ตั้งใจไว้ว่า สักครั้งจะได้มีโอกาสนำเสนอ บอกกล่าว เล่าความที่ถอดออกมาจากประสบการณ์ตรงของชีวิตที่เคยมีโอกาสสัมผัสกับพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ทั้งนี้สิ่งที่จะนำเสนอจะตั้งอยู่บนความรอบคอบและไม่สร้างความรู้สึกในทางลบให้กับสถานการณ์ที่มีอยู่และเกิดขึ้น หากเนื้อกระทู้จะยาวไปก็ต้องขออภัย
ผมเคยมีโอกาสลงไปทำงานราชการในพื้นที่ 3 จังหวัด อยู่ 4 ปี แต่ไม่ใช่ ทหาร หรือ ตำรวจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเวลาที่ไม่น้อย ช่วงที่ไปอยู่สถานการณ์ก็ยังรุนแรง ถ้าจะถามถึงความรู้สึกก่อนไปว่า กลัวไหม ก็จะตอบว่า ไม่กลัวครับ เหตุผลเพราะบอกกับตัวเองว่า เราได้ใช้ชีวิตมามากพอสมควรแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คิดว่า เมื่อคนอื่นเขาอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ให้ได้
ประสบการณ์ของความรุนแรงที่ได้เข้าไปใกล้ชิดครั้งแรก คือ ผู้บริหารในจังหวัดท่านหนึ่งเสียชีวิตจากรถถูกระเบิด โดยคืนก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิตยังมีโอกาสมายืนพูดคุย ทักทายกับผมในงานเลี้ยง แต่พอเช้าขึ้นมาก็ทราบว่าท่านได้เสียชีวิตแล้ว อาจมีคำถามว่า ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา เป็นอย่างไร ก็จะบอกว่า ทุกคนเสียใจ ตื่นเต้น ตกใจ แต่ต้องทำใจให้ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่ออยู่ให้ได้อย่างไม่เสียขวัญ ความรุนแรงที่ได้พบ จะขอขยับมาอยู่ในย่อหน้านี้ เพื่อจะได้นำเสนอในสิ่งที่น่าสนใจในประเด็นอื่นได้ในย่อหน้าถัดไป โดยสรุป ผมจะบอกกับท่านว่า ในหน้าที่งานที่จะต้องไปร่วมบ่อยมาก คือ งานศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ทั้งจากของ ประชาชน ข้าราชการในพื้นที่ ความรุนแรงที่ได้พบกับตัวเอง เช่น โรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบถูกเผา ได้เข้าไปพูดคุย เยี่ยมเยียนและเห็นความเป็นอยู่ของครูที่โรงเรียนถูกเผา ครูที่รู้จักถูกยิงเสียชีวิต เส้นทางที่ใช้เดินทางเข้า-ออกอยู่เป็นประจำ มีรถตำรวจถูกวางระเบิด
ย้อนกลับมามองชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่กันบ้างว่าเป็นอย่างไร สภาพโดยทั่วไปที่อยากจะสรุปให้ท่านมองเห็นก็คือ 3 จังหวัดใต้ ถือว่า มีมนต์ขลัง มีเสน่ห์ จากอัตตลักษณ์ของพี่น้องมุสลิม วิถีชิวิตในทางศาสนา การแต่งกาย ภาษาพูด การดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา ที่ไม่อยากจะลืมบอกกล่าวก็คือ สุภาพสตรีทาง 3 จังหวัด มีบุคคลิก หน้าตา ที่สวยมาก การดำรงชีวิต ยังมีการทำนา ทำสวน ค้าขาย เป็นอาชีพหลักของคนในชนบท ข้าวเกรียบปลาอร่อยมาก และที่ทราบกันอยู่ในเรื่องของการให้ความสำคัญต่อการละหมาดในช่วงเวลาของแต่ละวัน เมื่อเราอยู่ในพื้นที่เราจึงจะคุ้นชินกับบรรยากาศของเสียงตามลำโพงของมัสยิด ที่จะส่งเสียง(อาซาน)ในเวลาที่จะทำละหมาด สำหรับผมเอง เคยได้อยู่กับบรรยากาศของเสียงดังกล่าวมาบ้างสมัยเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ช่วงของการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ในตอนเย็นจะมีอาหาร ของกิน มาวางขายให้ได้หาซื้อเต็มไปหมด จนเราเองอดไม่ได้ที่จะต้องหาโอกาสเดินชมตลาด แม้ในใจจะไม่ลืมเตือนตัวเองว่า "รีบซื้อ แล้ว รีบกลับ"
