ประกาศิตผู้พิทักษ์แห่งอินทรา สร้างความตื่นตะลึง แลประหลาดใจ ฉงนงงงันต่อทุกผู้ ไม่ว่าจะภายในหรือนอกประภาคารวชิระ!
เจ้าฟ้าชายโควินท์ พระสรวจกึกก้องกังวาน พระเนตรเขม็งจับจ้องนารทและวาสิตา รับสั่งเย้ยหยัน
“ท่านกสิณาเมื่อตัดสินใจเช่นนี้ พวกเรายินดีปฏิบัติตามอย่างยิ่ง! เช่นนั้นอย่าชักช้าเสียเวลาอีกเลย!”
กสิณาผู้อาวุโสยิ้มเล็กน้อย เอ่ยถามเหล่าผู้ยืนอยู่เบื้องหลัง
“พวกเจ้าจะว่าอย่างไร”
สุ้มเสียงกังวานใส ทว่าเจือแววโทสะ ผิดแปลกจากปกติของวาสิตา เอ่ยตอบ
“เปิดทางให้พวกเราไปจากที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ในเมื่อพุทธินคราไม่ต้อนรับ ข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า
“เจ้าตัดสินใจเช่นนี้แน่หรือ เป็นไร…เจ้าขลาดกลัว หรือไม่เชื่อมั่นในสรรพวิชาที่เล่าเรียนมา”
วาสิตาแค่นยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยขลาดกลัว ทั้งมั่นใจในสรรพวิชาแห่งตน แต่ข้ารู้จักประมาณตนเจ้าค่ะ…” ดวงตาสุกใสซึ่งมิได้ฉายแววหวาดหวั่น แบนสายตาจับจ้องผู้อยู่เบื้องนอกทั้งสาม เอ่ยสืบต่อว่า
“เจ้าฟ้าชายโควินท์กับขุนพลปวีร์ สืบเชื้อสายตระกูลนักรบแห่งศานติธานี ลำพังสรรพวิชาแห่งสายตระกูลก็กล้าแกร่ง หาตระกูลนักรบใดเทียบเทียมยากยิ่ง ภายหลังยังได้รับคัดเลือกจากประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ ถ่ายทอดสรรพวิชาซึ่งโดยปกติสอนเฉพาะในเหล่าปราชญ์เท่านั้น ฤทธาแห่งฌานเวทยิ่งลึกล้ำอักโข ส่วนจอมเวทย์รัญชน์…”
รอยกังวลในแววตา ฉายประกายจับจ้องบุคคลผู้นี้เป็นพิเศษ กล่าวว่า
“บุคคลซึ่งมิได้ถือกำเนิดจากตระกูลนักรบ ทั้งมิได้เริ่มศึกษาฌานเวทจากการเป็นปราชญ์ฝึกหัด กลับฝึกฝนตนกระทั่งเหล่าปราชญ์มิอาจปล่อยปละ รับเข้าสู่เมธาปุระถ่ายทอดสรรพวิชาเป็นกรณีพิเศษ ความสามารถของทั้งสาม…ท่านกสิณาทราบกระจ่างกว่าผู้ใด มิใช่หรือเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราเผยยิ้มเยือก กล่าวว่า
“เพราะเราทราบกระจ่างจึงตั้งเงื่อนไงเช่นนี้ เจ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์แห่งตระกูลนักรบ รัญชน์ผู้ซึ่งมิใช่ทั้งนักรบและปราชญ์ ส่วนเจ้าทั้งสอง…”
ประกายคมวาวในดวงตา ฉายแววประหลาดล้ำ อันไม่อาจหยั่งคำนาณความคิด
“วาสิตา…นารท พวกเจ้าสืบสายทั้งจากตระกูลนักรบและนักปราชญ์ เหตุใดจึงคิดว่าสรรพวิชาของพวกเจ้า ด้อยกว่าสามคนข้างนอกนั่น”
วาสิตาฝืนยิ้ม นิ่งเงียบไม่ตอบคำ ตระหนักแก่ใจแต่แรก ยามอยู่เบื้องหน้าผู้พิทักษ์แห่งอินทรา เพียงสายตาและปัญญาแห่งท่านกสิณา ผู้ใดเลยจะสามารถปิดบังซ่อนเร้นฐานะแห่งตน ประการนี้ท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวเตือนแต่แรก
วูบนั้น ประกายฉงนในแววตา อดปรายไปยังอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธามิได้…
หญิงสาวเคลือบแคลงศักดิ์ฐานะของนารท นับตั้งแต่ได้ยินวาจาท่านปราชญ์หญิงธันยา กล่าวต่อชายหนุ่มบนเรือของกษมปราการ ยิ่งท่าทีซึ่งพวกเจ้าชายโควินท์แสดงต่อนารท ยิ่งบ่งบอกชัดว่า อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธามิใช่ปราชญ์ธรรมดาสามัญ
นารทผู้นี้…สายตระกูลนักรบ…หรือว่าจะเป็น…
ไฉนผู้มีฐานะเช่นนี้จึงออกจากเมธาปุระ มาเยือนพุทธินครา…
สีหน้าและแววตาที่แปรเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของหญิงสาว มิได้รอดพ้นสายตาท่านกสิณา
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราทราบว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของหญิงสาว เพียงเผยข้อมูลเล็กน้อยก็สามารถคาดเดา ปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากมาย นั่นจะทำให้การตัดสินใจแปรเปลี่ยน หญิงสาวต้องรับข้อเสนออย่างแน่นอน…
