หลังปะทะกับอินวิเดีย ผู้เป็นอมตะใช้เวลาพักผ่อนด้วยการอ่านเรื่องราวของท่านผู้นั้นจากหนังสือโบราณ เขาสงสัยเรื่องแสงสีขาวที่เรียกท่านผู้นั้นว่าน้องชายจนอดใจไว้ไม่ได้ ส่วนประวัติของท่านผู้นั้นไม่ละเอียดเท่ากับเล่มที่ส่งร้านแปลภาษาโบราณแต่พอมีอะไรให้อ่านบ้าง ข้างในระบุเอาไว้ชัดเจนว่านักรบเทพอิกริดไม่มีพี่น้องแท้ ๆ หรือลูกพี่ลูกน้องที่เรียกแทนตัวว่าพี่กับน้องได้ บางทีนั่นอาจเป็นการเรียกด้วยความนับถือ
อีกสิ่งที่เซธอยากรู้คือเรื่องเกี่ยวกับผู้กล้าคนแรกที่เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกพูดถึง คนที่เกือบมาเป็นคนข้างหลังของท่านผู้นั้น ผู้เป็นอมตะสับสนเล็กน้อยกับการออกเสียงแต่ไม่ใช่ปัญหา หลังจากช่วยเหลือนักรบเทพเฟเรซิสในการทดสอบขั้นแรกสำหรับนักรบเทพเขาก็ไปเป็นครูสอนเวทมนตร์ที่บ้านเกิด ประวัติไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากพลังอำนาจทางเวทมนตร์สูงลิ่ว และเป็นคนแรกที่กล้าต่อรองกับเสาค้ำจุนจนได้อยู่กินกับนักรบเทพเฟเรซิสก่อนนางเข้ารับการทดสอบต่อไป และทั้งสองคือทวดของท่านผู้นั้น
“หลานของนางมีดวงตาแบบเดียวกับพวกเรา”
คำพูดของผู้อยู่เบื้องหลังท่านผู้นั้นลอยขึ้นเมื่อเซธนึกถึงคำว่าครอบครัว แสดงว่า ‘เขา’ ต้องเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่านผู้นั้น ระหว่างความคิดไร้สาระผุดขึ้นสายตาของเซธก็เลื่อนไปเจอข้อมูลหนึ่งน่าสนใจ ระหว่างการเดินทางกลับของผู้กล้าพัวร์รีน พวกเขาช่วยเหลือเด็กหนุ่มจากเหล่าโจรภูเขา ผู้กล้ากับนักรบเทพไม่มีพี่น้องจึงรับเขาเป็นน้องบุญธรรมแล้วเลี้ยงดูอย่างดี
เรื่องต่าง ๆ ของท่านผู้นั้นทับถมกันเหมือนปุ๋ยหมักชั้นดี เซธปิดหนังสือพลางทอดถอนใจว่าคงไม่มีทางรู้เรื่องมากกว่านี้ แม้แต่เรื่องลับแสนเศร้าที่ท่านผู้นั้นอ้างว่าไม่อยากเล่าก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันเป็นความจริงทั้งหมด เหมือนกับทุกครั้ง ท่านผู้นั้นพูดเรื่องต่าง ๆ เพื่อเบี่ยงเบนแนวความคิดของผู้ฟัง จะหาสิ่งที่คล้ายกันคงเป็นเด็กเลี้ยงแกะกระมัง ผิดแค่ท่านผู้นั้นลวงชาวบ้านเพื่อแอบลักแกะไปขายหาเงินเข้ากระเป๋าแล้วอ้างว่าโดนหมาป่าลากไปกิน
ผู้เป็นอมตะเงยหน้ามองรอบตัวเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ในห้องพักกลายเป็นอาณาเขตเวทมนตร์บางอย่างจนเหมือนมีครอบแก้วกันอากาศจากภายนอก เขาบอกให้ซาเรียส่งพิณเทพจากต่างมิติเข้าสู่มือก่อนผู้บุกเผยตัว ชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมเดินผ่านกำแพงเหมือนเป็นเพียงภาพเสมือน แขกผู้มีผมสีน้ำตาลหวีเรียบให้ความรู้สึกแบบนักบัญชีรีบขอให้วางอาวุธแล้วคุยกันก่อน
