ซุนฮูหยิน ๑๖ มี.ค.๖๐

สามก๊กฉบับฮูหยิน

ชุดที่ ๙ หญิงผู้มีรักเดียว

ตอนที่ ๓ จำใจจำจาก

เล่าเซี่ยงชุน

นางซุนฮูหยิน กับ เล่าปี่ และ จูล่ง พากันหนีทหารของ ซุนกวนและจิวยี่ มาจนถึง ชายทะเลตำบลเล่าลองไพ่ สุดเขตแดนเมืองฉสองกุ๋น จะเข้าเขตแดนเมืองเกงจิ๋ว เล่าปี่ก็พาทหารเดินเลียบไปตามชายทะเลเพื่อจะหาเรือข้ามฟากไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ก็ไม่มีเรือผ่านไปมาเลยก็คิดวิตกกลัวจะมีผู้ติดตามมาอีก จูล่งก็ปลอบใจว่า

"....เรามานี่ก็พ้นเมืองฉสองกุ๋น จะเข้าแดนเมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว เหมือนหนึ่งเสือหนีออกจากจั่นได้ ท่านอย่าคิดวิตกเลย เราทำสงครามเสร็จทั้งนี้เพราะความคิดขงเบ้ง บัดนี้เรามาถึงแดนเมืองเราแล้ว เห็นขงเบ้งจะคิดอ่านมาช่วยเราเป็นมั่นคง....."

เล่าปี่ก็คิดถึงความยากลำบากที่ผ่านพ้นมาได้ แล้วก็หวนคิดถึงความสุขที่ได้รับจากซุนกวนเมื่อก่อนจะจากมา ทั้งดีใจและเสียดายน้ำตาก็ไหลรินออกมาอีก พอดีได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามหลังมาเป็นอันมากก็ตกใจ บอกกับจูล่งว่า

".....เสียงทหารม้ายกตามมาเป็นอันมาก เราเห็นจะถึงที่ตายในครั้งนี้แล้ว....."

จูล่งเตรียมตัวจะต่อสู้ ก็พอดีมีเรือแล่นตามชายทะเลมาประมาณยี่สิบลำ มองดูเหมือนเรือสินค้า จูล่งก็ว่า

".....เป็นบุญของเรามีเรือแล่นมาแล้ว ให้ท่านเร่งขับทหารลงโดยสารเรือนี้ ข้ามไปเถิดจะได้พ้นอันตราย....."

เมื่อเรือแล่นเข้ามาใกล้ จึงเห็นเจ้าของเรือ โผล่ออกมาจากประทุนเรือก็มีความยินดีเพราะพ่อค้าผู้นั้นมิใช่ใคร ที่แท้คือ ขงเบ้ง นั่นเอง ขงเบ้งรีบเทียบเรือเข้ามารับ และหัวเราะบอกว่า

"....ข้าพเจ้าจัดทหารแต่งปลอมเป็นเรือลูกค้า มาคอยรับท่านอยู่นานหนักหนาแล้ว....."

เล่าปี่ก็พานางซุนฮูหยินกับทหารทั้งปวงรีบลงเรือ ทั้งยี่สิบลำ แล้วก็ถอยออกจากฝั่ง ฝ่าย เจียวขิม กับ จิวท่าย ซึ่งถือกระบี่อาญาสิทธิ์ของซุนกวน ได้รับคำสั่งให้ตัดศรีษะของสองสามีภรรยากลับไปให้ได้ เมื่อพบกับทหารเอกสองคนแรก ที่ปล่อยให้นางซุนฮูหยินกับเล่าปี่ผ่านไปแล้ว ก็รีบพากันติดตามมาจนถึงชายทะเล เห็นเรือที่มารับสองสามีภรรยากำลังถอยออกจากริมฝั่ง ก็ขับม้าเลาะชายฝั่งตามมา

ขงเบ้งจึงชี้มือร้องบอกไปว่า

"...ให้ท่านกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่า เราคิดการมาก็นานอยู่แล้วพึ่งสำเร็จครั้งนี้ ซึ่ง จิวยี่ให้ท่านตามมาส่งเล่าปี่นั้นขอบใจนัก เล่าปี่มิได้เป็นอันตรายสิ่งใด อย่าให้จิวยี่คิดกลอุบายฉะนี้สืบไปเลย...."

