บทที่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์กับภูตวิหค
http://pantip.com/topic/30132632
บทที่ 2 ลักพาตัว
http://pantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว
http://pantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว
“ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว”
บุรุษผู้มาจากหมู่บ้านมนตร์ขาวแต่กลับร่ายมนตร์ดำได้คล่องแคล่วจนน่าแปลกใจบอกเมื่อมองออกไปจากถ้ำหินขาว
“เราจะกลับไปที่หมู่บ้านกันก่อนเพื่อพักผ่อนในคืนนี้ แล้วค่อยปรึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลไป เราสัญญาว่าจะช่วยหาทางพาเธอกลับไปยังที่ที่เธอมา”
องค์หญิงฟาลเนียก็ยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลหลายร้อยไมล์ รู้สึกอุ่นใจและคลายวิตกลงไปมาก ทั้งที่เพิ่งพบกันโดยแทบไม่รู้เลยว่าแท้จริงนั้นเขาเป็นใคร แต่เธอก็เลือกที่จะไว้ใจเขา แม้ว่ายังไม่เห็นหนทางแจ้งชัด แต่เอดิออทรับปากเช่นนั้นก็เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องพาเธอกลับไปยังนครกลามีธีสโดยสวัสดิภาพแน่นอน
องค์หญิงกล่าวขอบคุณออกมาจากใจ ค้อมศีรษะให้โดยปราศจากอาการเย่อหยิ่งถือตนอะไรทั้งสิ้น ส่วนเขาก็พยักหน้านิดนึงส่งยิ้มกลับมาให้ด้วยความเต็มใจ ใบหน้ารูปไข่ทำให้เจ้าตัวดูอ่อนเยาว์ ตาของเขาหยี๋คว่ำเหมือนจันทร์ครึ่งดวง ฟันขาวเรียงมีเขี้ยวเสริมรอยยิ้มให้ชวนมอง ถึงแม้จะไม่โดดเด่นสะดุดตาเมื่อแรกพบ แต่พอมองไปนานๆก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มน่ารักและหน้าตาน่า เอ็นดูคนหนึ่ง เธอยอมรับในใจขณะเดินเคียงกันโดยมีเขาเดินนำหน้าเล็กน้อยเพื่อนำทาง
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแล้วก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระจันทร์ปรากฏให้เห็นทางทิศตะวันออกเลือนลาง
ท่างกลางความมืดที่โรยตัวลงมาปรกคลุมผืนป่า และขุนเขาอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน อากาศเริ่มเย็นตัวลง กลิ่นอายของป่าชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงนกเค้าแมวร้องหาคู่ สลับกับเสียงเห่าหอนของหมาป่า และสัตว์ที่เริ่มออกออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืน ฟังดูน่าขนลุกเย็นไปถึงสันหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความมืด อันเต็มไปด้วยเงาหลอนหลอกของกิ่งไม้งอหงิก
จนองค์หญิงดินเข้ามาชิดใกล้จนไหล่กระทบกับแขนของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