“ผมต้องการคุยกับคุณ ผู้เป็นอมตะ” ชายผมเรียบแสดงตนว่ามาอย่างสันติยกมือให้เห็นว่าไม่พกอาวุธใด ๆ กระนั้นเซธก็วางอาวุธเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสืออย่างระแวง “ผมคือสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มรื้อฟื้นเทพปิศาจ”
เซธค่อนข้างทึ่งที่คนในกลุ่มของเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกล้ามาเหยียบที่นี่ทั้งที่มีท่านผู้นั้นอยู่ เจ้าของห้องเชิญอีกฝ่ายนั่งบนเก้าอี้รับแขกอย่างสุภาพพร้อมตั้งคำถามในใจว่าเหตุใดจึงมาติดต่อเขาแบบนี้
“เราเห็นคุณอยู่กับนักรบเทพตนนั้นนานกว่าหกร้อยปีคงมองเห็นนิสัยของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว” ชายผมเรียบเริ่มการสนทนา “เขาคือจอมปกปิดตัวยง ชอบฝังเรื่องไม่ดีแล้วเอาเรื่องอื่นมาบังหน้า”
เซธพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ยังมองไม่ออกว่าพวกนั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่
“ทางเราเชื่อว่าคุณคือสิ่งตกตะกอนของเรื่องชั่วร้ายที่พวกเสาค้ำจุนทำไว้นักรบเทพตนนั้นจึงตามติดคุณตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะอ้างกับคุณแบบไหนแต่ความจริงมันคือความจริงวันยันค่ำ คุณถูกลากจูงให้เดินตามสิ่งที่เขาต้องการเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง”
สิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่าทำให้เซธคิดเกี่ยวกับท่านผู้นั้น ทุกการกระทำดูจะควบคุมเขาไปยังทิศที่ต้องการอีกทั้งยังจงใจปิดบังเรื่องบางอย่างเอาไว้ สิ่งนี้ตามมาด้วยคำถามสำคัญ เขาจะมีประโยชน์อะไรกับฝ่ายนั้นเล่า
“ขอรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องชั่วร้ายนั่นด้วย” พอมีคนพร้อมบอกเรื่องราวเบื้องหลังเซธก็พร้อมฟังในทันที ชายผมเรียบยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่ออีกฝ่ายยอมเจรจาอย่างสันติ
“ตอนพบกับอินวิเดียคุณคงได้ยินเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับนักรบเทพตนนั้น...เขาได้รับชีวิตจากการทดลองอันโหดร้ายของเสาค้ำจุน วิญญาณวีรชนถูกจองจำและกลั่นตัวเพื่อสร้างนักรบที่ทรงอำนาจ และคุณคือวิญญาณส่วนเกินของเขาที่มาเกิดใหม่ เป็นแค่ส่วนเกินที่เขายังหาทางกำจัดทิ้งไม่ได้แม้จะผ่านไปหลายพันปี บางครั้งคุณอาจเห็นสิ่งที่ไม่รู้จักผ่านนิมิตหรือความฝัน นั่นคือความทรงจำที่อยู่ในวิญญาณส่วนหนึ่งที่มาเป็นคุณในตอนนี้”