สิ่งหนึ่งที่(น่า)จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องไปทำงานในพื้นที่่ 3 จังหวัด คือ การต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง นั่นคือ หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทุกพื้นที่นอกจากที่พักของตัวเองสำหรับผมถือเป็นพื้นที่เสี่ยง ดังนั้น เมื่อเลิกงานหากไม่มีความจำเป็นก็ควรจะอยู่ที่พัก ออกไปบ้างก็หาอาหารการกิน มีงานเลี้ยงไปไหม ไปเที่ยวกลางคืนไปหรือเปล่า ก็ไปครับ กลางคืนสี่ทุ่ม ห้าทุ่ม ยังขับรถอยู่บนถนนก็มี เพราะแม้จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงแต่ต้องไม่กลัวจนไม่สามารถกล้าทำอะไร หรือ หรือไม่กล้าไปไหน ผมยังคุยกับเพื่อนร่วมงานในช่วงเวลาที่ขับรถในตอนดึกๆว่า คนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด แค่จะให้เขาเข้ามาในพื้นที่บางคนเขายังไม่กล้าเข้ามา แต่เรา ดึกดื่นยังขับรถอยู่บนถนน
มีอะไรอีกมากมายที่อยู่ในความรู้สึก ความคิด และจากการมีโอกาสดังกล่าว แต่เกรงว่าจะยืดยาวและนำเสนอไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
ผมเองไม่ลงในรายละเอียดของปัญหา เพราะเชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดล้วนมีเหตุแห่งปัจจัยในตัวของมันเอง ต่างฝ่ายก็มีข้อสนับสนุนในการกระทำ แต่สิ่งที่เราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พี่น้องประชาชนทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังคงต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความน่าเห็นใจอย่างเป็นที่สุด ต้องแบกรับกับความเสี่ยงในสถานการณ์อยู่ทุกวัน ทุกเวลา และทุกสถานที่ตราบใดที่ความไม่สงบยังไม่เกิด
เราทุกคนมีหน้าที่ต้องให้กำลังใจครับ และไม่ควรที่จะเป็นจุดเล็กๆที่จะขยายความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับ 3 จังหวัดภาคใต้
ชีวิต ความว่างเปล่า การอยู่รอด ความเสียสละ กับครั้งหนึ่งใน 3 จังหวัดภาคใต้
ผมเคยมีโอกาสลงไปทำงานราชการในพื้นที่ 3 จังหวัด อยู่ 4 ปี แต่ไม่ใช่ ทหาร หรือ ตำรวจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเวลาที่ไม่น้อย ช่วงที่ไปอยู่สถานการณ์ก็ยังรุนแรง ถ้าจะถามถึงความรู้สึกก่อนไปว่า กลัวไหม ก็จะตอบว่า ไม่กลัวครับ เหตุผลเพราะบอกกับตัวเองว่า เราได้ใช้ชีวิตมามากพอสมควรแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คิดว่า เมื่อคนอื่นเขาอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ให้ได้
ประสบการณ์ของความรุนแรงที่ได้เข้าไปใกล้ชิดครั้งแรก คือ ผู้บริหารในจังหวัดท่านหนึ่งเสียชีวิตจากรถถูกระเบิด โดยคืนก่อนหน้าที่ท่านจะเสียชีวิตยังมีโอกาสมายืนพูดคุย ทักทายกับผมในงานเลี้ยง แต่พอเช้าขึ้นมาก็ทราบว่าท่านได้เสียชีวิตแล้ว อาจมีคำถามว่า ความรู้สึกของเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ผู้บังคับบัญชา เป็นอย่างไร ก็จะบอกว่า ทุกคนเสียใจ ตื่นเต้น ตกใจ แต่ต้องทำใจให้ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่ออยู่ให้ได้อย่างไม่เสียขวัญ ความรุนแรงที่ได้พบ จะขอขยับมาอยู่ในย่อหน้านี้ เพื่อจะได้นำเสนอในสิ่งที่น่าสนใจในประเด็นอื่นได้ในย่อหน้าถัดไป โดยสรุป ผมจะบอกกับท่านว่า ในหน้าที่งานที่จะต้องไปร่วมบ่อยมาก คือ งานศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ทั้งจากของ ประชาชน ข้าราชการในพื้นที่ ความรุนแรงที่ได้พบกับตัวเอง เช่น โรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบถูกเผา ได้เข้าไปพูดคุย เยี่ยมเยียนและเห็นความเป็นอยู่ของครูที่โรงเรียนถูกเผา ครูที่รู้จักถูกยิงเสียชีวิต เส้นทางที่ใช้เดินทางเข้า-ออกอยู่เป็นประจำ มีรถตำรวจถูกวางระเบิด