แต่พอรู้สึกตัวก็ขยับถอยออกมารักษาระยะห่างพอประมาณ กลางคืนที่เธอรู้จักคือความอบอุ่นบนเตียงนอนอันอ่อนนุ่ม และแสงไฟที่ไม่เคยริบหรี่ มีแต่ความสว่างไสวตลอดคืนวัน ความมืดของป่านับเป็นสิ่งน่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับองค์หญิงผู้มีชีวิตสมบูรณ์พร้อมไม่เคยลำบากต้องมาเดินย่ำดินฝ่าดง
ชายหนุ่มผู้เป็นมิตรกับราตรีสังเกตเห็นว่าฝ่ายหญิงสาวมีแต่ความหวาดกลัว จึงส่งมือของเขาให้แล้วกระซิบบอกว่า
“จับมือเอาไว้จะได้ไม่หลง”
องค์หญิงลังเลอยู่อึดใจด้วยความถือตัว ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังใกล้เข้ามาจนเธอสะดุ้ง คว้ามืออีกฝ่ายไว้มั่นเหมือนกลัวว่าร่างนั้นจะอันตรธานหายไป เขาบีบมือนุ่มนิ่มเหมือนขนเป็ดอันสั่นเทาเบาๆเพื่อปลอบโยน ขณะพากันเดินฟันฝ่าเข้าไปในความมืดมิด ดอกไม้ชนิดหนึ่งเบ่งบานในยามราตรี ส่งกลิ่นหอมขจรฟุ้งมาพร้อมลมดึกที่พัดโชยมา ช่วยให้ความอ่อนล้าคลายลง
ในไม่ช้าทั้งสองก็โผล่พ้นแนวป่ามาถึงหมู่บ้านที่ถูกเรียกว่าหมู่บ้านมนตร์ขาว ราวกับสถานที่แห่งนี้มีพลังในการเยียวยารักษากระจายอยู่ทุกอณู ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าแช่มชื่นขึ้นมา สูดหายใจรับเอาความสดชื่นเข้ามาเต็มปอด อาศัยแสงไฟจากตะเกียงที่ห้อยติดกับเสาหลักเป็นระยะๆ ตลอดแนวถนนเส้นเล็กๆปูพื้นด้วยหินสีขาวตัดเข้ามายังหมู่บ้าน เจ้าหญิงผู้ผลัดถิ่นมองดูบ้านแต่ละหลังปลูกแยกไม่ห่างจากกันนักด้วยความสนอกสนใจ ภายนอกมีความต่างกันอยู่บ้างเรื่องรูปทรง แต่ทุกหลังมีลักษณะเหมือนกันคือสร้างด้วยอิฐดินสีขาว ที่ทำมาจากเนื้อดินสีขาวตามธรรมชาติผสมกับวัสดุอื่นๆในอัตราส่วนอันเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์มีความคงทนแข็งแรงอย่างมาก
ไกลออกไปมีบ้านหลังเดียวโดดเดี่ยวอยู่ในสุด แยกห่างจากหลังอื่นออกมาเป็นเอกเทศ เห็นเด่นชัดแต่ไกลเนื่องจากมีไม้ใหญ่เลื้อยคลุมแผ่รากรุงรังของมันเต็มหลังคา กิ่งก้างสีขาวดอกไม่สีขาวบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็รู้ว่ากลิ่นหอมทำให้รู้สึกสดชื่นมาจากดอกไม้ชนิดนี้นั่นเอง
เขาเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน แต่ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปเธอหันมาถามเขาว่า “มีใครอยู่ข้างในรึเปล่า?”
“ท่านยายอยู่ในห้องของนางหลับไปแล้ว”
เจ้าหญิงก้าวขาเข้าไปข้างใน ค่อยเบาใจที่ไม่ต้องค้างคืนตามลำพังในบ้านกับชายหนุ่มแปลกหน้าสองต่อสอง ภายในห้องนั้นมีโต๊ะอาหารเล็กๆกับเก้าอี้ไม้สามตัว เตาผิงใกล้กับโซฟามีไฟลุกโชนอยู่ แยกออกไปเป็นห้องครัวขนาดย่อมแต่อุปกรณ์ทำครัวครบครัน บ่งชี้ว่าเจ้าของบ้านใส่ใจเรื่องการทำอาหาร เป็นบ้านที่ดูอบอุ่นน่าอาศัยอย่างยิ่ง