ทหารบนฝั่งก็ยิงเกาทัณฑ์ไปยังเรือดังห่าฝน แต่ก็ไม่ถึงเสียแล้ว ขงเบ้งก็เร่งให้ทหารแจวเรือ ข้ามฟากไปยังฝั่งของเมืองเกงจิ๋ว

ขณะนั้นจิวยี่ได้แจ้งข่าวจากนายทหารของตนว่า เล่าปี่กับนางซุนฮูหยินหนีรอดไปลงเรือได้แล้ว จึงเร่งจัดทัพเรือติดตามมาอย่างรีบด่วน จวนจะทันกัน ก็พอดีเรือของขงเบ้งถึงฝั่ง พาเล่าปี่กับนางซุนฮูหยินและจูล่ง ขึ้นบกรีบหนีไป
ถึงเขาลูกหนึ่ง ในตำบลลองจิ๋ว ก็พากันขึ้นไปอยู่บนเขา ซึ่งกวนอูนำทหารเอกอีกสองนายมาคอยรับอยู่

เมื่อจิวยี่พาทหารขึ้นบกยกตามมา กวนอูก็พาทหารลงจากเขาไปสกัดไว้ จิวยี่เกรงฝีมือกวนอู และทหารที่ตามมาก็เป็นทหารเรือ ไม่ทันสัดการรบบนบกและไม่มีม้าขี่ จึงต้องถอยกลับมาลงเรือ กวนอูก็พาทหารไล่ฆ่าฟันทหารจิวยี่ล้มตายไปเป็นอันมาก

เมื่อทหารของจิวยี่ลงไปในเรือหมดแล้ว กวนอูยืนม้าอยู่ริมฝั่งก็ให้ทหารร้องตะโกนเยาะเย้ยว่า

".....ท่านคิดกลอุบายจะลวงเรา ครั้นเราลวงบ้างก็แพ้ความคิดเรา แล้วมิหนำยังยกมาตามส่งเล่าปี่ ให้เสียทหารอีกเล่า นี่แลจะคิดอ่านปราบปรามแผ่นดินสืบไป....."

จิวยี่ได้ยินก็แลขึ้นไปบนเขา เห็นเล่าปี่และนางซุนฮูหยินกับหญิงคนใช้ยืนอยู่บนยอดเขาก็แค้นใจนัก มีมานะจะยกทหารขึ้นไปสู้รบอีก นายทหารเอกที่มาด้วยก็ห้ามเอาไว้ อัดอั้นตันใจจนล้มลงสิ้นสติไป ทหารทั้งปวงก็ช่วยกันแก้ไขจนฟื้นขึ้น จึงถอยกองเรือกลับไป

แต่จิวยี่ก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจ ที่จะเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้ได้ แต่จะทำวิธีใดขงเบ้งก็รู้ทันและแก้ตกทุกครั้ง จิวยี่จึงเสียใจจนล้มป่วย และถึงแก่ความตายไป

นางซุนฮูหยินจึงได้อยู่กับเล่าปี่ที่เมืองเกงจิ๋ว อย่างมีความสุขสมดังใจ และ อาเต๊า บุตรชายคนเดียวของ นางกำฮูหยิน ซึ่งเป็นกำพร้ามารดาแต่ยังเยาว์ นางซุนฮูหยินก็รักดุจลูกของตน

จนกระทั่ง เล่าปี่ยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตก นางซุนฮูหยินต้องอยู่ที่เมืองเกงจิ๋วกับอาเต๊า เมื่อซุนกวนรู้ข่าวก็ปรึกษากับขุนนางฝ่ายทหาร จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วอีกครั้ง นางงอก๊กไถ้ มารดานางซุนฮูหยินรู้เรื่องจึงว่ากับซุนกวนว่า

"...ผู้ใดคิดการดังนี้ ปรารถนาจะให้เล่าปี่ฆ่าลูกสาวเราเสียหรือ ชอบจะให้ตัดศรีษะเสีย....."

ซุนกวนยังไม่ทันจะตอบนางก็รำพันต่อว่า

".....น้องสาวเจ้าผู้เดียว เราสู้อุ้มท้องรักษามา ถนอมดังหนึ่งดวงชีวิต บัดนี้ก็ได้ยกให้เป็นภรรยาเล่าปี่แล้ว แลเจ้าจะมาเชื่อถ้อยคำคนทั้งปวงยุยงฉะนี้ จะฆ่าน้องสาวหรือ ตัวเจ้าได้สมบัติของพี่ เป็นใหญ่อยู่ในเมืองกังตั๋ง มีหัวเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ด ยังไม่อิ่มใจหรือ จึงจะไปเอาเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นสมบัติของผู้อื่นเล่า..... “

ซุนกวนได้ฟังมารดาว่า ก็คำนับรับว่า

"....ข้าพเจ้าผิดแล้วขอมารดาอดโทษเถิด....."

