"ชาญวิทย์-ธำรงศักดิ์-ศิโรตม์ "ชำแหละเกมปลุกกระแส "ยึดกรุง" ...วิเคราะห์..ข่าวสดออนไลน์

รายงานพิเศษ ข่าวสด 7 มีนาคม 2556


การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันที่ ดุเดือดและมีการเดิมเกมใต้ดิน
เพื่อห้ำหั่นฝ่ายตรงข้าม

นอก จากนำเหตุการณ์เก่าๆ มาโจมตีกันแล้ว ยังจุดกระแสข้าศึกยึดกรุง
ไม่เลือกเราเขามาแน่ เพื่อหวังแต้มต่อทางการเมือง ทั้งที่กรณีดังกล่าว
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้งที่จะต้องแข่งกันเสนอนโยบาย

นักวิชาการที่ติดตามการหาเสียง มีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้



ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

นักประวัติศาสตร์

และอดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์


..................................................................

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

ประธานหลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต ม.รังสิต


....................................................................



ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์



การ ที่ฝ่ายหนึ่งนำอุดมการณ์เรื่องศัตรูหรือยึดเมืองมาใช้ เพราะต้องการให้ยุทธศาสตร์
ดังกล่าวเป็น อุปลักษณ์ในการทำให้คนกรุงเทพฯ รู้สึกว่า กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก
ภายนอกร่วมกัน


โดยหว่านล้อมคนกรุงให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู


แนว คิดนี้อยู่บนพื้นฐานความกลัวภัยคุกคาม และวางอยู่บนการใช้อุปลักษณ์แบบ
สงคราม-ข้าศึกมามองคนในชาติ ทั้งที่ไม่ใช่คนที่จะทำให้เสียกรุงได้จริงๆ


แต่เป็นคนที่มองต่างกัน และขัดแย้งกันในทางความคิดทางการเมืองเท่านั้น


การ ชูประเด็นเรื่องยึดเมืองนี้จะตอก ย้ำความแตกแยกของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม
ทั้งที่การต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องของความคิดหรือนโยบาย จึงไม่ควรที่ฝ่ายใด
จะเอาเรื่องศัตรูหรือการยึดเมืองมาทำให้คนหวาดระแวงกัน


แต่ เข้าใจว่าฝ่ายที่ใช้ยุทธศาสตร์นี้เพราะกลัวว่าเสียงจะแตก กังวลว่าคะแนนเสียง
ของตัวเองจะกระจัดกระจาย ไม่เป็นเอกภาพ จึงไม่รู้จะหาแนวทางใดมาใช้หาเสียง
สู้ศึกได้มากเท่าวิธีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นปัญหาของฝ่ายที่ใช้ว่า ไม่มีผู้นำหรือ
ผู้สมัครที่เชื่อว่าจะสู้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงไม่มีอุดมการณ์หรือพลังใน
การรวมคน จึงต้องสร้างอุดมการณ์เหล่านี้ขึ้นมา


อุดมการณ์แบบนี้ เป็นอุดมการณ์ที่สร้างความเป็นศัตรู ไม่ควรถูกนำมาใช้อย่าง
สิ้นเชิงกับการเมือง หรือความขัดแย้งภายในประเทศ แต่อาจจะเข้าใจได้หาก
ใช้กับความขัดแย้งภายนอก


เพราะ เมื่อใดก็ตามที่เรามองความขัดแย้งทางการเมืองด้วยความเป็นศัตรู แสดงว่า
โอกาสที่เราจะฟังฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มี รวมถึงโอกาสที่จะอยู่ร่วมกับฝ่ายตรงข้ามที่มี
ความคิดเห็นแตกต่างกัน ก็แทบไม่มีด้วย



กลายเป็นการเผชิญหน้าอย่างแตกหัก แบ่งเขาแบ่งเรา เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น


สำหรับ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ ผู้สมัครพูดเรื่องนโยบายน้อย มีความพยายาม
ดึงกลุ่มคนต่างๆ ที่ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองมามีบทบาทค่อนข้างน้อย ต่างจากปีก่อนๆ


ขณะที่ภาคประชาชนเองก็ไม่มีการรวมกลุ่ม หรือความกระตือรือร้นในการเข้ามาต่อรอง
ซึ่งเป็นผลมาจากการเมืองแบบแบ่งขั้วหลังปี 2549


ที่ ประชาชนมีความรู้สึกว่า ต้องเลือกผู้สมัครจากพรรคที่ตัวเองชอบมากกว่าจะดู
ผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ จากนโยบาย รวมถึงความเป็นไปได้ของนโยบายที่แต่
ละคนนำเสนอ


การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นภาพสะท้อนการเมืองระดับชาติมากเกินไป ทำให้ไม่เป็นช่อง
ทางในการผลักดันนโยบายสาธารณะไปสู่เวทีท้องถิ่น


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1362634853&grpid=&catid=01&subcatid=0100

ตามไปอ่านกันเต็มๆ จาก link  นะคะ ด้วยความลำเอียง  ขอแปะเฉพาะ
ของอ.จ.ศิโรตน์...ค่ะ  เพราะนามสกุลเดียวกับ ส.ส.ปชป.  องอาจ คล้ามไพบูลย์ ค่ะ
ใครจะว่าไงก็ได้   อยากอ่านของคตนอื่นด้วย  ตาม Link  ไปได้เลย
ตกลง ...  คนกทม.  เขากลัวยึดกรุงไหม ????
เห็น..ปชป.เขาขู่ ...แล้ว  เขาก็ชนะเลือกตั้ง ...จะเป็น ซ.ต.พ.  ได้ไหม?



ยิ้มยิ้มยิ้ม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่