เจ้าบ้านพาแขกจำเป็นของเขาเดินขึ้นบันไดไป ยกห้องนอนของเขาให้ ส่วนตัวเองลงมานอนตรงโซฟาชั้นล่าง
กำดัดดึกคืนนั้นฟาลเนียไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ความคิดต่างๆไหลวนอยู่ในหัว
เจ้าหญิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เพื่อรับลมเย็นๆจากภายนอก หวังให้ความสับสนคลายลงบ้าง พระจันทร์ดูซีดจางแปลกจากที่เคยเห็น เหมือนมีบางอย่างบดบังทั้งที่ท้องฟ้าไร้หมู่เมฆ สายตาเหม่อลอยทอดไปยังหมู่บ้าน เห็นยอดหอระฆังตั้งตระหง่าน ก็พลันสะดุดอยู่ตรงเงาดำที่นั่งอยู่เดียวดายบนนั้น เมื่อเพ่งพินิจให้ดีจึงรู้ว่าเป็นเอดิออทนั่นเอง
'นอนไม่หลับเหมือนกันสินะ' เธอคิด
เจ้าหญิงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่ เดินตรงไปที่หอระฆัง ชายหนุ่มนั่งชันเข่าขึ้น อีกข้างสัมผัสอยู่กับพื้นหอระฆัง แผ่นหลังทาทาบไปกับต้นเสาสายตาทอดออกไปไกลด้วยแว่วครุ่นคิด ไม่รู้สึกถึงการมาของเจ้าหญิงจนกระทั่งเธอเข้ามาใกล้
ฟาลเนียทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มองดูพระจันทร์แล้วนึกสงสัย
“ทำไมจันทร์บนฟ้าขุ่นมัวเหมือนกับมีอะไรกั้นอยู่เลย”
“ม่านเวทย์มนตร์ไงล่ะ ลักษณะเหมือนโดมขนาดใหญ่ปกคลุมชั้นบรรยากาศด้านบนเอาไว้ ทำให้อันตรายจากภายนอกไม่อาจคุกคามหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีการเข้ามาหรือออกไปจากที่นี่ตลอดช่วงชีวิตที่ข้าเกิดมา ความจริงบริเวณที่เราอยู่เป็นแอ่งกะทะล้อมรอบด้วยเทือกเขา มองจากภายนอกจะเป็นภาพลวงตาไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็น ทุกสิ่งถูกซ่อนเร้นออกจากโลกภายนอกตลอดมา”
“ทำไมต้องหลบซ่อนตัวเองขนาดนั้น โลกภายนอกไม่ได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ยังมีสิ่งสวยงามน่าตื่นตาอีกมากมาย” องค์หญิงเล่าถึงสิ่งต่างๆที่เอดิออทไม่เคยพบเห็นให้ฟัง
เอดิออทนิ่งฟังดวงตามีประกาย สิ่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของเขาคือความรู้สึกแรงกล้าต่อการผจญภัยในโลกกว้างที่ไม่เคยสัมผัส “ซักวัน” เขากล่าวเหมือนให้สัญญากับตนเอง “เราจะต้องไปเห็นทุกสิ่งที่เธอเล่าด้วยตาตนเองให้ได้”
องค์หญิงสนับสนุนเขาเต็มที่ พร้อมให้สัญญาว่าหากเขาสามารถพาเธอกลับถึงวังได้อย่างปลอดภัย จะแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน
“ว่าแต่ เอลิออท” เจ้าหญิงเอะใจถามขึ้นว่า “เธอเป็นคนของหมู่บ้านมนตร์ขาวแท้ๆ แล้วทำไมถึงสามารถร่ายมนตร์ดำได้ล่ะ?”
