ตอบรายการสัญญา คุนากร (ไม่ใช่คุณากร) เกี่ยวกับเรื่องน้ำมัน ... มาช้ายังดีกว่าไม่มา

สืบเนื่องจาก Forward mail และ การแชร์ข้อความปาหี่ใน social media ถ้าใครเคยผ่านตาคงจะคุ้นกันนะครับ ตามรูปเลย


ผมรู้ว่ามันเก่ามากแล้ว และชาว pantip ก็ตีพวกที่เอามาโพสต์ซะแตกกระเจิงไปแล้ว แต่ผมเห็นพักนี้มันยัง dejavu กลับมาหลอนกันอีกรอบ ผมเลยอยากเอามารวบรวมและตีมันให้กระเจิงใหม่ในกระทู้เดียวอันนี้

เผื่ออีกหน่อยมันกลับมาสร้างความรำคาญอีก ก็ถือซะว่าเอากระทู้นี้ไปแปะลิ้งค์ไว้ตอบมันเลยก็แล้วกัน
มาเริ่มกันเลยนะ


> > ใครดูรายการของคุณสัญา คุนากร
> > ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ
> > ทางคุณสัญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง
> > ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงานในสมัยพลเอกเปรม
> > ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ
> > ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
> > ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.)
> > เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน ใช้น้ำมันสำเร็จรูปประมาณ7-800,000 บาเรลต่อวัน
> > เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน
> > ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ
เม่าเซย์โนขอแทรกหน่อยนะ ประเทศไทยผลิตน้ำมันดิบได้ไม่ถึง 10% ของความต้องการใช้ในประเทศไทย  ที่ผลิตได้มากหน่อยคือก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำลังร่อยหรอลงมากแล้ว  ขณะนี้ต้องซื้อก๊าซธรรมชาติจากพม่าส่งผ่านท่อเข้ามาทางกาญจนบุรี เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า  ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยสามารถเอามาแยก(ผ่านโรงแยกก๊าช1-5--โรงที่6 ถูกศาลปกครองกลางสั่งให้หยุดดำเนินการ ทั้งๆที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว พร้อมที่จะเริ่มดำเนินการ และมี emission ต่ำมาก)เป็นก๊าชหุงต้ม (Liquified Petroleum Gas--LPG) ชึ่งใช้ในครัวเรือน ร้านอาหาร โรงงานอุตสาหกรรม และในรถยนต์บางส่วน  จึงมีความต้องการก๊าซหุงต้มจำนวนมาก รัฐบาลตรึงราคาไว้ที่ประมาณ 320 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในขณะที่ ราคานอกประเทศสูงถึง 800-1,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน  บริษัทน้ำมันอื่นๆนอกเหนือจาก ปตท. ส่งออกไปขายนอกประเทศบางส่วน ในขณะที่ ปตท. แบกรับภาระในการนำเข้าในราคาที่แพง แล้วขายในราคาที่รัฐบาลกำหนด  โดยไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้รับเงินชดเชยครบ
กำลังการผลิค 1 ล้านบาเรลต่อวันนั้น เป็นกำลังการผลิดน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่น(แยกน้ำมันดิบให้เป็นน้ำมันสำเร็จรูปชนิดต่างๆ)รวมทั้งโรงแยกก๊าซของ ปตท.ด้วย  ดังนั้น ที่อ้างว่าเมืองไทยมีกำลังผลิต 1 ล้านบาเรลนั้น ไม่ใช่กำลังผลิดน้ำมันดิบ แต่เป็นน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซหุงต้ม