ย้อนกลับมามองชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่กันบ้างว่าเป็นอย่างไร สภาพโดยทั่วไปที่อยากจะสรุปให้ท่านมองเห็นก็คือ 3 จังหวัดใต้ ถือว่า มีมนต์ขลัง มีเสน่ห์ จากอัตตลักษณ์ของพี่น้องมุสลิม วิถีชิวิตในทางศาสนา การแต่งกาย ภาษาพูด การดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา ที่ไม่อยากจะลืมบอกกล่าวก็คือ สุภาพสตรีทาง 3 จังหวัด มีบุคคลิก หน้าตา ที่สวยมาก การดำรงชีวิต ยังมีการทำนา ทำสวน ค้าขาย เป็นอาชีพหลักของคนในชนบท ข้าวเกรียบปลาอร่อยมาก และที่ทราบกันอยู่ในเรื่องของการให้ความสำคัญต่อการละหมาดในช่วงเวลาของแต่ละวัน เมื่อเราอยู่ในพื้นที่เราจึงจะคุ้นชินกับบรรยากาศของเสียงตามลำโพงของมัสยิด ที่จะส่งเสียง(อาซาน)ในเวลาที่จะทำละหมาด สำหรับผมเอง เคยได้อยู่กับบรรยากาศของเสียงดังกล่าวมาบ้างสมัยเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ช่วงของการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ในตอนเย็นจะมีอาหาร ของกิน มาวางขายให้ได้หาซื้อเต็มไปหมด จนเราเองอดไม่ได้ที่จะต้องหาโอกาสเดินชมตลาด แม้ในใจจะไม่ลืมเตือนตัวเองว่า "รีบซื้อ แล้ว รีบกลับ"
สิ่งหนึ่งที่(น่า)จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ต้องไปทำงานในพื้นที่่ 3 จังหวัด คือ การต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง นั่นคือ หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทุกพื้นที่นอกจากที่พักของตัวเองสำหรับผมถือเป็นพื้นที่เสี่ยง ดังนั้น เมื่อเลิกงานหากไม่มีความจำเป็นก็ควรจะอยู่ที่พัก ออกไปบ้างก็หาอาหารการกิน มีงานเลี้ยงไปไหม ไปเที่ยวกลางคืนไปหรือเปล่า ก็ไปครับ กลางคืนสี่ทุ่ม ห้าทุ่ม ยังขับรถอยู่บนถนนก็มี เพราะแม้จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงแต่ต้องไม่กลัวจนไม่สามารถกล้าทำอะไร หรือ หรือไม่กล้าไปไหน ผมยังคุยกับเพื่อนร่วมงานในช่วงเวลาที่ขับรถในตอนดึกๆว่า คนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด แค่จะให้เขาเข้ามาในพื้นที่บางคนเขายังไม่กล้าเข้ามา แต่เรา ดึกดื่นยังขับรถอยู่บนถนน
มีอะไรอีกมากมายที่อยู่ในความรู้สึก ความคิด และจากการมีโอกาสดังกล่าว แต่เกรงว่าจะยืดยาวและนำเสนอไม่ตรงกับความสนใจของท่าน
ผมเองไม่ลงในรายละเอียดของปัญหา เพราะเชื่อว่า ทุกอย่างที่เกิดล้วนมีเหตุแห่งปัจจัยในตัวของมันเอง ต่างฝ่ายก็มีข้อสนับสนุนในการกระทำ แต่สิ่งที่เราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พี่น้องประชาชนทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ในพื้นที่ 3 จังหวัดยังคงต้องดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความน่าเห็นใจอย่างเป็นที่สุด ต้องแบกรับกับความเสี่ยงในสถานการณ์อยู่ทุกวัน ทุกเวลา และทุกสถานที่ตราบใดที่ความไม่สงบยังไม่เกิด
เราทุกคนมีหน้าที่ต้องให้กำลังใจครับ และไม่ควรที่จะเป็นจุดเล็กๆที่จะขยายความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับ 3 จังหวัดภาคใต้