กสิณาผู้อาวุโส ปรายสายตามายังนารท เอ่ยถามว่า
“เจ้าจะว่าอย่างไร”
สีหน้าอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา แม้สงบเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด หากแววตามิอาจปกปิดรอยว้าวุ่นกังวล…
เนื่องเพราะนอกจากเจ้าฟ้าชายกรินทร์และขุนพลศรุต นารทไม่เคยบ่งบอกจุดมุ่งหมายอันแท้จริง แห่งการเดินทางมาพุทธินคราต่อผู้ใด ด้วยรู้ดีว่าใครไหนเลยจะยินยอมเชื่อสิ่งที่บอกเล่า…
แม้กระทั่งผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งกษมปราการ เมื่อแรกทราบเรื่องยังทรงปฏิเสธที่จะเชื่อ จนบัดนี้นารทก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงพระทัยเจ้าฟ้าชายกรินทร์ กระทั่งทรงยินยอมเดินทางมาพุทธินคราด้วยพระองค์เอง…
อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาตระหนักแก่ใจ ทุกสิ่งในพุทธินครา ท่านกสิณาต้องรับรู้…
และหาก…กระทั่งผู้พิทักษ์แห่งอินทรายังไม่รับรู้ นารทยิ่งต้องค้นหาสิ่งนั้นให้พบ!
ประกายในดวงตาอันสงบนิ่งลึกล้ำ แม้ปราศจากความลังเลใด หากเมื่อชำเลืองไปด้านข้าง แววหนักใจพลันปรากฏเปี่ยมล้น นารทพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า
“ข้ายินดีปฏิบัติตามข้อเสนอของท่าน เพียงแต่…”
มองไปยังบุลิน ทอดถอนใจ พลางกล่าวว่า
“เพียงข้ากับวาสิตาสองคน รับข้อเสนอของท่านก็พอกระมัง แต่หากวาสิตายืนกรานปฏิเสธ ข้าเพียงผู้เดียวก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่ามายากรผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่าให้เขาต้องยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา กลับหัวร่อในลำคอ กล่าวว่า
“นารท…เจ้ามั่นใจหรือทระนงเกินไปกันแน่ เพียงลำพังคนเดียวกระนั้นหรือ คิดหรือว่าสามารถเอาชนะ เจ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์ รวมทั้งรัญชน์ได้”
นารทฝืนยิ้ม ทอดถอนใจอีกครั้ง กล่าวว่า
“ท่านมิจำเป็นต้องกล่าววาจากระตุ้น ข้ารู้จักประมาณตน แม้เพิ่มผู้มีฌานเวทเทียบเท่าข้า หรือวาสิตาอีกหนึ่งคน การเอาชนะเหล่าผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษ ให้เป็นศิษย์ของท่านนันทนะและท่านธันยา ยังคงเป็นเรื่องยากยิ่ง”
น้ำเสียงอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา เคร่งเครียดจริงจังยิ่ง
“บุลินรังแต่ละเป็นภาระของพวกเรา โอกาสเพียงน้อยนิดอันริบหรี่ ที่จะเอาชนะพวกเจ้าชายโควินท์จะสูญสิ้น ท่านปล่อยมายากรผู้นี้ เข้าสู่พุทธินคราเช่นความตั้งใจของเขาเถอะ”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา หัวร่อแหบพร่าอีกครั้ง กล่าวว่า
“เกรงว่าเจ้ามายากรจะเป็นภาระหรือ…ช่างประเมินผู้อื่นต่ำเสียจริง เป็นไร…เพียงรู้ว่ามีผู้ใส่ความทรงจำลงในความคิดเจ้ามายากร เจ้าจึงคาดคิดว่านาม ‘สกันทะ’ ย่อมถูกใส่ไว้ห้วงความคิด โดยเจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่หรือไม่”
นารทนิ่งเงียบไม่ตอบคำ เพราะคาดคิดเช่นนั้นจริง หากมิใช่ถูกผู้มีฌานเวทสูงล้ำใส่ความทรงจำนี้ไว้ มายากรเช่นบุลินจะรู้จักนาม ‘สกันทะ’ ได้อย่างไร…
กสิณาผู้อาวุโส กล่าวสืบต่อว่า
“เจ้าอย่าลืมว่า…กระทั่งเฒ่าเวทิตยังให้ความสนใจมายากรผู้นี้…”
สิ้นประโยค พลางหันไปถามมายากรหนุ่มบ้าง
“เจ้าล่ะจะว่าอย่างไร กล้าต่อกรกับสามคนข้างล่างนั่นหรือไม่”
บุลินละล่ำละลักกล่าวว่า
“ข้า…ข้าจะสู้ได้อย่างไร…แต่…แต่…หากข้า” มายากรหนุ่มแข็งใจ สะกดความตระหนกหวาดหวั่นทั้งมวล รวบรวมความกล้าโพล่งออกไปว่า
“หากข้าสามารถทำประโยชน์ หรือช่วยเหลือสิ่งใดได้ ข้ายินดีกระทำทุกอย่าง แต่…หากข้าต้องกลายเป็นภาระของพวกท่าน ข้าจะจากไปเสียเดี๋ยวนี้…ข้า…ข้าจะไม่กลับมาพุทธินคราอีก!”