ชายผมเรียบทำให้เซธนึกถึงสตรีผมเขียว สิ่งที่ได้ฟังดูมีมูลความจริงมากกว่าที่คาดเอาไว้ แม้จะฟังดูขัดแย้งและเห็นชัดว่าปกปิดบางอย่างไว้แต่ก็ให้ข้อมูลมากกว่าท่านผู้นั้นอยู่ดี
“เหตุใดท่านจึงมั่นใจนัก” เซธยังภักตีต่อท่านผู้นั้นอย่างคงเส้นคงวา “หากท่านผู้นั้นคิดกำจัดข้าจริงนั่นก็ง่ายกว่าปอกกล้วย”
“มโนธรรมสุดท้ายของเขาอย่างไรละ อย่างไรคุณก็เป็นชีวิตหนึ่งนั่นทำให้ลงมือทำลายไม่ได้เสียที เรียกว่าตัดใจทิ้งไม่ได้มากกว่า” ชายผมเรียบดูเร่งรีบราวกับกลัวท่านผู้นั้นรู้ตัวซึ่งเซธไม่โทษเขาเลย “ทางเราใช้เวลาเฝ้าดูและพิสูจน์เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนด้วยความสงสัย การกระทำบางอย่างของเขามีแนวโน้มให้ความเคารพคุณมากกว่าลูกน้องหรือทาส เพราะความรู้สึกผิดของเขาจึงทำอย่างนั้น”
“จะบอกว่าพวกท่านเฝ้าดูอยู่หรือ ตอนเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกอาละวาดน่ะ” เซธเริ่มเอนเอียงเข้าหาสิ่งที่คู่สนทนาพูด บางอย่างก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน “แล้วท่านต้องการอะไรจากข้า”
ชายผมเรียบเผยรอยยิ้มก่อนพูดต่ออย่างเร่งรีบ
“เราต้องการให้คุณช่วยทำลายนักรบเทพตนนั้น คุณจะได้ชีวิตอิสระ ส่วนเราก็หมดเสี้ยนหนาม” แขกไม่ได้รับเชิญเห็นคำถามจากแววตาของผู้เป็นอมตะ “คำสาปของคุณดำรงอยู่ได้ขอแค่ไม่ไขว้เขวจากการตามล่าและไม่มีความรักใหม่เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับเขาสักหน่อย หากพวกเราได้มังกรเหล่านั้นมาเป็นพวกคงจัดการเรื่องคำสาปนั้นได้ไม่ยาก”
“คนที่สาปข้าคือเสาค้ำจุน ไม่ใช่ท่านผู้นั้น” ผู้เป็นอมตะขัดขึ้นก่อนผู้ทรงอำนาจสูงสุดจะเข้ามาขวาง!
ผนังห้องด้านหนึ่งละลายตัวจนผิดธรรมชาติจนกลายเป็นช่องลึกให้ฝ่าบาทของเซธเดินเข้ามาได้ ท่านผู้นั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางสบถสาบานว่าไม่ควรลดการป้องกันลงเลย ชายผมเรียบลุกหนีด้วยความกลัวและท่านผู้นั้นก็ยอมให้ไปตามสบาย รอบห้องแตกร้าวดุจกระจกเสียสมดุลแล้วกลับเป็นปกติ อากาศจากภายนอกถ่ายเทเข้ามาทว่าความเงียบระหว่างเซธกับท่านผู้นั้นยังคงอยู่
“เจ้านั่นคือใคร และต้องการอะไร!” ท่านผู้นั้นก้าวไปนั่งบนเก้าอี้รับแขก ความเครียดบางอย่างทำให้เซธไม่กล้าตอบ “จะพูดหรือให้เข้าไปค้นในหัวเจ้าเอง”
เซธเล่าให้ฟังคร่าว ๆ เรื่องวิญญาณที่แตกออกมาจนกลายเป็นตัวเขา ท่านผู้นั้นนิ่งเงียบแล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามสงบอารมณ์ให้นิ่งที่สุด