เอดิออทเองก็มีความสงสัยแคลงใจในตนเองอยู่ไม่น้อยไปกว่า หลังจากที่พบว่าตนมีแฝดเหมือนอีกคน ทั้งยังมีพลังประหลาดกลายร่างเป็นมังกรได้อีก จึงเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นใครกัน
“ตั้งแต่เกิดเราไม่สามารถใช้เวทมนตร์ชนิดใดได้เลยไม่ว่าจะเป็นมนตร์ขาวหรือมนตร์ดำ เด็กทุกคนในหมู่บ้านสามารถเริ่มเรียนรู้เวทย์มนตร์ขาวได้ตั้งแต่ตอนหัดพูด บางคนอายุเพียง7ปี ก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บหรือสมานบาดแผลด้วยเวทย์มนตร์ได้แล้ว”
ฟาลเนียพยักหน้ารับรู้นิ่งฟังโดยไม่ขัดคอ
“แต่เราสิ จนกระทั่งอายุ12ปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีความสามรถใช้เวทย์มนตร์ชนิดใดได้ ถูกดูหมิ่นดูแคลนต่างๆนาๆ อีกอย่างผมของเราเข้มเกือบดำ ผิดจากคนในหมู่บ้านที่มีผมสีขาวเหมือนเป็นตัวเสนียดไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ส่วนใครที่เข้าใกล้เราหรือให้ความสนิทชิดเชื้อก็มันเจออาถรรพ์ มีเคราะห์ร้ายดวงซวยเกิดกับคนๆนั้น หลายครั้งข้านึกเกลียดตัวเองและไม่อยากเจอใคร จึงเข้าไปในป่าเพื่อหลบซ่อนจากผู้คน เรารู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครมองเรา ความมืดและความสงัดเงียบในเวลากลางคืนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เราเป็นมิตรกับความมืดมิด
แล้วเราก็ได้พบกับนกตัวหนึ่งที่นั่นกระซิบบอกเราว่า ‘จงปลุกพลังที่หลับไหลให้ตื่นขึ้น’”
“เขาคือ กิดิออน ใช่มั้ย?”
“ใช่แล้วนกตัวนั้นคือกิดิออน เขาเป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ของเรา เขาคือครูผู้สอนให้เรารู้จักการใช่เวทย์มนตร์ดำ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า เราพบว่าเรามีพลังมากพอที่จะควบคุมมันได้ แต่ถ้าท่านยายรู้ว่าเราข้องเกี่ยวกับมนตร์ดำนางคงหัวใจวาย เพราะมนตร์ดำถือเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงที่สุด”
“แล้วเธอไม่กลัวหรือ มันอาจจะมีผลกระทบอะไรต่อไปหากเธอยังใช้มันอยู่เช่นนี้?”
“จะต้องกลัวอะไรในเมื่อเราก็ไม่มีอะไรให้สูญเสีย เราเป็นแค่เด็กที่ท่านยายเอามาเลี้ยง แน่นอนว่าเรื่องนี้ท่านยายไม่ยอมบอกความจริงกับเราหรอก แต่เรารู้เพราะกิดิออนบอกกับเราว่าเผ่าพันธุ์แท้จริงของเราคือเผ่ามนตร์ดำ แม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกว่าเรามีฝาแฝดที่กลายเป็นมังกรได้ก็เหอะ แต่เราเชื่อว่าเขาพูดความจริงกว่าทุกคนในหมู่บ้านเสียอีก โดยเฉพาะท่านยายที่พยายามย้ำกับเราหนักหนาว่าเราเป็นคนของหมู่บ้านมนตร์ขาว แต่เรารู้ดีว่ามันไม่ใช่”
“มีคนเคยกล่าวว่าพวกมนตร์ดำเป็นคนเลว แต่เรารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย กลับใจดีกับเรายิ่งกว่าคนอื่นๆเสียอีก” ฟาลเนียพูดจากความรู้สึกพร้อมรอยยิ้มจริงใจ “แล้วกิดิออนบอกอะไรกับเธออีกบ้าง?”