กสิณาผู้อาวุโสยิ้มเยือก ปรายสายตาไปยังจอกน้ำโสมบนโต๊ะ สุ้มเสียงแหบสุ้ม กล่าวช้าๆ ชัดเจนยิ่งว่า
“หากเอาชนะสามคนนั้นได้ ข้าจะบอกทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับท่านป้าของเจ้า ไม่ต้องการรู้หรือ…ข้ารู้สูตรหมักน้ำโสมนี้ ได้อย่างไร”
เจ้ามายากรหมดความสามารถในการสะกดใจ ความหวาดหวั่นสับสนทั้งมวล ประดังประเดแล่นจู่โจมห้วงคำนึง หยาดน้ำซึมออกจากดวงตาทั้งสองข้าง สุ้มเสียงสั่นเครือกล่าวแผ่วเบา
“เหตุในข้าจึงไม่อยากรู้ จุดประสงค์เดียวที่เดินทางมาพุทธินครา เพราะข้าต้องการพบท่านป้าอีกครั้ง หากไม่ได้พบขอเพียงได้รู้ข่าว รู้ว่าพวกท่านยังสุขสบายดี มิได้ประสบเหตุเคราะห์ร้ายเช่นคำเล่าลือ ข้าก็พึงพอใจแล้ว…”
บุลินทรุดกาย ก้มหน้านิ่ง สุ้มเสียงยังสั่นเครือ
“แต่ข้ารู้ดี…หากรับเงื่อนไขของท่าน ข้ารังแต่จะเป็นภาระของท่านนารทกับวาสิตา เหตุใด…เหตุใดท่านจึงต้องตั้งเงื่อนไขเช่นนี้…”
ความหวาดหวั่นสับสนเมื่อแล่นถึงขีดสุด พลันกระชากความดื้อรั้นดึงดัน อันมิยอมจำนนตกอยู่ใต้อำนาจผู้ใด ภายในใจมายากรหนุ่มให้ตื่นขึ้น กระทั่งลุกโชนพลุ่งพล่าน แปรเปลี่ยนกลายเป็นโทสะ ไร้ความเกรงกลัวต่อผู้ใดทั้งสิ้น
บุลินแค่นหัวร่อ เมื่อใบหน้าอาบน้ำตานั้นเงยขึ้น ประกายเขม็งในดวงตา กลับจับจ้องผู้พิทักษ์แห่งอินทราโดยปราศจากแววกริ่นเกรงใด
“ข้าเป็นเพียงมายากรเร่ร่อน! ข้ารู้เพียงมายาศาสตร์ซึ่งสร้างความสุขในห้วงเวลาหนึ่งให้ผู้คน ข้าต้องการบอกเล่า ความกล้าหาญ คุณธรรมความดีของบรรดาขุนพล จอมเวทย์ เหล่าปราชญ์ ผู้อุทิศตนปกปักรักษาอรุณวดีมหาทวีปให้ผู้คนรับรู้ เหตุใดข้าจึงเลือกเส้นทางนี้น่ะหรือ เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กในหมู่บ้านอันห่างไกลเช่นข้า สามารถกระทำเพื่อดินแดนผืนดินอุดมแห่งสุดท้ายของพวกเรา!”
มายากรหนุ่มค่อยๆ ยืนกาย ลุกขึ้นยืนช้าๆ ประกายคมกร้าวในแววตา ยังมิละจากดวงตาอันสงบนิ่ง ไร้ความรู้สึกของผู้พิทักษ์แห่งอินทรา
“เด็กชาวบ้าน…ไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลนักรบ ไม่มีความสามารถให้เข้ารับคัดเลือก เพื่อเล่าเรียนเป็นปราชญ์ฝึกหัด หนทางเดียวหากต้องการศึกษาฌานเวท ต้องเสาะแสวงหาอาจารย์ผู้ชาญฤทธา จำนวนเพียงน้อยยิ่งกว่าน้อยซึ่งยินดีประสิทธิ์ประสาท สรรพความรู้ฌานเวทแก่ประชาชนสามัญ…”
บุลินก้าวเข้าใกล้ขอบผนังอันโปร่งแสง เขม้นมองชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าอันสามัญ สีครามเข้มเบื้องล่าง น้ำเสียงเปี่ยมความเคารพนับถืออย่างยิ่ง
“การจะฝึกฝนกระทั่งขึ้นสู่จอมเวทย์เช่นท่านรัญชน์ นั้นยากเย็นเข็ญใจยิ่ง ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น…”
มายากรหนุ่มสูดลมหายในลึกยาว หันขวับ เขม็งจ้องผู้พิทักษ์แห่งอินทรา เสียงกร้าวแทบตะโกนก้อง
“ท่านมิตระหนักหรือว่า เหล่าประชาชนสามัญทุกชีวิตในอรุณวดีมหาทวีป ต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว! พวกท่านผู้ชาญฌานเวทรู้หรือไม่ เหล่าชาวบ้านธรรมดารู้สึกอย่างไร! พวกเราใช้ชีวิตด้วยความหวาดผวา
เมื่อเวลาแห่งการจำศีลของภูตอสูรทั้งสี่สิ้นสุด! เมื่อท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆทะมึนคลุมผืนทวีป เมื่อพสุธาสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่น อาณัติสัญญาณการปรากฏแห่งจอมอสูร กึกก้องคำรามเหนือทุกเขตแคว้น วิหารภูตภรรดรกำลังเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางอรุณวดีมหาทวีป!”
บุลินเขม้นจ้องใบหน้าทุกคน กล่าวเสียงเยียบเย็น
“รู้หรือไม่…เหล่าชาวบ้านต่างตัวสั่นงันงก ร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว ซุกซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งแต่จะคนคิดว่าจะปลอดภัยที่สุด สิ่งที่ทุกคนกระทำได้มีเพียงสวดภาวนา อ้อนวอนแก่เหล่าเทวะให้ช่วยปกปักรักษา อำนวยพรแก่ผู้กล้าทั้งหลาย ขอท่านเหล่านั้นจงยับยั้งมหัตภัยได้เช่นทุกคราว…”
น้ำเสียงเจ้ามายากร ยิ่งกล่าวยิ่งหดหู่สะทกสะท้อนใจยิ่ง
“ในใจทุกผู้ต่างภาวนาให้ท่านผู้กล้าหาญเหล่านั้น สามารถทำลายดวงจิตจอมอสูร ขจัดมหันตภัยแห่งผืนพิภพ ทว่า…ตลอดนับหลายสิบชั่วอายุคน คำภาวนาเหล่านั้นไม่เคยสัมฤทธิ์ผล ซ้ำช่วงเวลาจำศีลของเหล่าภูตอสูรกลับยิ่งสั้นลง!
กาลก่อน พวกมันเคยตื่นขึ้นทุกหนึ่งร้อยปี แต่ในสามร้อยปีหลัง พวกมันกลับตื่นขึ้นทุกห้าสิบปี! หลายร้อยปีที่ผ่านมา ชีวิตเหล่าผู้กล้าหาญมากมาย ต้องพลีชีพเพื่อพิทักษ์ดินแดนของเรา
แม้ห้าสิบก่อนจะเป็นครั้งแรก ที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า พวกท่านสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ แต่พวกท่านก็สาบสูญสิ้น! หากยังมีชีวิตอยู่…สี่สิบเก้าปีนี้ เหล่าผู้ครอบครองเวทศาสตราทั้งหกไปอยู่เสียที่ไหน หนำซ้ำข้ายังได้เห็นมากับตา…ขุนพลอัฒฑ์แห่งศานติธานี กลายเป็นภูตอสูร! ตกอยู่ในความควบคุมของเหล่าอัศวเนตรโลหิต ดั่งคำเล่าขานจริงๆ!”
เขม็งจองกสิณาผู้อาวุโสไม่วางตา กล่าวช้าๆ ว่า
“ท่านกสิณา…ท่านจะปล่อยให้สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่เนิ่นนานเพียงใด”
กสิณาผู้อาวุโส รับฟังอย่างเงียบงัน ครู่ใหญ่ค่อยกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าข้าสามารถกระทำสิ่งใดได้”
กระแสเสียงมายากรหนุ่ม แทบกลายเป็นตะคอกอย่างเหลืออด
“ท่านควรปล่อยให้เหล่าเจ้าชายโควินท์ ค้นหาวิหารศรีอินทรา!” หันขวับ กล่าวกับนารทและวาสิตาว่า “พวกท่านยิ่งควรร่วมมือกับพวกเขา โอกาสสำเร็จย่อมจะมีมากยิ่งขึ้น”
นารททอดถอนใจ พลางส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าเคยค้นคว้าบันทึกเอกสารในหอสมุดเมธา ทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นทางแห่งจอมปราชญ์ นานนับหลายปี…ข้อสรุปที่ข้าได้คือ ทั้งเส้นทางแห่งจอมปราชญ์ ทั้งวิหารศรีอินทรา ในอดีตกาลเคยมีอยู่จริง หากบัดนี้ได้สูญสิ้นสลายไป พร้อมๆ กับนครพุทธินคราเก่าแล้ว”
บุลินโพล่งอย่างเหลือเชื่อว่า
“ท่านมั่นใจเพียงนั้นจริงๆ หรือ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านนันทนะผู้เป็นประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ เหตุใดจึงให้เจ้าชายโควินท์ทั้งสามขึ้นสู่เทือกตารกคีรี ทั้งที่รู้อยู่ว่าสิ่งที่รออยู่บนนั้น คือภูตอสูรนาคาเพลิงหิมะ!”
เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 9. หกเวทศาสตราศักดิ์สิทธิ์
เจ้าฟ้าชายโควินท์ พระสรวจกึกก้องกังวาน พระเนตรเขม็งจับจ้องนารทและวาสิตา รับสั่งเย้ยหยัน
“ท่านกสิณาเมื่อตัดสินใจเช่นนี้ พวกเรายินดีปฏิบัติตามอย่างยิ่ง! เช่นนั้นอย่าชักช้าเสียเวลาอีกเลย!”