“อาวุธมหาประลัยแว้งกัดคนสร้างคือสิ่งที่ผู้สร้างทั้งหลายหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เสาค้ำจุนก็เช่นกัน ข้าล่ะอยากต่อยตัวเองสักหมัดที่เรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากตัวข้าเอง...ข้าอาจพูดได้ว่าการสร้างคำลวงของข้าเหมือนฝ่ายมืดแต่มันเทียบกับพวกนั้นไม่ได้ ราวกับเป็นพรจากเทพปิศาจที่เหล่าสาวกต่างได้ความสามารถนี้มา
“คิดจากพื้นฐานสิอนาทอล ข้าเคยบอกว่าสิ่งใดไร้ประโยชน์หรือไร้คุณค่าอย่างสิ้นเชิงบ้าง หากเจ้าคือของเสียในสายตาข้าย่อมไม่มีความหมายกับพวกนั้นเช่นกัน สิ่งที่รู้เกี่ยวกับข้าเทียบกับสิ่งที่พวกนั้นรู้ไม่ได้ ความเป็นอมตะตรึงเจ้าไม่ให้ออกนอกทางรวมไปถึงต่อต้านเสาค้ำจุนด้วยทำไมพวกนั้นจะไม่รู้ สิ่งที่เจ้ารับจากข้าก็น้อยยิ่งนัก เราแทบไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมทาง หากเจ้าตายข้าก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ”
ท่านผู้นั้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าแขกเมื่อครู่มาด้วยความคิดร้ายกาจ เซธถามลอย ๆ เกี่ยวกับจุดประสงค์ของพวกนั้นทำให้ท่านผู้นั้นสบถกับตัวเองเป็นครั้งที่สองว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ออกมา
“วิญญาณที่ได้รับพรแต่โบราณจะมีพลังอำนาจบันทึกลงแก่นจารึกในวิญญาณ พวกมันต้องการวิญญาณของเจ้าไปสร้างอาวุธเหมือนข้าขึ้นมาอีกครั้ง...ข้าคอยปกป้องเจ้าเพราะเรื่องนี้ ตอนนั้นข้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้จนฝ่ายนั้นเริ่มระแคะระคาย”
“อย่างนั้นวิญญาณของข้า ในอดีตข้าเคยเป็นใครฝ่าบาท” เซธทำให้ท่านผู้นั้นบ่นว่าไม่อยากพูดอะไรซ้ำซาก
“รู้ไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คำสาปยังคงอยู่ เจ้ายังเป็นตัวเจ้า โซลาน่ายังเป็นหญิงหนึ่งเดียวที่เจ้ารัก เจ้าอาจบอกว่าพลังในแก่นวิญญาณคงช่วยเรื่องตามล่าพวกมังกรแต่เชื่อข้าดีกว่าว่ามันนำความวุ่นวายไม่รู้จบตามมา ยิ่งตัวตนใหญ่แค่ไหนปัญหาและภาระก็ยิ่งใหญ่ตามส่วนไปด้วย ที่สำคัญมันต้องมีความรู้เพื่อควบคุมให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยุคสมัยนี้จะศึกษาจากที่ไหนได้”
กระนั้นเซธก็ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องรู้ให้ได้ตามประสามนุษย์ ตัวตนของเขาคือสิ่งดีหรือสิ่งร้าย เป็นสิ่งสำคัญหรือสิ่งถูกทิ้งขว้าง ท่านผู้นั้นสบถสาบานเป็นครั้งที่สามว่าไม่อยากพูดอะไรชวนคลื่นไส้แบบนี้เลย