“เขาบอกให้เราฝึกมนตร์ดำจนแกร่งกล้า แล้วให้ใช้มนตร์ดำทำลายประตูหินขาว แต่ถึงแม้ว่าเราได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอยู่ก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เป็นรูขนาดเท่าโพลงกะรอกเท่านั้น”
(มีต่อ)
The Light of Darkness บทที่ 4
บทที่ 2 ลักพาตัว http://pantip.com/topic/30134184
บทที่ 3 ถ้ำหินขาว http://pantip.com/topic/30140347
บทที่ 4 หมู่บ้านมนต์ขาว
“ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว”
บุรุษผู้มาจากหมู่บ้านมนตร์ขาวแต่กลับร่ายมนตร์ดำได้คล่องแคล่วจนน่าแปลกใจบอกเมื่อมองออกไปจากถ้ำหินขาว
“เราจะกลับไปที่หมู่บ้านกันก่อนเพื่อพักผ่อนในคืนนี้ แล้วค่อยปรึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องกังวลไป เราสัญญาว่าจะช่วยหาทางพาเธอกลับไปยังที่ที่เธอมา”
องค์หญิงฟาลเนียก็ยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ระหกระเหินจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลหลายร้อยไมล์ รู้สึกอุ่นใจและคลายวิตกลงไปมาก ทั้งที่เพิ่งพบกันโดยแทบไม่รู้เลยว่าแท้จริงนั้นเขาเป็นใคร แต่เธอก็เลือกที่จะไว้ใจเขา แม้ว่ายังไม่เห็นหนทางแจ้งชัด แต่เอดิออทรับปากเช่นนั้นก็เชื่อมั่นว่าเขาจะต้องพาเธอกลับไปยังนครกลามีธีสโดยสวัสดิภาพแน่นอน
องค์หญิงกล่าวขอบคุณออกมาจากใจ ค้อมศีรษะให้โดยปราศจากอาการเย่อหยิ่งถือตนอะไรทั้งสิ้น ส่วนเขาก็พยักหน้านิดนึงส่งยิ้มกลับมาให้ด้วยความเต็มใจ ใบหน้ารูปไข่ทำให้เจ้าตัวดูอ่อนเยาว์ ตาของเขาหยี๋คว่ำเหมือนจันทร์ครึ่งดวง ฟันขาวเรียงมีเขี้ยวเสริมรอยยิ้มให้ชวนมอง ถึงแม้จะไม่โดดเด่นสะดุดตาเมื่อแรกพบ แต่พอมองไปนานๆก็เริ่มรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มน่ารักและหน้าตาน่า เอ็นดูคนหนึ่ง เธอยอมรับในใจขณะเดินเคียงกันโดยมีเขาเดินนำหน้าเล็กน้อยเพื่อนำทาง
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแล้วก็กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระจันทร์ปรากฏให้เห็นทางทิศตะวันออกเลือนลาง
ท่างกลางความมืดที่โรยตัวลงมาปรกคลุมผืนป่า และขุนเขาอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน อากาศเริ่มเย็นตัวลง กลิ่นอายของป่าชัดเจนยิ่งขึ้น เสียงนกเค้าแมวร้องหาคู่ สลับกับเสียงเห่าหอนของหมาป่า และสัตว์ที่เริ่มออกออกล่าเหยื่อในเวลากลางคืน ฟังดูน่าขนลุกเย็นไปถึงสันหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความมืด อันเต็มไปด้วยเงาหลอนหลอกของกิ่งไม้งอหงิก
