ไทย ยื่น ขอจดจีไอข้าวสังข์หยดกับอียู และมีแผนจดเส้นไหมภาคอีสานกับเวียดนาม
นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาเตรียมยื่นขอจดสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของข้าวสังข์หยด จ.พัทลุง ซึ่งข้าวสังข์หยดถือว่าเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยแก้ปัญหาโรคเบาหวาน และปัจจุบันมีการส่งออกไปในตลาดยุโรปอยู่แล้ว กับทางคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) หลังจากที่ทางอียู ได้ขึ้นทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นสินค้าจีไอ มีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2556 ณ กรุงบรัสเซลส์ สาธารณรัฐเบลเยียม ซึ่งถือเป็นสินค้าข้าวรายแรกในอาเซียนที่ได้รับจดจีไอในอียู
นอกจากอียูแล้ว ขณะนี้ รัฐบาลจีนได้เสนอที่จะขอทำเอ็มโอยู เกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับไทย และได้ชักชวนให้ไทยนำข้าวหอมมะลิไปจดทะเบียนจีไอที่จีนด้วย เนื่องจากคนจีนมีความนิยมในข้าวหอมมะลิไทยอยู่แล้ว ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นข้าวที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และยโสธร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งถือเป็นดินแดนที่มีทั้งความแห้งแล้ง ธาตุอาหารและความเค็มของดิน ผนวกกับสภาพอากาศ ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียด และหลั่งสารหอมส่งผลให้ข้าวมีความหอมมากกว่า ข้าวหอมมะลิอื่น
การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองเป็นสินค้าจีไอของสหภาพยุโรป จะมีผลทำให้ข้าวดังกล่าวใช้ตรา Protected Geographical Indication ของสหภาพยุโรปติดที่สินค้าได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จะเป็นการสร้างรายได้ กระจายตลาดส่งออกให้กับข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ให้สามารถขายข้าวได้ในราคาพรีเมียมในตลาดโลก
ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยยังมีแผนจะ ยื่นขอจีโอในสินค้าเส้นไหมของภาคอีสานในเวียดนาม และในอียูในอนาคต เนื่องจากเส้นไหม จะจัดอยู่ในรายสินค้าหัตถกรรม ที่ไม่ใช้สินค้าเกษตร (non-agriculture items) ที่สามารถยื่นขอจดจีไอได้ ซึ่งไทยมีสินค้าผ้าไหมไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก
สำหรับความคืบหน้าในการปรับปรุงกฎหมายเครื่องหมายการค้าโดยเพิ่มเรื่องกลิ่นและเสียงให้สามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้นั้น นางปัจฉิมา กล่าวว่า ล่าสุดจากการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภา ที่ประชุม มีความเห็นว่า ให้เลื่อนการใช้ กฎหมายเครื่องหมายการค้าเรื่องกลิ่นและเสียงออกไป อีก 2 ปี ซึ่งทำให้กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ล่าช้าออกไปเป็นเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งการบังคับใช้ที่ล่าช้าก็จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถยื่นจดกลิ่น และเสียงในสินค้าที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้
ไทยจดทะเบียนข้าวสังหยด ไม่เกี่ยวกับหุ้น แต่เอามาเล่า เป็นข้าวที่อร่อยมาก สายพันธุ์หนึ่งเลย
นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาเตรียมยื่นขอจดสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของข้าวสังข์หยด จ.พัทลุง ซึ่งข้าวสังข์หยดถือว่าเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ช่วยแก้ปัญหาโรคเบาหวาน และปัจจุบันมีการส่งออกไปในตลาดยุโรปอยู่แล้ว กับทางคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) หลังจากที่ทางอียู ได้ขึ้นทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นสินค้าจีไอ มีผลในวันที่ 4 มีนาคม 2556 ณ กรุงบรัสเซลส์ สาธารณรัฐเบลเยียม ซึ่งถือเป็นสินค้าข้าวรายแรกในอาเซียนที่ได้รับจดจีไอในอียู
นอกจากอียูแล้ว ขณะนี้ รัฐบาลจีนได้เสนอที่จะขอทำเอ็มโอยู เกี่ยวกับสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์กับไทย และได้ชักชวนให้ไทยนำข้าวหอมมะลิไปจดทะเบียนจีไอที่จีนด้วย เนื่องจากคนจีนมีความนิยมในข้าวหอมมะลิไทยอยู่แล้ว ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยเป็นข้าวที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และยโสธร ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งถือเป็นดินแดนที่มีทั้งความแห้งแล้ง ธาตุอาหารและความเค็มของดิน ผนวกกับสภาพอากาศ ส่งผลให้ข้าวเกิดความเครียด และหลั่งสารหอมส่งผลให้ข้าวมีความหอมมากกว่า ข้าวหอมมะลิอื่น
การที่ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยได้รับการจดทะเบียนคุ้มครองเป็นสินค้าจีไอของสหภาพยุโรป จะมีผลทำให้ข้าวดังกล่าวใช้ตรา Protected Geographical Indication ของสหภาพยุโรปติดที่สินค้าได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า จะเป็นการสร้างรายได้ กระจายตลาดส่งออกให้กับข้าวหอมมะลิในเขตพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ของไทย ให้สามารถขายข้าวได้ในราคาพรีเมียมในตลาดโลก
ส่วนในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยยังมีแผนจะ ยื่นขอจีโอในสินค้าเส้นไหมของภาคอีสานในเวียดนาม และในอียูในอนาคต เนื่องจากเส้นไหม จะจัดอยู่ในรายสินค้าหัตถกรรม ที่ไม่ใช้สินค้าเกษตร (non-agriculture items) ที่สามารถยื่นขอจดจีไอได้ ซึ่งไทยมีสินค้าผ้าไหมไทยที่โด่งดังไปทั่วโลก
สำหรับความคืบหน้าในการปรับปรุงกฎหมายเครื่องหมายการค้าโดยเพิ่มเรื่องกลิ่นและเสียงให้สามารถจดเป็นเครื่องหมายการค้าได้นั้น นางปัจฉิมา กล่าวว่า ล่าสุดจากการพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภา ที่ประชุม มีความเห็นว่า ให้เลื่อนการใช้ กฎหมายเครื่องหมายการค้าเรื่องกลิ่นและเสียงออกไป อีก 2 ปี ซึ่งทำให้กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ ล่าช้าออกไปเป็นเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งการบังคับใช้ที่ล่าช้าก็จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ที่ทำธุรกิจ ทำให้ไม่สามารถยื่นจดกลิ่น และเสียงในสินค้าที่ตนเองคิดค้นขึ้นมาใหม่ได้