“เจ้าเป็นเหมือนลูกของข้า เจ้าคือสิ่งสำคัญที่ข้าต้องการรักษาจนถึงที่สุด ไม่ใช่เพราะพลังร้ายกาจแต่เพราะเกียรติของข้าที่ทำตามสัญญาโดยไม่คลอนแคลน” ท่านผู้นั้นกระแอมกลบเกลื่อนเมื่อรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป
เซธไม่ใคร่พอใจคำตอบนี้ทว่ามันทำให้เขาสบายใจ เขามีความสำคัญต่อท่านผู้นั้น เขาไม่ใช่ของเสียอย่างแขกเมื่อครู่บอก
(มีต่อ)
สัญญาอมตะ ตอนที่ 11
อีกสิ่งที่เซธอยากรู้คือเรื่องเกี่ยวกับผู้กล้าคนแรกที่เจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกพูดถึง คนที่เกือบมาเป็นคนข้างหลังของท่านผู้นั้น ผู้เป็นอมตะสับสนเล็กน้อยกับการออกเสียงแต่ไม่ใช่ปัญหา หลังจากช่วยเหลือนักรบเทพเฟเรซิสในการทดสอบขั้นแรกสำหรับนักรบเทพเขาก็ไปเป็นครูสอนเวทมนตร์ที่บ้านเกิด ประวัติไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากพลังอำนาจทางเวทมนตร์สูงลิ่ว และเป็นคนแรกที่กล้าต่อรองกับเสาค้ำจุนจนได้อยู่กินกับนักรบเทพเฟเรซิสก่อนนางเข้ารับการทดสอบต่อไป และทั้งสองคือทวดของท่านผู้นั้น
“หลานของนางมีดวงตาแบบเดียวกับพวกเรา”
คำพูดของผู้อยู่เบื้องหลังท่านผู้นั้นลอยขึ้นเมื่อเซธนึกถึงคำว่าครอบครัว แสดงว่า ‘เขา’ ต้องเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของท่านผู้นั้น ระหว่างความคิดไร้สาระผุดขึ้นสายตาของเซธก็เลื่อนไปเจอข้อมูลหนึ่งน่าสนใจ ระหว่างการเดินทางกลับของผู้กล้าพัวร์รีน พวกเขาช่วยเหลือเด็กหนุ่มจากเหล่าโจรภูเขา ผู้กล้ากับนักรบเทพไม่มีพี่น้องจึงรับเขาเป็นน้องบุญธรรมแล้วเลี้ยงดูอย่างดี
เรื่องต่าง ๆ ของท่านผู้นั้นทับถมกันเหมือนปุ๋ยหมักชั้นดี เซธปิดหนังสือพลางทอดถอนใจว่าคงไม่มีทางรู้เรื่องมากกว่านี้ แม้แต่เรื่องลับแสนเศร้าที่ท่านผู้นั้นอ้างว่าไม่อยากเล่าก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามันเป็นความจริงทั้งหมด เหมือนกับทุกครั้ง ท่านผู้นั้นพูดเรื่องต่าง ๆ เพื่อเบี่ยงเบนแนวความคิดของผู้ฟัง จะหาสิ่งที่คล้ายกันคงเป็นเด็กเลี้ยงแกะกระมัง ผิดแค่ท่านผู้นั้นลวงชาวบ้านเพื่อแอบลักแกะไปขายหาเงินเข้ากระเป๋าแล้วอ้างว่าโดนหมาป่าลากไปกิน
ผู้เป็นอมตะเงยหน้ามองรอบตัวเมื่อพบสิ่งผิดปกติ ในห้องพักกลายเป็นอาณาเขตเวทมนตร์บางอย่างจนเหมือนมีครอบแก้วกันอากาศจากภายนอก เขาบอกให้ซาเรียส่งพิณเทพจากต่างมิติเข้าสู่มือก่อนผู้บุกเผยตัว ชายวัยกลางคนท่าทางสุขุมเดินผ่านกำแพงเหมือนเป็นเพียงภาพเสมือน แขกผู้มีผมสีน้ำตาลหวีเรียบให้ความรู้สึกแบบนักบัญชีรีบขอให้วางอาวุธแล้วคุยกันก่อน