จนองค์หญิงดินเข้ามาชิดใกล้จนไหล่กระทบกับแขนของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
แต่พอรู้สึกตัวก็ขยับถอยออกมารักษาระยะห่างพอประมาณ กลางคืนที่เธอรู้จักคือความอบอุ่นบนเตียงนอนอันอ่อนนุ่ม และแสงไฟที่ไม่เคยริบหรี่ มีแต่ความสว่างไสวตลอดคืนวัน ความมืดของป่านับเป็นสิ่งน่ากลัวอย่างยิ่งสำหรับองค์หญิงผู้มีชีวิตสมบูรณ์พร้อมไม่เคยลำบากต้องมาเดินย่ำดินฝ่าดง
ชายหนุ่มผู้เป็นมิตรกับราตรีสังเกตเห็นว่าฝ่ายหญิงสาวมีแต่ความหวาดกลัว จึงส่งมือของเขาให้แล้วกระซิบบอกว่า
“จับมือเอาไว้จะได้ไม่หลง”
องค์หญิงลังเลอยู่อึดใจด้วยความถือตัว ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังใกล้เข้ามาจนเธอสะดุ้ง คว้ามืออีกฝ่ายไว้มั่นเหมือนกลัวว่าร่างนั้นจะอันตรธานหายไป เขาบีบมือนุ่มนิ่มเหมือนขนเป็ดอันสั่นเทาเบาๆเพื่อปลอบโยน ขณะพากันเดินฟันฝ่าเข้าไปในความมืดมิด ดอกไม้ชนิดหนึ่งเบ่งบานในยามราตรี ส่งกลิ่นหอมขจรฟุ้งมาพร้อมลมดึกที่พัดโชยมา ช่วยให้ความอ่อนล้าคลายลง
ในไม่ช้าทั้งสองก็โผล่พ้นแนวป่ามาถึงหมู่บ้านที่ถูกเรียกว่าหมู่บ้านมนตร์ขาว ราวกับสถานที่แห่งนี้มีพลังในการเยียวยารักษากระจายอยู่ทุกอณู ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าแช่มชื่นขึ้นมา สูดหายใจรับเอาความสดชื่นเข้ามาเต็มปอด อาศัยแสงไฟจากตะเกียงที่ห้อยติดกับเสาหลักเป็นระยะๆ ตลอดแนวถนนเส้นเล็กๆปูพื้นด้วยหินสีขาวตัดเข้ามายังหมู่บ้าน เจ้าหญิงผู้ผลัดถิ่นมองดูบ้านแต่ละหลังปลูกแยกไม่ห่างจากกันนักด้วยความสนอกสนใจ ภายนอกมีความต่างกันอยู่บ้างเรื่องรูปทรง แต่ทุกหลังมีลักษณะเหมือนกันคือสร้างด้วยอิฐดินสีขาว ที่ทำมาจากเนื้อดินสีขาวตามธรรมชาติผสมกับวัสดุอื่นๆในอัตราส่วนอันเหมาะสม ทำให้ผลลัพธ์มีความคงทนแข็งแรงอย่างมาก
ไกลออกไปมีบ้านหลังเดียวโดดเดี่ยวอยู่ในสุด แยกห่างจากหลังอื่นออกมาเป็นเอกเทศ เห็นเด่นชัดแต่ไกลเนื่องจากมีไม้ใหญ่เลื้อยคลุมแผ่รากรุงรังของมันเต็มหลังคา กิ่งก้างสีขาวดอกไม่สีขาวบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็รู้ว่ากลิ่นหอมทำให้รู้สึกสดชื่นมาจากดอกไม้ชนิดนี้นั่นเอง
เขาเปิดประตูให้เธอเข้าไปข้างใน แต่ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปเธอหันมาถามเขาว่า “มีใครอยู่ข้างในรึเปล่า?”