กสิณาผู้อาวุโสยิ้มเล็กน้อย เอ่ยถามเหล่าผู้ยืนอยู่เบื้องหลัง
“พวกเจ้าจะว่าอย่างไร”
สุ้มเสียงกังวานใส ทว่าเจือแววโทสะ ผิดแปลกจากปกติของวาสิตา เอ่ยตอบ
“เปิดทางให้พวกเราไปจากที่นี่เถอะเจ้าค่ะ ในเมื่อพุทธินคราไม่ต้อนรับ ข้าจะไม่กลับมาที่นี่อีก”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า
“เจ้าตัดสินใจเช่นนี้แน่หรือ เป็นไร…เจ้าขลาดกลัว หรือไม่เชื่อมั่นในสรรพวิชาที่เล่าเรียนมา”
วาสิตาแค่นยิ้มกล่าวว่า
“ข้าไม่เคยขลาดกลัว ทั้งมั่นใจในสรรพวิชาแห่งตน แต่ข้ารู้จักประมาณตนเจ้าค่ะ…” ดวงตาสุกใสซึ่งมิได้ฉายแววหวาดหวั่น แบนสายตาจับจ้องผู้อยู่เบื้องนอกทั้งสาม เอ่ยสืบต่อว่า
“เจ้าฟ้าชายโควินท์กับขุนพลปวีร์ สืบเชื้อสายตระกูลนักรบแห่งศานติธานี ลำพังสรรพวิชาแห่งสายตระกูลก็กล้าแกร่ง หาตระกูลนักรบใดเทียบเทียมยากยิ่ง ภายหลังยังได้รับคัดเลือกจากประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ ถ่ายทอดสรรพวิชาซึ่งโดยปกติสอนเฉพาะในเหล่าปราชญ์เท่านั้น ฤทธาแห่งฌานเวทยิ่งลึกล้ำอักโข ส่วนจอมเวทย์รัญชน์…”
รอยกังวลในแววตา ฉายประกายจับจ้องบุคคลผู้นี้เป็นพิเศษ กล่าวว่า
“บุคคลซึ่งมิได้ถือกำเนิดจากตระกูลนักรบ ทั้งมิได้เริ่มศึกษาฌานเวทจากการเป็นปราชญ์ฝึกหัด กลับฝึกฝนตนกระทั่งเหล่าปราชญ์มิอาจปล่อยปละ รับเข้าสู่เมธาปุระถ่ายทอดสรรพวิชาเป็นกรณีพิเศษ ความสามารถของทั้งสาม…ท่านกสิณาทราบกระจ่างกว่าผู้ใด มิใช่หรือเจ้าค่ะ”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราเผยยิ้มเยือก กล่าวว่า
“เพราะเราทราบกระจ่างจึงตั้งเงื่อนไงเช่นนี้ เจ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์แห่งตระกูลนักรบ รัญชน์ผู้ซึ่งมิใช่ทั้งนักรบและปราชญ์ ส่วนเจ้าทั้งสอง…”
ประกายคมวาวในดวงตา ฉายแววประหลาดล้ำ อันไม่อาจหยั่งคำนาณความคิด
“วาสิตา…นารท พวกเจ้าสืบสายทั้งจากตระกูลนักรบและนักปราชญ์ เหตุใดจึงคิดว่าสรรพวิชาของพวกเจ้า ด้อยกว่าสามคนข้างนอกนั่น”
วาสิตาฝืนยิ้ม นิ่งเงียบไม่ตอบคำ ตระหนักแก่ใจแต่แรก ยามอยู่เบื้องหน้าผู้พิทักษ์แห่งอินทรา เพียงสายตาและปัญญาแห่งท่านกสิณา ผู้ใดเลยจะสามารถปิดบังซ่อนเร้นฐานะแห่งตน ประการนี้ท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวเตือนแต่แรก
วูบนั้น ประกายฉงนในแววตา อดปรายไปยังอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธามิได้…
หญิงสาวเคลือบแคลงศักดิ์ฐานะของนารท นับตั้งแต่ได้ยินวาจาท่านปราชญ์หญิงธันยา กล่าวต่อชายหนุ่มบนเรือของกษมปราการ ยิ่งท่าทีซึ่งพวกเจ้าชายโควินท์แสดงต่อนารท ยิ่งบ่งบอกชัดว่า อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธามิใช่ปราชญ์ธรรมดาสามัญ
นารทผู้นี้…สายตระกูลนักรบ…หรือว่าจะเป็น…
ไฉนผู้มีฐานะเช่นนี้จึงออกจากเมธาปุระ มาเยือนพุทธินครา…
สีหน้าและแววตาที่แปรเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยของหญิงสาว มิได้รอดพ้นสายตาท่านกสิณา
ผู้พิทักษ์แห่งอินทราทราบว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของหญิงสาว เพียงเผยข้อมูลเล็กน้อยก็สามารถคาดเดา ปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากมาย นั่นจะทำให้การตัดสินใจแปรเปลี่ยน หญิงสาวต้องรับข้อเสนออย่างแน่นอน…
กสิณาผู้อาวุโส ปรายสายตามายังนารท เอ่ยถามว่า
“เจ้าจะว่าอย่างไร”
สีหน้าอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา แม้สงบเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด หากแววตามิอาจปกปิดรอยว้าวุ่นกังวล…
เนื่องเพราะนอกจากเจ้าฟ้าชายกรินทร์และขุนพลศรุต นารทไม่เคยบ่งบอกจุดมุ่งหมายอันแท้จริง แห่งการเดินทางมาพุทธินคราต่อผู้ใด ด้วยรู้ดีว่าใครไหนเลยจะยินยอมเชื่อสิ่งที่บอกเล่า…
แม้กระทั่งผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งกษมปราการ เมื่อแรกทราบเรื่องยังทรงปฏิเสธที่จะเชื่อ จนบัดนี้นารทก็ยังไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงพระทัยเจ้าฟ้าชายกรินทร์ กระทั่งทรงยินยอมเดินทางมาพุทธินคราด้วยพระองค์เอง…
อาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธาตระหนักแก่ใจ ทุกสิ่งในพุทธินครา ท่านกสิณาต้องรับรู้…
และหาก…กระทั่งผู้พิทักษ์แห่งอินทรายังไม่รับรู้ นารทยิ่งต้องค้นหาสิ่งนั้นให้พบ!