“ผมต้องการคุยกับคุณ ผู้เป็นอมตะ” ชายผมเรียบแสดงตนว่ามาอย่างสันติยกมือให้เห็นว่าไม่พกอาวุธใด ๆ กระนั้นเซธก็วางอาวุธเอาไว้บนโต๊ะอ่านหนังสืออย่างระแวง “ผมคือสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มรื้อฟื้นเทพปิศาจ”
เซธค่อนข้างทึ่งที่คนในกลุ่มของเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกกล้ามาเหยียบที่นี่ทั้งที่มีท่านผู้นั้นอยู่ เจ้าของห้องเชิญอีกฝ่ายนั่งบนเก้าอี้รับแขกอย่างสุภาพพร้อมตั้งคำถามในใจว่าเหตุใดจึงมาติดต่อเขาแบบนี้
“เราเห็นคุณอยู่กับนักรบเทพตนนั้นนานกว่าหกร้อยปีคงมองเห็นนิสัยของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว” ชายผมเรียบเริ่มการสนทนา “เขาคือจอมปกปิดตัวยง ชอบฝังเรื่องไม่ดีแล้วเอาเรื่องอื่นมาบังหน้า”
เซธพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ยังมองไม่ออกว่าพวกนั้นต้องการอะไรจากเขากันแน่
“ทางเราเชื่อว่าคุณคือสิ่งตกตะกอนของเรื่องชั่วร้ายที่พวกเสาค้ำจุนทำไว้นักรบเทพตนนั้นจึงตามติดคุณตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะอ้างกับคุณแบบไหนแต่ความจริงมันคือความจริงวันยันค่ำ คุณถูกลากจูงให้เดินตามสิ่งที่เขาต้องการเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง”
สิ่งที่อีกฝ่ายบอกเล่าทำให้เซธคิดเกี่ยวกับท่านผู้นั้น ทุกการกระทำดูจะควบคุมเขาไปยังทิศที่ต้องการอีกทั้งยังจงใจปิดบังเรื่องบางอย่างเอาไว้ สิ่งนี้ตามมาด้วยคำถามสำคัญ เขาจะมีประโยชน์อะไรกับฝ่ายนั้นเล่า
“ขอรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องชั่วร้ายนั่นด้วย” พอมีคนพร้อมบอกเรื่องราวเบื้องหลังเซธก็พร้อมฟังในทันที ชายผมเรียบยิ้มอย่างเป็นมิตรเมื่ออีกฝ่ายยอมเจรจาอย่างสันติ
“ตอนพบกับอินวิเดียคุณคงได้ยินเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับนักรบเทพตนนั้น...เขาได้รับชีวิตจากการทดลองอันโหดร้ายของเสาค้ำจุน วิญญาณวีรชนถูกจองจำและกลั่นตัวเพื่อสร้างนักรบที่ทรงอำนาจ และคุณคือวิญญาณส่วนเกินของเขาที่มาเกิดใหม่ เป็นแค่ส่วนเกินที่เขายังหาทางกำจัดทิ้งไม่ได้แม้จะผ่านไปหลายพันปี บางครั้งคุณอาจเห็นสิ่งที่ไม่รู้จักผ่านนิมิตหรือความฝัน นั่นคือความทรงจำที่อยู่ในวิญญาณส่วนหนึ่งที่มาเป็นคุณในตอนนี้”
ชายผมเรียบทำให้เซธนึกถึงสตรีผมเขียว สิ่งที่ได้ฟังดูมีมูลความจริงมากกว่าที่คาดเอาไว้ แม้จะฟังดูขัดแย้งและเห็นชัดว่าปกปิดบางอย่างไว้แต่ก็ให้ข้อมูลมากกว่าท่านผู้นั้นอยู่ดี
“เหตุใดท่านจึงมั่นใจนัก” เซธยังภักตีต่อท่านผู้นั้นอย่างคงเส้นคงวา “หากท่านผู้นั้นคิดกำจัดข้าจริงนั่นก็ง่ายกว่าปอกกล้วย”