“ท่านยายอยู่ในห้องของนางหลับไปแล้ว”
เจ้าหญิงก้าวขาเข้าไปข้างใน ค่อยเบาใจที่ไม่ต้องค้างคืนตามลำพังในบ้านกับชายหนุ่มแปลกหน้าสองต่อสอง ภายในห้องนั้นมีโต๊ะอาหารเล็กๆกับเก้าอี้ไม้สามตัว เตาผิงใกล้กับโซฟามีไฟลุกโชนอยู่ แยกออกไปเป็นห้องครัวขนาดย่อมแต่อุปกรณ์ทำครัวครบครัน บ่งชี้ว่าเจ้าของบ้านใส่ใจเรื่องการทำอาหาร เป็นบ้านที่ดูอบอุ่นน่าอาศัยอย่างยิ่ง
เจ้าบ้านพาแขกจำเป็นของเขาเดินขึ้นบันไดไป ยกห้องนอนของเขาให้ ส่วนตัวเองลงมานอนตรงโซฟาชั้นล่าง
กำดัดดึกคืนนั้นฟาลเนียไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ ความคิดต่างๆไหลวนอยู่ในหัว
เจ้าหญิงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เพื่อรับลมเย็นๆจากภายนอก หวังให้ความสับสนคลายลงบ้าง พระจันทร์ดูซีดจางแปลกจากที่เคยเห็น เหมือนมีบางอย่างบดบังทั้งที่ท้องฟ้าไร้หมู่เมฆ สายตาเหม่อลอยทอดไปยังหมู่บ้าน เห็นยอดหอระฆังตั้งตระหง่าน ก็พลันสะดุดอยู่ตรงเงาดำที่นั่งอยู่เดียวดายบนนั้น เมื่อเพ่งพินิจให้ดีจึงรู้ว่าเป็นเอดิออทนั่นเอง
'นอนไม่หลับเหมือนกันสินะ' เธอคิด
เจ้าหญิงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่ เดินตรงไปที่หอระฆัง ชายหนุ่มนั่งชันเข่าขึ้น อีกข้างสัมผัสอยู่กับพื้นหอระฆัง แผ่นหลังทาทาบไปกับต้นเสาสายตาทอดออกไปไกลด้วยแว่วครุ่นคิด ไม่รู้สึกถึงการมาของเจ้าหญิงจนกระทั่งเธอเข้ามาใกล้
ฟาลเนียทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ มองดูพระจันทร์แล้วนึกสงสัย
“ทำไมจันทร์บนฟ้าขุ่นมัวเหมือนกับมีอะไรกั้นอยู่เลย”
“ม่านเวทย์มนตร์ไงล่ะ ลักษณะเหมือนโดมขนาดใหญ่ปกคลุมชั้นบรรยากาศด้านบนเอาไว้ ทำให้อันตรายจากภายนอกไม่อาจคุกคามหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีการเข้ามาหรือออกไปจากที่นี่ตลอดช่วงชีวิตที่ข้าเกิดมา ความจริงบริเวณที่เราอยู่เป็นแอ่งกะทะล้อมรอบด้วยเทือกเขา มองจากภายนอกจะเป็นภาพลวงตาไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็น ทุกสิ่งถูกซ่อนเร้นออกจากโลกภายนอกตลอดมา”
“ทำไมต้องหลบซ่อนตัวเองขนาดนั้น โลกภายนอกไม่ได้น่าหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ยังมีสิ่งสวยงามน่าตื่นตาอีกมากมาย” องค์หญิงเล่าถึงสิ่งต่างๆที่เอดิออทไม่เคยพบเห็นให้ฟัง
เอดิออทนิ่งฟังดวงตามีประกาย สิ่งหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของเขาคือความรู้สึกแรงกล้าต่อการผจญภัยในโลกกว้างที่ไม่เคยสัมผัส “ซักวัน” เขากล่าวเหมือนให้สัญญากับตนเอง “เราจะต้องไปเห็นทุกสิ่งที่เธอเล่าด้วยตาตนเองให้ได้”
องค์หญิงสนับสนุนเขาเต็มที่ พร้อมให้สัญญาว่าหากเขาสามารถพาเธอกลับถึงวังได้อย่างปลอดภัย จะแต่งตั้งให้เป็นอัศวิน
“ว่าแต่ เอลิออท” เจ้าหญิงเอะใจถามขึ้นว่า “เธอเป็นคนของหมู่บ้านมนตร์ขาวแท้ๆ แล้วทำไมถึงสามารถร่ายมนตร์ดำได้ล่ะ?”