ประกายในดวงตาอันสงบนิ่งลึกล้ำ แม้ปราศจากความลังเลใด หากเมื่อชำเลืองไปด้านข้าง แววหนักใจพลันปรากฏเปี่ยมล้น นารทพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า
“ข้ายินดีปฏิบัติตามข้อเสนอของท่าน เพียงแต่…”
มองไปยังบุลิน ทอดถอนใจ พลางกล่าวว่า
“เพียงข้ากับวาสิตาสองคน รับข้อเสนอของท่านก็พอกระมัง แต่หากวาสิตายืนกรานปฏิเสธ ข้าเพียงผู้เดียวก็ยินดีปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่ามายากรผู้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อย่าให้เขาต้องยุ่งเกี่ยวด้วยเลย”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา กลับหัวร่อในลำคอ กล่าวว่า
“นารท…เจ้ามั่นใจหรือทระนงเกินไปกันแน่ เพียงลำพังคนเดียวกระนั้นหรือ คิดหรือว่าสามารถเอาชนะ เจ้าชายโควินท์ ขุนพลปวีร์ รวมทั้งรัญชน์ได้”
นารทฝืนยิ้ม ทอดถอนใจอีกครั้ง กล่าวว่า
“ท่านมิจำเป็นต้องกล่าววาจากระตุ้น ข้ารู้จักประมาณตน แม้เพิ่มผู้มีฌานเวทเทียบเท่าข้า หรือวาสิตาอีกหนึ่งคน การเอาชนะเหล่าผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษ ให้เป็นศิษย์ของท่านนันทนะและท่านธันยา ยังคงเป็นเรื่องยากยิ่ง”
น้ำเสียงอาลักษณ์แห่งหอสมุดเมธา เคร่งเครียดจริงจังยิ่ง
“บุลินรังแต่ละเป็นภาระของพวกเรา โอกาสเพียงน้อยนิดอันริบหรี่ ที่จะเอาชนะพวกเจ้าชายโควินท์จะสูญสิ้น ท่านปล่อยมายากรผู้นี้ เข้าสู่พุทธินคราเช่นความตั้งใจของเขาเถอะ”
ผู้พิทักษ์แห่งอินทรา หัวร่อแหบพร่าอีกครั้ง กล่าวว่า
“เกรงว่าเจ้ามายากรจะเป็นภาระหรือ…ช่างประเมินผู้อื่นต่ำเสียจริง เป็นไร…เพียงรู้ว่ามีผู้ใส่ความทรงจำลงในความคิดเจ้ามายากร เจ้าจึงคาดคิดว่านาม ‘สกันทะ’ ย่อมถูกใส่ไว้ห้วงความคิด โดยเจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่หรือไม่”
นารทนิ่งเงียบไม่ตอบคำ เพราะคาดคิดเช่นนั้นจริง หากมิใช่ถูกผู้มีฌานเวทสูงล้ำใส่ความทรงจำนี้ไว้ มายากรเช่นบุลินจะรู้จักนาม ‘สกันทะ’ ได้อย่างไร…
กสิณาผู้อาวุโส กล่าวสืบต่อว่า
“เจ้าอย่าลืมว่า…กระทั่งเฒ่าเวทิตยังให้ความสนใจมายากรผู้นี้…”
สิ้นประโยค พลางหันไปถามมายากรหนุ่มบ้าง
“เจ้าล่ะจะว่าอย่างไร กล้าต่อกรกับสามคนข้างล่างนั่นหรือไม่”
บุลินละล่ำละลักกล่าวว่า
“ข้า…ข้าจะสู้ได้อย่างไร…แต่…แต่…หากข้า” มายากรหนุ่มแข็งใจ สะกดความตระหนกหวาดหวั่นทั้งมวล รวบรวมความกล้าโพล่งออกไปว่า
“หากข้าสามารถทำประโยชน์ หรือช่วยเหลือสิ่งใดได้ ข้ายินดีกระทำทุกอย่าง แต่…หากข้าต้องกลายเป็นภาระของพวกท่าน ข้าจะจากไปเสียเดี๋ยวนี้…ข้า…ข้าจะไม่กลับมาพุทธินคราอีก!”