“มโนธรรมสุดท้ายของเขาอย่างไรละ อย่างไรคุณก็เป็นชีวิตหนึ่งนั่นทำให้ลงมือทำลายไม่ได้เสียที เรียกว่าตัดใจทิ้งไม่ได้มากกว่า” ชายผมเรียบดูเร่งรีบราวกับกลัวท่านผู้นั้นรู้ตัวซึ่งเซธไม่โทษเขาเลย “ทางเราใช้เวลาเฝ้าดูและพิสูจน์เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อสี่ร้อยปีก่อนด้วยความสงสัย การกระทำบางอย่างของเขามีแนวโน้มให้ความเคารพคุณมากกว่าลูกน้องหรือทาส เพราะความรู้สึกผิดของเขาจึงทำอย่างนั้น”
“จะบอกว่าพวกท่านเฝ้าดูอยู่หรือ ตอนเจ้าปิศาจในผ้าคลุมสกปรกอาละวาดน่ะ” เซธเริ่มเอนเอียงเข้าหาสิ่งที่คู่สนทนาพูด บางอย่างก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน “แล้วท่านต้องการอะไรจากข้า”
ชายผมเรียบเผยรอยยิ้มก่อนพูดต่ออย่างเร่งรีบ
“เราต้องการให้คุณช่วยทำลายนักรบเทพตนนั้น คุณจะได้ชีวิตอิสระ ส่วนเราก็หมดเสี้ยนหนาม” แขกไม่ได้รับเชิญเห็นคำถามจากแววตาของผู้เป็นอมตะ “คำสาปของคุณดำรงอยู่ได้ขอแค่ไม่ไขว้เขวจากการตามล่าและไม่มีความรักใหม่เท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับเขาสักหน่อย หากพวกเราได้มังกรเหล่านั้นมาเป็นพวกคงจัดการเรื่องคำสาปนั้นได้ไม่ยาก”
“คนที่สาปข้าคือเสาค้ำจุน ไม่ใช่ท่านผู้นั้น” ผู้เป็นอมตะขัดขึ้นก่อนผู้ทรงอำนาจสูงสุดจะเข้ามาขวาง!
ผนังห้องด้านหนึ่งละลายตัวจนผิดธรรมชาติจนกลายเป็นช่องลึกให้ฝ่าบาทของเซธเดินเข้ามาได้ ท่านผู้นั้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางสบถสาบานว่าไม่ควรลดการป้องกันลงเลย ชายผมเรียบลุกหนีด้วยความกลัวและท่านผู้นั้นก็ยอมให้ไปตามสบาย รอบห้องแตกร้าวดุจกระจกเสียสมดุลแล้วกลับเป็นปกติ อากาศจากภายนอกถ่ายเทเข้ามาทว่าความเงียบระหว่างเซธกับท่านผู้นั้นยังคงอยู่
“เจ้านั่นคือใคร และต้องการอะไร!” ท่านผู้นั้นก้าวไปนั่งบนเก้าอี้รับแขก ความเครียดบางอย่างทำให้เซธไม่กล้าตอบ “จะพูดหรือให้เข้าไปค้นในหัวเจ้าเอง”
เซธเล่าให้ฟังคร่าว ๆ เรื่องวิญญาณที่แตกออกมาจนกลายเป็นตัวเขา ท่านผู้นั้นนิ่งเงียบแล้วค่อย ๆ ทำความเข้าใจอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดเจนว่าพยายามสงบอารมณ์ให้นิ่งที่สุด
“อาวุธมหาประลัยแว้งกัดคนสร้างคือสิ่งที่ผู้สร้างทั้งหลายหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เสาค้ำจุนก็เช่นกัน ข้าล่ะอยากต่อยตัวเองสักหมัดที่เรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากตัวข้าเอง...ข้าอาจพูดได้ว่าการสร้างคำลวงของข้าเหมือนฝ่ายมืดแต่มันเทียบกับพวกนั้นไม่ได้ ราวกับเป็นพรจากเทพปิศาจที่เหล่าสาวกต่างได้ความสามารถนี้มา