แต่ลับหลังนางงอก๊กไถ้แล้ว ซุนกวนก็ปรึกษากับ เตียวเจียว ขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ออกอุบายให้ส่งคนไปรับนางซุนฮูหยินมาให้ได้ แล้วให้พาอาเต๊าบุตรของเล่าปี่มาด้วย เล่าปี่ก็ต้องยอมเอาเมืองเกงจิ๋วมาแลกกับบุตรจนได้

วันหนึ่ง จิวเสี้ยน คนสนิทของซุนกวน ก็ถือหนังสือมาให้นางซุนฮูหยิน ที่เมืองเกงจิ๋ว ในหนังสือนั้นมีเนื้อความว่า

".....บัดนี้มารดาป่วยระลึกถึงอยู่ จะขอเห็นหน้าสักครั้งหนึ่ง ให้รีบมาทั้งกลางวันกลางคืนอย่าช้าได้ แล้วให้พาเอาบุตรเล่าปี่มาเมืองเราด้วย....."

นางก็มีความเศร้าโศกนักถามว่า มารดาป่วยนั้นเป็นประการใด จิวเสี้ยน ก็ว่า

"....มารดาท่านป่วยหนักอยู่แล้ว แม้มิได้เห็นหน้าท่านก็จะตายเสีย แล้วสั่งมาว่าจะขอเห็นหน้าอาเต๊าหลานชายด้วย....."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

"....บัดนี้เล่าปี่ก็ไม่อยู่ ซึ่งเราจะไปนั้นจำจะบอกกล่าวขงเบ้งให้รู้ก่อน....."

จิวเสี้ยนก็ห้ามว่า

"....มารดาท่านป่วยหนัก จะรีบไปให้ทันเห็นใจ จะบอกแก่ขงเบ้งก่อน ถ้าขงเบ้งจะบอกไปถึงเล่าปี่ ก็ไปทางไกล กว่าหนังสือจะไปถึงและจะตอบมาจะมิช้านักหรือ ที่ไหนจะทันเห็นใจมารดาท่าน ก็จะเสียการไป.."

นางซุนฮูหยินนั้นมีความรักมารดาเป็นกำลัง ดังหนึ่งเพลิงสุมอยู่ในหัวใจ อยากจะใคร่ไปเห็นมารดาโดยด่วน จึงเห็นชอบด้วย รีบจัดแจงแต่งตัวและให้สาวใช้สนิทสามสิบคนที่มาด้วยกันจากเมืองกังตั๋ง แต่งตัวรัดกุมถือศาสตราวุธครบมือ อุ้มอาเต๊ามาขึ้นรถ ขับออกจากเมืองไปลงเรือของจิวเสี้ยน ซึ่งจอดรออยู่ที่ท่าเรือ

พอดีจูล่งรู้ข่าวว่านางซุนฮูหยินจะไปเมืองกังตั๋ง ก็คุมทหารสี่คนตามมาที่ท่าเรือ เห็นกำลังถอนสมอจะออกเรือ ก็ร้องเรียกไว้ว่า

"...อย่าเพ่อถอยเรือไป หยุดอยู่ก่อน เราจะขอพูดด้วยนางซุนฮูหยินสักสองคำ....."

จิวเสี้ยนไม่รู้จักจูล่ง ก็ตวาดว่า
".....เอ็งนี้ผู้ใด จึงบังอาจมาห้ามนายไว้ฉะนี้ มิได้ยำเกรง....."

แล้วก็ให้ทหารในเรือจับศัสตราวุธไว้พร้อมมือ พร้อมกับสั่งให้เรือออก จูล่งก็ขับม้าตามมาบนริมตลิ่งแล้วว่า

".....ท่านจะไปก็ไปเถิด แต่ว่าข้าพเจ้าจะขอเจรจาคำนับสักหน่อยก่อน....."