กสิณาผู้อาวุโสยิ้มเยือก ปรายสายตาไปยังจอกน้ำโสมบนโต๊ะ สุ้มเสียงแหบสุ้ม กล่าวช้าๆ ชัดเจนยิ่งว่า
“หากเอาชนะสามคนนั้นได้ ข้าจะบอกทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับท่านป้าของเจ้า ไม่ต้องการรู้หรือ…ข้ารู้สูตรหมักน้ำโสมนี้ ได้อย่างไร”
เจ้ามายากรหมดความสามารถในการสะกดใจ ความหวาดหวั่นสับสนทั้งมวล ประดังประเดแล่นจู่โจมห้วงคำนึง หยาดน้ำซึมออกจากดวงตาทั้งสองข้าง สุ้มเสียงสั่นเครือกล่าวแผ่วเบา
“เหตุในข้าจึงไม่อยากรู้ จุดประสงค์เดียวที่เดินทางมาพุทธินครา เพราะข้าต้องการพบท่านป้าอีกครั้ง หากไม่ได้พบขอเพียงได้รู้ข่าว รู้ว่าพวกท่านยังสุขสบายดี มิได้ประสบเหตุเคราะห์ร้ายเช่นคำเล่าลือ ข้าก็พึงพอใจแล้ว…”
บุลินทรุดกาย ก้มหน้านิ่ง สุ้มเสียงยังสั่นเครือ
“แต่ข้ารู้ดี…หากรับเงื่อนไขของท่าน ข้ารังแต่จะเป็นภาระของท่านนารทกับวาสิตา เหตุใด…เหตุใดท่านจึงต้องตั้งเงื่อนไขเช่นนี้…”
ความหวาดหวั่นสับสนเมื่อแล่นถึงขีดสุด พลันกระชากความดื้อรั้นดึงดัน อันมิยอมจำนนตกอยู่ใต้อำนาจผู้ใด ภายในใจมายากรหนุ่มให้ตื่นขึ้น กระทั่งลุกโชนพลุ่งพล่าน แปรเปลี่ยนกลายเป็นโทสะ ไร้ความเกรงกลัวต่อผู้ใดทั้งสิ้น
บุลินแค่นหัวร่อ เมื่อใบหน้าอาบน้ำตานั้นเงยขึ้น ประกายเขม็งในดวงตา กลับจับจ้องผู้พิทักษ์แห่งอินทราโดยปราศจากแววกริ่นเกรงใด
“ข้าเป็นเพียงมายากรเร่ร่อน! ข้ารู้เพียงมายาศาสตร์ซึ่งสร้างความสุขในห้วงเวลาหนึ่งให้ผู้คน ข้าต้องการบอกเล่า ความกล้าหาญ คุณธรรมความดีของบรรดาขุนพล จอมเวทย์ เหล่าปราชญ์ ผู้อุทิศตนปกปักรักษาอรุณวดีมหาทวีปให้ผู้คนรับรู้ เหตุใดข้าจึงเลือกเส้นทางนี้น่ะหรือ เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กในหมู่บ้านอันห่างไกลเช่นข้า สามารถกระทำเพื่อดินแดนผืนดินอุดมแห่งสุดท้ายของพวกเรา!”
มายากรหนุ่มค่อยๆ ยืนกาย ลุกขึ้นยืนช้าๆ ประกายคมกร้าวในแววตา ยังมิละจากดวงตาอันสงบนิ่ง ไร้ความรู้สึกของผู้พิทักษ์แห่งอินทรา
“เด็กชาวบ้าน…ไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลนักรบ ไม่มีความสามารถให้เข้ารับคัดเลือก เพื่อเล่าเรียนเป็นปราชญ์ฝึกหัด หนทางเดียวหากต้องการศึกษาฌานเวท ต้องเสาะแสวงหาอาจารย์ผู้ชาญฤทธา จำนวนเพียงน้อยยิ่งกว่าน้อยซึ่งยินดีประสิทธิ์ประสาท สรรพความรู้ฌานเวทแก่ประชาชนสามัญ…”
บุลินก้าวเข้าใกล้ขอบผนังอันโปร่งแสง เขม้นมองชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าอันสามัญ สีครามเข้มเบื้องล่าง น้ำเสียงเปี่ยมความเคารพนับถืออย่างยิ่ง
“การจะฝึกฝนกระทั่งขึ้นสู่จอมเวทย์เช่นท่านรัญชน์ นั้นยากเย็นเข็ญใจยิ่ง ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น…”
มายากรหนุ่มสูดลมหายในลึกยาว หันขวับ เขม็งจ้องผู้พิทักษ์แห่งอินทรา เสียงกร้าวแทบตะโกนก้อง
“ท่านมิตระหนักหรือว่า เหล่าประชาชนสามัญทุกชีวิตในอรุณวดีมหาทวีป ต่างมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว! พวกท่านผู้ชาญฌานเวทรู้หรือไม่ เหล่าชาวบ้านธรรมดารู้สึกอย่างไร! พวกเราใช้ชีวิตด้วยความหวาดผวา
เมื่อเวลาแห่งการจำศีลของภูตอสูรทั้งสี่สิ้นสุด! เมื่อท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆทะมึนคลุมผืนทวีป เมื่อพสุธาสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่น อาณัติสัญญาณการปรากฏแห่งจอมอสูร กึกก้องคำรามเหนือทุกเขตแคว้น วิหารภูตภรรดรกำลังเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางอรุณวดีมหาทวีป!”
บุลินเขม้นจ้องใบหน้าทุกคน กล่าวเสียงเยียบเย็น
“รู้หรือไม่…เหล่าชาวบ้านต่างตัวสั่นงันงก ร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว ซุกซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ซึ่งแต่จะคนคิดว่าจะปลอดภัยที่สุด สิ่งที่ทุกคนกระทำได้มีเพียงสวดภาวนา อ้อนวอนแก่เหล่าเทวะให้ช่วยปกปักรักษา อำนวยพรแก่ผู้กล้าทั้งหลาย ขอท่านเหล่านั้นจงยับยั้งมหัตภัยได้เช่นทุกคราว…”
น้ำเสียงเจ้ามายากร ยิ่งกล่าวยิ่งหดหู่สะทกสะท้อนใจยิ่ง
“ในใจทุกผู้ต่างภาวนาให้ท่านผู้กล้าหาญเหล่านั้น สามารถทำลายดวงจิตจอมอสูร ขจัดมหันตภัยแห่งผืนพิภพ ทว่า…ตลอดนับหลายสิบชั่วอายุคน คำภาวนาเหล่านั้นไม่เคยสัมฤทธิ์ผล ซ้ำช่วงเวลาจำศีลของเหล่าภูตอสูรกลับยิ่งสั้นลง!
กาลก่อน พวกมันเคยตื่นขึ้นทุกหนึ่งร้อยปี แต่ในสามร้อยปีหลัง พวกมันกลับตื่นขึ้นทุกห้าสิบปี! หลายร้อยปีที่ผ่านมา ชีวิตเหล่าผู้กล้าหาญมากมาย ต้องพลีชีพเพื่อพิทักษ์ดินแดนของเรา
แม้ห้าสิบก่อนจะเป็นครั้งแรก ที่ไม่สามารถยืนยันได้ว่า พวกท่านสิ้นชีวิตแล้วหรือไม่ แต่พวกท่านก็สาบสูญสิ้น! หากยังมีชีวิตอยู่…สี่สิบเก้าปีนี้ เหล่าผู้ครอบครองเวทศาสตราทั้งหกไปอยู่เสียที่ไหน หนำซ้ำข้ายังได้เห็นมากับตา…ขุนพลอัฒฑ์แห่งศานติธานี กลายเป็นภูตอสูร! ตกอยู่ในความควบคุมของเหล่าอัศวเนตรโลหิต ดั่งคำเล่าขานจริงๆ!”
เขม็งจองกสิณาผู้อาวุโสไม่วางตา กล่าวช้าๆ ว่า
“ท่านกสิณา…ท่านจะปล่อยให้สภาพเช่นนี้ดำเนินอยู่เนิ่นนานเพียงใด”
กสิณาผู้อาวุโส รับฟังอย่างเงียบงัน ครู่ใหญ่ค่อยกล่าวว่า
“เจ้าคิดว่าข้าสามารถกระทำสิ่งใดได้”
กระแสเสียงมายากรหนุ่ม แทบกลายเป็นตะคอกอย่างเหลืออด
“ท่านควรปล่อยให้เหล่าเจ้าชายโควินท์ ค้นหาวิหารศรีอินทรา!” หันขวับ กล่าวกับนารทและวาสิตาว่า “พวกท่านยิ่งควรร่วมมือกับพวกเขา โอกาสสำเร็จย่อมจะมีมากยิ่งขึ้น”
นารททอดถอนใจ พลางส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าเคยค้นคว้าบันทึกเอกสารในหอสมุดเมธา ทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นทางแห่งจอมปราชญ์ นานนับหลายปี…ข้อสรุปที่ข้าได้คือ ทั้งเส้นทางแห่งจอมปราชญ์ ทั้งวิหารศรีอินทรา ในอดีตกาลเคยมีอยู่จริง หากบัดนี้ได้สูญสิ้นสลายไป พร้อมๆ กับนครพุทธินคราเก่าแล้ว”
บุลินโพล่งอย่างเหลือเชื่อว่า
“ท่านมั่นใจเพียงนั้นจริงๆ หรือ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านนันทนะผู้เป็นประธานคณะมนตรีแห่งปราชญ์ เหตุใดจึงให้เจ้าชายโควินท์ทั้งสามขึ้นสู่เทือกตารกคีรี ทั้งที่รู้อยู่ว่าสิ่งที่รออยู่บนนั้น คือภูตอสูรนาคาเพลิงหิมะ!”