> > เเละที่เเย่กว่านั้น..น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร
> > ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ
เม่าเซย์โนราคาน้ำมันในประเทศแพงกว่าประเทศมาเลเซียเพราะในราคาน้ำมันที่ปั๊มนั้น มีภาษีสรรพสามิตลิตรละหลายบาท เงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกลิตรละหลายบาท นอกนั้นก็เป็นค่าน้ำมันดิบ ค่าการกลั่น ค่าขนส่ง และค่าการตลาด (ซึ่งถัวเฉลี่ยแล้วค่าการตลาดจะได้ประมาณลิตรละ 0.60-1.50 บาท ซึ่งบริษัทน้ำมันต้องแบ่งให้เจ้าของปั๊มประมาณลิตรละ 0.50-0.75 บาท)  ในการส่งออก ไม่มีภาษีสรรพสามิต ไม่ต้องส่งเงืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่มีค่าการตลาด ราคาส่งออกจึงต่ำกว่าราคาขายในประเทศ อนึ่ง ในบางครั้งโรงกลั่นต้องขายในราคาที่ขาดทุนเพราะถ้าไม่ขาย น้ำมันค้างสต๊อกจะล้นถังซึ่งทำให้ต้องปิดโรงกลั่น(Shut down) ซึ่งจะเกิด waste จำนวนมาก และจะต้องใช้เวลามากในการเริ่มกลั่นใหม่ (Start up) รวมแล้วค่าใช้จ่ายจะสูงมาก จึงต้องยอมขายขาดทุนเฉพาะล็อต


> > ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น
> > ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล
> > ราคาที่ปรับขึ้นทีละ . 50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน
> > เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด
> > ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง
เม่าเซย์โนน้ำมันดิบที่นำเข้าโรงกลั่นที่อินเดีย สิงคโปร์ ไทย ญื่ปุ่น ส่วนใหญ่ (90++%) มาจากตะวันออกกลาง ราคาจะอ้างอิงน้ำมันดิบดูไบ ไม่ใช่น้ำมันดิบเบร้น หรือเท็กซัสอินเทอมิเดียด ที่โทรทัศน์ชอบเอามาอ้างอิง  ราคานี้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ในขณะนั้นๆ ดังนั้น ราคาจึงขยับขึ้น/ลงตลอดเวลา ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปนั้น ที่ใช้ราคาหน้าโรงกลั่น(ค่าน้ำมันดิบ+ค่าการกลั่น)ที่สิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิง เพราะสิงคโปร์มีกำลังการผลิต-โรงกลั่น-สูงเกินความต้องการใช้ในประเทศมาก ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จึงส่งออกไปยังประเทศต่างๆในภาคพื้นนี้ (ถ้าประเทศไทยตั้งราคาเองตามใจชอบ ถ้าราคาหน้าโรงกลั่นไทยเราสูงกว่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์+ค่าขนส่ง ก็จะมีการลักลอบนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเข้าประเทศไทยจำนวนมหาศาลเพราะกำไรดี โรงกลั่นไทยก็ต้องลดการผลิตลง รัฐบาลก็ขาดรายได้ลงไป และยังต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายนำจับผู้ลักลอบนำเข้า ในทางกลับกัน ถ้าราคาหน้าโรงกลั่นไทย+ค่าขนส่งต่ำกว่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์  ก็จะมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปจากประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆที่ต้องการน้ำมันสำเร็จรูปราคาถูก โรงกลั่นไทยก็ต้องพยายามผลิตเต็มกำลังผลิต แต่รัฐบาลก็จะได้ภาษีลดลงเพราะส่งออกไม่มีภาษี  ดังนั้น ประเทศไทยจะเสียทั้งขึ้นทั้งล่องหากไม่ใช้ราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอิง  ราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ก็ต้องเทียบราคาหน้าโรงกลั่นที่ตะวันออกกลาง ยุโรป และอเมริกาเช่นกัน มีฉะนั้น ก็จะเกิดการไหลไปมาของสินค้า-arbitrage-เหมือนกัน)


> > เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ
เม่าเซย์โนStock น้ำมันตามกฎหมายนั้น กำหนดไว้ว่าต้องมีพอใช้ได้ 28 วัน-ถ้ายังไม่มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์-  ดังนั้น โรงกลั่นก็ต้องเก็บสต็อกไว้อย่างน้อยที่สุด คีอ 28 วัน แล้วต้องมีสต็อกสำหรับขาย และ น้ำมันที่ค้างในกระบวนการกลั่นอีก โดยรวมโรงกลั่นจะมีน้ำมันดิบและสำเร็จรูป ประมาณ 35-45 วัน ถ้าผลิตเต็มที่ ก็จะต้องมีเก็บสต็อก 35-45 ล้านบาเรล คูณบาเรลละ 80 เหรียญสหรัฐ ก็เป็นเงินประมาณ 2,800-3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ  คูณ 35.- บาท แล้วคิดดอกเบี้ยดู นี่เป็นภาระที่โรงกลั่นต้องแบกรับ (ที่ญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่านการเก็บสต็อกน้ำมัน) นอกจากโรงกลั่นแล้ว ผู้ค้าน้ำมันที่เป็นบริษํทแยกต่างหากจากโรงกลั่น เช่น ปตท. จะต้องเก็บสำรองน้ำมันสำเร็จรูปอีกไม่น้อยกว่า 28 วันเช่นกัน ซึ่งเมื่อรวมสต็อกตามคลังทั่วประเทศ ปตท.ในฐานะผู้ค้าน้ำมันก็มีสต็อกประมาณ 45-60 วัน ในขณะที่เอสโซ่เป็นทั้งโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันสำเร็จรูป ต้องสำรองน้ำมันครั้งเดียว
การที่มีข้อกำหนดนี้ ก็เพื่อป้องกันการขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปสำหรับประชาชน ป้องกันไฟฟ้าดับ (Brown out / Black out) และป้องกันการขาดยุทธปัจจัยสำหรับกองทัพ  (เพราะการรอเรือเข้าท่า-ไม่แน่นอน- การโหลดน้ำมันดิบ-ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน- การเดินเรือจากตะวันออกกลางมาไทย-ประมาณ 24 วัน- การขนถ่ายน้ำมันดิบเข้าถัง-1-2 วัน - การตรวจวัดปริมาณน้ำมันผ่านพิธีการศุลกากร)


> > พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย
> > คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่
> > ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร )
> > 2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ . 50 บาท ลองคูณดู
เม่าเซย์โนราคาน้ำมันดิบและสำเร็จรูปในต่างประเทศขึ้น/ลงวันละหลายครั้ง เพื่อลดปัญหา บริษัทที่ค้าน้ำมันจึงมักจะดูแนวโน้มว่าราคาจะทรงหรือขึ้นต่อไปอีก แล้วจึงจะปรับราคา ปกติ ปตท.จะเป็นผู้นำในการลดราคา แต่จะขึ้นราคาช้ากว่าหรือพร้อมกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันอื่น
เหตุที่ต้องปรับราคาน้ำมันในสต็อกด้วยนั้น เป็นไปตามหลักการบัญชีสากล ถ้าราคาปรับขี้นก็เป็นStock Gain ถ้าราคาปรับลงก็เป็นStock Loss หลักเกณฑ์นี้ใช้เหมือนกันทั่วโลก เช่นเดียวกับราคาทองคำ และ สินค้าอื่นๆ  การปรับนี้เป็นการปรับตัวเลขทางบัญชีให้สะท้อนสภาพความเป็นจริงของตลาด
ค่าใช่จ่ายในการเก็บสำรองนี้ เอกชนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นนั้น รวมเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ  ไม่สามารถเอามาคำนวณเพื่อเพิ่มค่าการกลั่นของโรงกลั่นได้เพราะราคาหน้าโรงกลั่นไทยใช้ราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์เป็นราคาอ้างอืง  และไม่สามารถนำมาเพิ่มค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันได้เพราะรัฐบาลคอยเช็คค่าการตลาดอยู่ตลอดเวลา  บ่อยครั้งที่ค่าการตลาดไม่คุ้มค่าต้นทุนที่ลงไป  นั่นคือสาเหตุที่ผู้ค้าน้ำมันอื่น เช่น Jet Esso Caltex ขายปั๊มน้ำมัน  ปตท.เองก็ขาดทุนเหมือนกัน  แต่ไม่สามารถขายทิ้งได้ เพราะเป็นปัญหาที่จะกระทบต่อประชาชนและความมั่นคงของประเทศ ปคท.จึงยังค้องทนแบกรับการขาดทุนจากธุรกิจนี้ แล้วเอากำไรจากธุรกิจก๊าซและบริษัทลูกรวมทั้งโรงกลั่นมาเฉลี่ยผ่านทาง Transfer Prices


> > บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะมีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน
> > รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง
เม่าเซย์โนตามพรบ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โรงกลั่นบางจากต้องโอนมาเป็นของ ปตท.100% ซึ่งในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ จะต้องใช้ระเบียบสำนักนายก ว่าด้วยการจัดหาพัสดุ ซึงในทางธุรกิจปิโตรเลียมไม่สามารถทำได้เพราะธุรกรรมต้องตกลงกันภายในเวลาไม่กี่นาที  จึงต้องจัดตั้งเป็นบริษัทแยกต่างหากจาก ปตท. โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่  ปตท. ถือหุ้นส่วนน้อย
โรงกลั่นไทยออยล์นั้น กระทรวงกลาโหมและกระทรวงอุตสาหกรรมยึดคืนมาจากผู้รับสัมปทาน เพราะผู้รับสัมปทานได้ซื้อน้ำมันดิบในโควต้ารัฐบาล แต่ไม่ได้นำเข้ากลั่นในประเทศไทยทั้งจำนวน (ทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศไทย) และนำบางส่วนไปขายที่สิงคโปร์ เพราะในขณะนั้น รัฐบาลควบคุมราคาขายปลีกซึ่งต่ำกว่าราคาที่ต่างประเทศ ทำให้โรงกลั่นขาดทุนมาก  เมื่อยึดมาแล้ว ก็ได้มอบหมายให้ ปตท. เข้าไปซื้อหุ้น บ. ไทยออยล์ แทนรัฐบาล ต่อมาได้เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ลดลงเหลือประมาณ 49%
โรงกลั่นระยองและโรงกลั่นสตาร็รีไฟนิ่ง เป็นการร่วมทุนระหว่างShell 64 %กับ ปตท.36% และ Caltex 64 %กับ ปตท.36% มูลค่าการลงทุน 2,400 และ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ  โดยทำการกู้เงินมาลงทุนก่อสร้าง  เมื่อก่อสร้างเสร็จ เป็นช่วงที่มี supply มากกว่า demand ราคาน้ำมันตกต่ำ ทั้งสองโรงมีปัญหาขาดทุนแห่งละหลายหมื่นล้านบาท  ทั้ง Shell และ Caltex ได้เจรจาต่อรองกับกลุมธนาคารผู้ให้กู้หลายครั้ง  Shell เจรจาไม่สำเร็จ ปตท.จึงได้ซื้อหุ้นส่วนของ Shell ทั้งหมด
เมื่อทำการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จึงได้นำเข้าตลาดหลักทรัพย์และต่อมาได้ควบรวมกับบ.ไทยอะโรมาติกส์ กลายเป็น PTTAR สัดส่วนการถือหุ้นของปตท.ลดลงเหลือประมาณ49%  ส่วน Caltex สามารถตกลงกับธนาคารผู้ให้กู้สำเร็จ ปตท.ก็ยังคงถือหุ้นส่วนน้อย-36%-ในโรงกลั่นสตาร์รีไฟนื่งต่อไป
โรงกลั่น IRPC นั้น มีปัญหาขาดทุนจำนวนมาก หนี้สินล้นพ้นตัว ธนาคารผู้ให้กู้จึงเข้ายึดกิจการ  กระทรวงการคลังจึงให้ ปตท. ธนาคารออมสิน และ กบข.เข้าซื้อหุ้น IRPCจากธนาคารบางส่วน และเจรจาต่อรองกับธนาคารผู้ให้กู้ เพื่อจัดโครงสร้างหนี้และผู้ถือหุ้นใหม่  ปตท.จึงมีหุ้นใน IRPCจำนวนหนึ่ง และเพื่อปกป้องเงินลงทุนและมีประสพการณ์ในการบริหารโรงกลั่น ปตท.จึงส่งพนักงานเข้าไปร่วมบริหาร IRPC
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ปตท.เป็นเครื่องมือของรัฐในการแก้ปัญหาในธุรกิจพลังงานมาโดยตลอด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่