางซุนฮูหยินก็เร่งตามสามีไปจนทันกัน

แต่ผู้ขัดขวางก็ยังมิได้หมดเพียงแค่นี้ ข้างหลังยังมี เจียวขิม ทหารเอกของซุนกวนที่ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ สามารถตัดศรีษะเล่าปี่และนางซุนฮูหยิน ได้โดยเด็ดขาด แม้นมิได้ศรีษะทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้ไป ก็จะต้องเสียศรีษะของตนเองแทน

จึงต้องคอยติดตามว่า นางซุนฮูหยินผู้ จงรักภักดีต่อสามี จะแก้ไขประการใดต่อไป.

########

วารสารข่าวทหารอากาศ
มกราคม ๒๕๔๗


วางเมื่อ ๑๒มี.ค.๕๖ เวลา ๐๙.๑๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่