จิวเสี้ยนก็ไม่สนใจเร่งทหารให้แจวเรือรีบไป จูล่งขับม้าเลียบตลิ่งตามมาประมาณร้อยเส้น เห็นเรือหาปลาลำหนึ่งจอดอยู่ริมตลิ่ง ก็ลงจากหลังม้าพาทหารสี่คนลงเรือ แจวตามเรือจิวเสี้ยนไปโดยเร็ว ตนเองถือทวนเงื้อง่าอยู่หัวเรือ ทหารของจิวเสี้ยนยิงเกาทัณฑ์มา จูล่งก็เอาทวนปัดหมดมิได้ถูก พอเทียบกับเรือจิวเสี้ยนแล้ว ก็ชักกระบี่ฟาดฟันกับทหารบนเรือใหญ่ ให้ทหารของตนขึ้นบนเรือได้หมด ทหารของจิวเสี้ยนกลัวฝีมือก็ถอยไป

จูล่งจึงเข้าไปในห้องเรือ เห็นนางซุนฉูหยินอุ้มอาเต๊านั่งอยู่ ก็เอากระบี่สอดเข้าฝักเสีย แล้วคำนับถามว่า ท่านจะไปไหน เหตุใดจึงมิได้แจ้งให้ขงเบ้งรู้ก่อน นางซุนฮูหยินก็บอกว่า

"...มารดาเราป่วยหนักจะรีบไป ไม่ทันไปบอกแก่ขงเบ้งแล้ว..."

จูล่งจึงว่า

“.....ซึ่งท่านจะไปเยือนมารดาก็ชอบแล้ว เหตุใดจึงเอาอาเต๊าไปด้วยเล่า....."

นางซุนฮูหยินก็ว่า

"...อาเต๊านี้เป็นบุตรของเล่าปี่ ก็เหมือนบุตรของเรา ด้วยตัวจะไปแล้วจะทิ้งลูกไว้กับเมือง เล่าปี่รู้ก็จะน้อยใจ ว่าเรามิรักลูก ประการหนึ่งจะไว้ใจแก่ผู้ใดมิได้ เวลาเจ็บไข้ผู้ใดจะรักษาพยาบาล เราจึงพาเอามาด้วย....."

จูล่งก็บอกว่า

".....เล่าปี่นายข้าพเจ้ามีบุตรผู้เดียว ที่เป็นสายโลหิตในอกรักดังดวงใจ แลเมื่อครั้งทุ่งเตียงปันโบ๋ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ตีฝ่าทหารร้อยหมื่น เข้าไปมิได้คิดแก่ชีวิต ก็เพราะประสงค์อาเต๊าแก้วตาของเล่าปี่ ปิ้มตัวข้าพเจ้าจะตายในท่ามกลางทหารโจโฉ ควรหรือท่านจะมาพาอาเต๊าดวงใจของเล่าปี่ไปด้วย....."

นางซุนฮูหยินฟังจูล่งพูดก็โกรธ ร้องว่า

"...เป็นแต่นายทหาร ควรหรือมาล่วงบังคับการในเรือเจ้าฉะนี้ โอหังหนักหนา ไสคอออกไปเสียให้พ้น....."

ว่าแล้วก็ให้สาวใช้เข้าไปฉุดจูล่ง จะให้ออกไปจากห้อง จู
ล่งสบัดสาวใช้ล้มกลิ้งกระเด็นไปสิ้นแล้วว่า

".....แม้ท่านจะขืนเอาอาเต๊าไป ถึงชีวิตของข้าพเจ้าจะตายอยู่ที่นี่ก็ตามเถิด ข้าพเจ้ามิให้เอาไป....."

พูดแล้วจูล่งก็โดดเข้าไปชิงอาเต๊า มาจากมือนางซุนฮูหยิน พาออกมายืนอยู่หัวเรือ แต่มิรู้ว่าจะขึ้นบกได้อย่างไร เพราะเรือที่ตนแจวตามมานั้น ก็ลอยไปไกลแล้ว จะเที่ยวฆ่าฟันทหารของจิวเสี้ยน ก็เกรงใจนางซุนฮูหยิน สาวใช้ที่มีฝีมือเข้มแข็งก็จะเข้ามาชิงเอาอาเต๊าคืนไป จูล่งก็ชักกระบี่ออกกวัดแกว่งป้องกันตัวอยู่ จิวเสี้ยนก็เร่งให้ทหาร แจวเรือข้ามไปฟากเมืองกังตั๋ง

