ปรารภ กระทู้
http://pantip.com/topic/30219916/comment12
ชาติหน้าหลังเข้าโลง ไม่เป็นสัสสตทิฏฐิ อย่างไร?...
***********************************************
(๑) พระสูตร ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ท่าน "อมแล้วบ้วน (มุขปาฐะ)" ไว้ --ขนฺธ สํ ๑๗/๖๗/๑๐๖-๑๐๗
(อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๐๗ พุทธทาสภิกขุ)
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ สี่อย่าง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) พึงเห็นว่าเหมือนกับดิน (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
ภิกษุทั้งหลาย นันทิราคะ (ย้อมติดในความเพลินด้วยอวิชชา) พึงเห็นว่าเหมือนกับ น้ำ (มีอาการ เอิบอาบซึมซาบไหลซ่านฯ)
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย (คือ กรรม - เจตนาคือกรรม ตามนิพเพธิกสูตร / เจตนาคือ สังขารได้แก่ มโนสัญเจตนาฯ) พึงเห็นว่า เหมือนกับ พืชสด ทั้ง ๕ นั้น (พืชสดทั้ง ๕ คือ (๑) วิญญาณ + อาการที่ประกอบด้วยปัจจัย -- ที่ ตั้งอยู่ที่ (๒) รูป+ วิญญาณ (๓) เวทนา + วิญญาณ (๔) สัญญา + วิญญาณ (๕) สังขาร + วิญญาณ)
ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ (วิญญาณนั้น) ก็ตั้งอยู่ได้ เป็น วิญญาณที่มีรูป เป็นอารมณ์ (เมื่อตั้งอยู่ จึง) มีรูปเป็นที่ตั้งอาสัย
มีนันทิ (ความเพลิน - เนื่องกับมโนปวิจาร ๑๘ ? และ ยังมี จิตอนุเสติในรูป? ศึกษาพระสูตรนั้น..) เป็นที่ (จิต+ ความมืดอันใหญ่หลวงคือ อวิชชา) เข้าไปส้องเสพ
วิญญาณ (
ธาตุ - ธาตุ ๖ ที่ใครขัดไม่ได้) ก็ถึงวึ่งความเจริญ งอกงามไพบูลย์ (ขึ้น เป็น วิญญาณ
ขันธ์) ได้
(เวทนา สัญญา สังขาร ก็ เช่นเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใด
จะพึงกล่าว (เอง) อย่างนี้ว่า
"เรา ตถาคต จัก บัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ (ธาตุ ---- สู่ วิญญาณขันธ์ ใช่หรือไม่?)
โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร
ดังนี้นั้น
นี่
ไม่ใช่ ฐานะที่จะมีได้เลย
( --ขนฺธ สํ ๑๗/๖๗/๑๐๖-๑๐๗ )
ประเด็น --- ทำไม พระพุทธโฆษาจารย์จึงแต่ง วิญญาณกิจ ๑๔ (ได้แก่ จิต ๑๙) ขึ้น ?
ทำไม พระพุทธโฆษาจารย์จึงแต่ง วิญญาณกิจ ๑๔ (ได้แก่ จิต ๑๙) ขึ้น ?
ชาติหน้าหลังเข้าโลง ไม่เป็นสัสสตทิฏฐิ อย่างไร?...
***********************************************
(๑) พระสูตร ที่พระเถระครั้งปฐมสังคายนา ท่าน "อมแล้วบ้วน (มุขปาฐะ)" ไว้ --ขนฺธ สํ ๑๗/๖๗/๑๐๖-๑๐๗
(อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๒๐๗ พุทธทาสภิกขุ)
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ สี่อย่าง (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) พึงเห็นว่าเหมือนกับดิน (ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
ภิกษุทั้งหลาย นันทิราคะ (ย้อมติดในความเพลินด้วยอวิชชา) พึงเห็นว่าเหมือนกับ น้ำ (มีอาการ เอิบอาบซึมซาบไหลซ่านฯ)
ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัย (คือ กรรม - เจตนาคือกรรม ตามนิพเพธิกสูตร / เจตนาคือ สังขารได้แก่ มโนสัญเจตนาฯ) พึงเห็นว่า เหมือนกับ พืชสด ทั้ง ๕ นั้น (พืชสดทั้ง ๕ คือ (๑) วิญญาณ + อาการที่ประกอบด้วยปัจจัย -- ที่ ตั้งอยู่ที่ (๒) รูป+ วิญญาณ (๓) เวทนา + วิญญาณ (๔) สัญญา + วิญญาณ (๕) สังขาร + วิญญาณ)
ภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณ ซึ่งเข้าถือเอารูป ตั้งอยู่ (วิญญาณนั้น) ก็ตั้งอยู่ได้ เป็น วิญญาณที่มีรูป เป็นอารมณ์ (เมื่อตั้งอยู่ จึง) มีรูปเป็นที่ตั้งอาสัย
มีนันทิ (ความเพลิน - เนื่องกับมโนปวิจาร ๑๘ ? และ ยังมี จิตอนุเสติในรูป? ศึกษาพระสูตรนั้น..) เป็นที่ (จิต+ ความมืดอันใหญ่หลวงคือ อวิชชา) เข้าไปส้องเสพ
วิญญาณ (ธาตุ - ธาตุ ๖ ที่ใครขัดไม่ได้) ก็ถึงวึ่งความเจริญ งอกงามไพบูลย์ (ขึ้น เป็น วิญญาณขันธ์) ได้
(เวทนา สัญญา สังขาร ก็ เช่นเดียวกัน)
ภิกษุทั้งหลาย
ผู้ใด
จะพึงกล่าว (เอง) อย่างนี้ว่า
"เรา ตถาคต จัก บัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ (ธาตุ ---- สู่ วิญญาณขันธ์ ใช่หรือไม่?)
โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร
ดังนี้นั้น
นี่
ไม่ใช่ ฐานะที่จะมีได้เลย
( --ขนฺธ สํ ๑๗/๖๗/๑๐๖-๑๐๗ )
ประเด็น --- ทำไม พระพุทธโฆษาจารย์จึงแต่ง วิญญาณกิจ ๑๔ (ได้แก่ จิต ๑๙) ขึ้น ?