“คิดจากพื้นฐานสิอนาทอล ข้าเคยบอกว่าสิ่งใดไร้ประโยชน์หรือไร้คุณค่าอย่างสิ้นเชิงบ้าง หากเจ้าคือของเสียในสายตาข้าย่อมไม่มีความหมายกับพวกนั้นเช่นกัน สิ่งที่รู้เกี่ยวกับข้าเทียบกับสิ่งที่พวกนั้นรู้ไม่ได้ ความเป็นอมตะตรึงเจ้าไม่ให้ออกนอกทางรวมไปถึงต่อต้านเสาค้ำจุนด้วยทำไมพวกนั้นจะไม่รู้ สิ่งที่เจ้ารับจากข้าก็น้อยยิ่งนัก เราแทบไม่มีความสัมพันธ์ต่อกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมทาง หากเจ้าตายข้าก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ”
ท่านผู้นั้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าแขกเมื่อครู่มาด้วยความคิดร้ายกาจ เซธถามลอย ๆ เกี่ยวกับจุดประสงค์ของพวกนั้นทำให้ท่านผู้นั้นสบถกับตัวเองเป็นครั้งที่สองว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ออกมา
“วิญญาณที่ได้รับพรแต่โบราณจะมีพลังอำนาจบันทึกลงแก่นจารึกในวิญญาณ พวกมันต้องการวิญญาณของเจ้าไปสร้างอาวุธเหมือนข้าขึ้นมาอีกครั้ง...ข้าคอยปกป้องเจ้าเพราะเรื่องนี้ ตอนนั้นข้าทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้จนฝ่ายนั้นเริ่มระแคะระคาย”
“อย่างนั้นวิญญาณของข้า ในอดีตข้าเคยเป็นใครฝ่าบาท” เซธทำให้ท่านผู้นั้นบ่นว่าไม่อยากพูดอะไรซ้ำซาก
“รู้ไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คำสาปยังคงอยู่ เจ้ายังเป็นตัวเจ้า โซลาน่ายังเป็นหญิงหนึ่งเดียวที่เจ้ารัก เจ้าอาจบอกว่าพลังในแก่นวิญญาณคงช่วยเรื่องตามล่าพวกมังกรแต่เชื่อข้าดีกว่าว่ามันนำความวุ่นวายไม่รู้จบตามมา ยิ่งตัวตนใหญ่แค่ไหนปัญหาและภาระก็ยิ่งใหญ่ตามส่วนไปด้วย ที่สำคัญมันต้องมีความรู้เพื่อควบคุมให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งยุคสมัยนี้จะศึกษาจากที่ไหนได้”
กระนั้นเซธก็ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องรู้ให้ได้ตามประสามนุษย์ ตัวตนของเขาคือสิ่งดีหรือสิ่งร้าย เป็นสิ่งสำคัญหรือสิ่งถูกทิ้งขว้าง ท่านผู้นั้นสบถสาบานเป็นครั้งที่สามว่าไม่อยากพูดอะไรชวนคลื่นไส้แบบนี้เลย
“เจ้าเป็นเหมือนลูกของข้า เจ้าคือสิ่งสำคัญที่ข้าต้องการรักษาจนถึงที่สุด ไม่ใช่เพราะพลังร้ายกาจแต่เพราะเกียรติของข้าที่ทำตามสัญญาโดยไม่คลอนแคลน” ท่านผู้นั้นกระแอมกลบเกลื่อนเมื่อรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป
เซธไม่ใคร่พอใจคำตอบนี้ทว่ามันทำให้เขาสบายใจ เขามีความสำคัญต่อท่านผู้นั้น เขาไม่ใช่ของเสียอย่างแขกเมื่อครู่บอก
(มีต่อ)