พอดี เตียวหุย ซึ่งรู้เรื่องทีหลัง และยกพลลงเรือมาดักหน้าอยู่ จูล่งก็ดีใจ เมื่อเรือเข้ามาใกล้เตียวหุยก็คว้าทวนโจนขึ้นมาบนเรือ จิวเสี้ยนก็ชักกระบี่จะเข้าต่อสู้กับเตียวหุย เลยถูกเตียวหุยแทงล้มลง เตียวหุยก็ตัดศรีษะจิวเสี้ยนโยนเข้าไปในห้อง โดนนางซุนฮูหยิน นางก็ตกใจจึงว่าเหตุใดเตียวหุยจึงมาทำหยาบช้าต่อเราดังนี้ เตียวหุยจึงว่า

"..ท่านเป็นพี่สะใภ้ เมื่อมิได้รักพี่เราโดยสุจริต จะทิ้งเสียหนีไปเมืองมิได้ยำเกรงถึงเพียงนี้ เราว่าชอบกลับว่าทำหยาบช้าต่อท่านอีกเล่า..."

นางซุนฮูหยินจึงว่า

"....บัดนี้มารดาเราป่วยหนักจึงจะรีบไป ครั้นจะบอกพี่ท่านก่อนก็จะช้าอยู่ มิทันไปเห็นใจ ท่านทั้งสองจะขัดขวางไว้มิให้เราไป เราก็จะโจนน้ำตายเสีย....."

เตียวหุยปรึกษากับจูล่งแล้วก็เห็นใจ จึงว่าแก่นางซุนฮูหยินว่า

"...อันเล่าปี่พี่เราก็เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งท่านได้มาอยู่กับพี่เรา พี่เราก็กรุณาเอ็นดูมิสู้ได้ความอายนัก ถึงมาตรว่าตัวท่านจะไป ก็จงคิดถึงความอาลัยแต่หนหลัง ซึ่งได้เป็นภรรยาสามีกันตามประเพณีโลกทั้งปวง แล้วเร่งกลับมา....."

ว่าแล้วเตียวหุยก็เข้าอุ้มอาเต๊าพาจูล่งลงเรือกลับไป นางซุนฮูหยิน ก็เร่งทหารที่เหลือเพียงสิบคน ให้แจวเรือกลับไปเมืองกังตั๋ง

เมื่อได้พบกับซุนกวนพี่ชายแทนที่นางจะได้เห็นความเศร้าโศก และได้พบกับมารดา ซึ่งป่วยหนักรอเห็นใจอย่างที่คิด มารดากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเมื่อเล่าเรื่องการเดินทางกลับให้ฟัง ซุนกวนก็ว่า

"....บัดนี้น้องเรากลับมาได้แล้ว อันเล่าปี่กับเราก็ขาดจากประเพณี ที่จะผูกพันกันสืบไป เราจะยกทหารไปตีเอาเมืองเกงจิ๋วคืนให้จงได้...."

นางซุนฮูหยินจึงเป็นแต่เพียงเครื่องมือ ที่ซุนกวนได้ใช้สำหรับจะต่อรองทางการเมืองกับเล่าปี่เท่านั้น นางจึงหมดโอกาสที่จะกลับไปหาเล่าปี่อีก ดังที่เตียวหุยได้ขอร้องไว้ แม้มิได้ตั้งใจแต่ก็เหมือนกับทรยศต่อสามี ไม่มีใครจะล่วงรู้ถึงความรู้สึกในจิตใจของนางได้

เมื่อซุนกวนยกกองทัพไปรบชิงเอาเมืองเกงจิ๋วคืนมา โดยจับกวนอูผู้รักษาเมืองมาประหารชีวิตเสีย

จนกระทั่งเล่าปี่ได้ครองเมืองเสฉวน และประชาชนยกขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งจ๊กก๊ก แล้วก็ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋ง เพื่อแก้แค้นแทนกวนอูน้องร่วมสาบาน ซุนกวนซึ่งรู้ตัวว่าจะสู้ไม่ได้ จึงส่ง จูกัดกิ๋น ซึ่งเป็นพี่ชายของขงเบ้ง เป็นทูตไปเจรจาว่าจะคืนเมืองเกงจิ๋วให้ และย้ำว่า

"....อนึ่งนางซุนฮูหยินคิดถึงพระองค์นัก ซุนกวนใช้ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ให้แจ้งเนื้อความแล้ว ให้กลับไปพานางซุนฮูหยินมาถวาย...."
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่