เอดิออทเองก็มีความสงสัยแคลงใจในตนเองอยู่ไม่น้อยไปกว่า หลังจากที่พบว่าตนมีแฝดเหมือนอีกคน ทั้งยังมีพลังประหลาดกลายร่างเป็นมังกรได้อีก จึงเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองเป็นใครกัน
“ตั้งแต่เกิดเราไม่สามารถใช้เวทมนตร์ชนิดใดได้เลยไม่ว่าจะเป็นมนตร์ขาวหรือมนตร์ดำ เด็กทุกคนในหมู่บ้านสามารถเริ่มเรียนรู้เวทย์มนตร์ขาวได้ตั้งแต่ตอนหัดพูด บางคนอายุเพียง7ปี ก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บหรือสมานบาดแผลด้วยเวทย์มนตร์ได้แล้ว”
ฟาลเนียพยักหน้ารับรู้นิ่งฟังโดยไม่ขัดคอ
“แต่เราสิ จนกระทั่งอายุ12ปี ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีความสามรถใช้เวทย์มนตร์ชนิดใดได้ ถูกดูหมิ่นดูแคลนต่างๆนาๆ อีกอย่างผมของเราเข้มเกือบดำ ผิดจากคนในหมู่บ้านที่มีผมสีขาวเหมือนเป็นตัวเสนียดไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ส่วนใครที่เข้าใกล้เราหรือให้ความสนิทชิดเชื้อก็มันเจออาถรรพ์ มีเคราะห์ร้ายดวงซวยเกิดกับคนๆนั้น หลายครั้งข้านึกเกลียดตัวเองและไม่อยากเจอใคร จึงเข้าไปในป่าเพื่อหลบซ่อนจากผู้คน เรารู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครมองเรา ความมืดและความสงัดเงียบในเวลากลางคืนทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เราเป็นมิตรกับความมืดมิด
แล้วเราก็ได้พบกับนกตัวหนึ่งที่นั่นกระซิบบอกเราว่า ‘จงปลุกพลังที่หลับไหลให้ตื่นขึ้น’”
“เขาคือ กิดิออน ใช่มั้ย?”
“ใช่แล้วนกตัวนั้นคือกิดิออน เขาเป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ของเรา เขาคือครูผู้สอนให้เรารู้จักการใช่เวทย์มนตร์ดำ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า เราพบว่าเรามีพลังมากพอที่จะควบคุมมันได้ แต่ถ้าท่านยายรู้ว่าเราข้องเกี่ยวกับมนตร์ดำนางคงหัวใจวาย เพราะมนตร์ดำถือเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงที่สุด”
“แล้วเธอไม่กลัวหรือ มันอาจจะมีผลกระทบอะไรต่อไปหากเธอยังใช้มันอยู่เช่นนี้?”
“จะต้องกลัวอะไรในเมื่อเราก็ไม่มีอะไรให้สูญเสีย เราเป็นแค่เด็กที่ท่านยายเอามาเลี้ยง แน่นอนว่าเรื่องนี้ท่านยายไม่ยอมบอกความจริงกับเราหรอก แต่เรารู้เพราะกิดิออนบอกกับเราว่าเผ่าพันธุ์แท้จริงของเราคือเผ่ามนตร์ดำ แม้ว่าเขาจะไม่เคยบอกว่าเรามีฝาแฝดที่กลายเป็นมังกรได้ก็เหอะ แต่เราเชื่อว่าเขาพูดความจริงกว่าทุกคนในหมู่บ้านเสียอีก โดยเฉพาะท่านยายที่พยายามย้ำกับเราหนักหนาว่าเราเป็นคนของหมู่บ้านมนตร์ขาว แต่เรารู้ดีว่ามันไม่ใช่”
“มีคนเคยกล่าวว่าพวกมนตร์ดำเป็นคนเลว แต่เรารู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย กลับใจดีกับเรายิ่งกว่าคนอื่นๆเสียอีก” ฟาลเนียพูดจากความรู้สึกพร้อมรอยยิ้มจริงใจ “แล้วกิดิออนบอกอะไรกับเธออีกบ้าง?”
“เขาบอกให้เราฝึกมนตร์ดำจนแกร่งกล้า แล้วให้ใช้มนตร์ดำทำลายประตูหินขาว แต่ถึงแม้ว่าเราได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีอยู่ก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เป็นรูขนาดเท่าโพลงกะรอกเท่านั้น”
(มีต่อ)